***ระวังโดนสปอยสำหรับใครที่ยังดูไม่ถึงตอนสาม***
***พิมพ์เยอะมาก(ส์) จึงขอภัยมา ณ ที่นี้ด้วย***
คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ พอดีว่าตอนนี้จขกท.กำลังศึกษาและวิจัยงานมหาลัยอยู่แล้วปรากฏว่ามันดันประจวบเหมาะกับอนิเม Kill la Kill ที่เพิ่งฉายมาได้ไม่นาน พอจขกท.ได้ดูแล้วถึงกับเงิบ เพราะมันดันไปตรงกับประเด็นที่กำลังทำวิจัยอยู่พอดีจึงอยากจะลองเรียบเรียงความคิดและแชร์ประสบการณ์ที่เจอไปด้วย รวมถึงอยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากคนในบอร์ด และที่สำคัญคือผู้รู้ด้วยว่าคิดเห็นยังไงกันบ้างจากอนิเมเรื่องนี้ เพราะคิดว่ามีอีกหลายคนที่น่าจะสังเกตเห็นเหมือนกัน แต่พอจขกท.ดู PV แวบแรกแล้วเห็นตึกสภานักเรียนก็เข้าใจได้เลยว่า theme มันต้องออกมาเป็นแบบนี้แน่นอน จึงตั้งตารอดูมาหลายๆสัปดาห์แล้ว
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า จขกท. “คาด”เอาไว้ว่าอนิเมเรื่องนี้ จะมีการพัฒนาของเนื้อเรื่องได้สุดยอดมาก เพราะตัวเองเป็นคนชอบดูอนิเมมาก รวมถึงการศึกษาเกี่ยวกับหัวข้อนี้อย่างต่อเนื่องทำให้คิดว่าอนิเมเรื่องนี้ แค่ concept ก็โคตรแม่นแล้ว
เริ่มจากการหาคำง่ายๆมาอธิบายก่อน โดยความเห็นส่วนตัวแล้วพอจะระบุได้สองคำคือคำว่า “Authority” กับ “Uniform”
“อำนาจ” หรือ “อำนาจอันชอบธรรม” กับ “เครื่องแบบ” ซึ่งเห็นได้เป็นรูปธรรมอย่างมากในอนิเม
ทั้งสองอย่างเกี่ยวกันยังไง ถ้าใครคุ้นๆอยู่บ้างก็พอจะนึกกันออกตอนที่มีช่วงนึงมีการถกเถียงกันอย่างมากเรื่องเครื่องแบบนักเรียน และชุดนักศึกษา คิดว่าคงพอจำกันได้ ถ้าหากใครตามข่าว หรืออย่างเนติวิทย์ หรือ อั้ม เนโกะ หรืออะไรก็แล้วแต่ช่างมันเหอะ(หากเป็นไปได้อย่าดราม่ากันในนี้นะ)
โดยสรุปการที่ยกสองคำนี้ขึ้นมาก็เพราะว่าในอนิเมเรื่องนี้มีการวิพากษ์เกี่ยวกับ “วัฒนธรรมเครื่องแบบ” ได้อย่างเข้มข้น รสกลมกล่อมแบบที่จขกท.ชอบมาก อีกทั้งยังนึกไม่ถึงเลยว่าประเทศอย่างญี่ปุ่นที่เคร่งครัดในกฏระเบียบ ก็มีการเปิดมุมมองในเรื่องนี้กันอย่างกว้างขวาง อย่างที่ว่าอนิเมมันกินพื้นที่ครอบคลุมไปทั่วโคโลนี่ในอวกาศ โลกคู่ขนาน โลกเวทย์มนต์ VRMMORPG บลาๆๆ รวมไปถึงวัฒนธรรมเครื่องแบบด้วย!
เริ่มด้วย Uniform (เครื่องแบบ) เป็นอย่างแรก โดยในอนิเมจะเรียกเครื่องแบบนักเรียนว่า “Ultima Uniform”
ในอนิเมที่สื่อออกมาเพื่อเปรียบเทียบกับสังคมปัจจุบัน มันคือสัญลักษณ์ของ “อำนาจ” ที่คนถือครองไว้ อำนาจที่ว่านี้ก็จะสามารถทำให้คนยำเกรง เคารพนับถือ เชื่อถือ หรือคล้อยตามได้ ยิ่ง “ยศ” (ดาว) ที่ติดไว้บนเครื่องแบบมีมากเท่าไร ก็ยิ่งมีพลังอำนาจมากเท่านั้น ถึงร่างกายจริงๆจะอ่อนแอแค่ไหน แต่ถ้าได้สวมใส่ก็สามารถทำให้กลายเป็นยอดมนุษย์ได้ เหมือนกับคนอ้วนๆ หน้าตาไม่หล่อ แต่พอใส่เสื้อสูตรไฮโซ ตัดเย็บประณีต ผูกไทด์ก็ทำให้ดูดี ดูน่าเชื่อถือได้
ส่วน “Godrobe” ที่ซัตสึกิกับริวโกะมี ยิ่งทำให้ได้รับพลังอำนาจไร้เทียมทาน ซึ่งยิ่งมีพลังมากก็ยิ่งมีอันตรายมาก เพราะมันหมายถึง “อำนาจยิ่งมาก ก็จะทำให้คนเหลิงอำนาจและถูกครอบงำได้ง่าย” ดังนั้นมันจึงเหมาะสมแค่เฉพาะคนที่มีเจตจำนงที่แข็งแกร่งเท่านั้น เป็นข้อพิสูจน์ว่าคนที่มี “ความเป็นผู้นำ” (Leadership) มีความกล้า มีองค์ความรู้เพื่อการสถาปนาอำนาจและเข้าไปให้การรับรองความถูกต้องของอำนาจเท่านั้นถึงคู่ควรกับอำนาจที่ยิ่งใหญ่
ภายในโรงเรียนฮอนโนจิ ทุกอย่างจะถูกกำหนดด้วยเครื่องแบบ แบบตั้งใจเปรียบเทียบกับสังคมปัจจุบันที่ทุกคนยึดติดกับเครื่องแบบ พิจารณาทุกอย่างดั่งมองแต่เพียงปกหนังสือ เป็นระบบที่เชื่อมโยงกับในอนิเมซึ่งในเนื้อเรื่องนั้นส่อให้เห็นถึงความนิยมชมชอบ และส่งเสริม “การยอมสยบต่ออำนาจเบื้องบน” หรือกลายๆว่าเป็น “ระบอบเผด็จการ” “อำนาจนิยม” (Authoritarianism) และ “อภิชนนิยม” (Elitism) ที่มีความเชื่อว่าบางคนเกิดมาเพื่อปกครองผู้อื่น และบางคนเกิดมาเพื่อถูกปกครองนั่นเอง ซึ่งมันก็คล้ายคลึงกับระบบของทหาร ที่ในความเป็นจริงแล้วเครื่องแบบนักเรียนในปัจจุบันก็ถูกออกแบบโดยเริ่มต้นมาจากเครื่องแบบของทหารนี้แหละ และหากใครสังเกตมากขึ้นไปอีกก็จะพบว่านี่คือสิ่งที่อนิเมต้องการจะสื่อจริงๆโดยผ่านการเรียนการสอนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของฮิตเลอร์ในชั่วโมงเรียนในอนิเม
อนิเมพยายามจะกล่าวถึง “การเป็นมากกว่าเสื้อผ้า” ที่ถูกซ่อนอยู่ในสังคมปัจจุบัน ถามว่ามันแสดงออกมาให้เห็นยังไงบ้างนอกจากอำนาจที่พูดถึงด้านบน จะขอเริ่มที่ “เส้นใย” แล้วกัน เส้นใยอันนี้ถ้าพูดตามในอนิเมแล้วก็คือ “Life Fiber” หรือเส้นใยแห่งชีวิตนั่นเอง เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ทำออกมาได้ตรง concept มากๆ เส้นใยสีแดงนี้เราจะเห็นว่ามันมีกระจายอยู่ในหลายๆ scene ตั้งแต่เพลงเปิดแล้ว ไอ้เจ้าเส้นใยสีแดงนี้ก็หาได้มีความหมายเกี่ยวข้องกับด้ายแดงแห่งความรักแต่ประการใด แต่มันหมายถึง ชะตาของผู้คนในสังคมที่ผูกรวมกันเอาไว้ เมื่อมวลมหาชนมารวมกันจึงเกิดเป็นพลัง ดังจะเห็นได้ว่ามีการแสดงให้เห็นร่างของมนุษย์หลายๆคนจับมือสานกันเป็นเส้นใยเสื้อผ้าในอนิเม ซึ่งตรงกันกับทฤษฏีของมิเชล ฟูโกต์ด้วยเรื่อง “อนุภาคของอำนาจ” (micro physic of power) ที่มีพูดถึงไว้ว่า “อำนาจมีลักษณะของการกระจายตัวเป็นอนุภาคเล็ก ๆ แผ่ขยายครอบคลุมในทุกพื้นที่และทุกความสัมพันธ์ของสังคม อำนาจเป็นเสมือนเส้นใยที่ถักทอเป็นผ้าผืนใหญ่ของสังคม จึงมีทั้งการประสานและการตัดกันของเส้นใยอำนาจ มนุษย์ในสังคมจึงไม่สามารถเห็นได้ว่าอำนาจอยู่ตรงไหน แม้จะทราบดีว่าอำนาจเป็นสิ่งที่มีอยู่ หากอำนาจสามารถปกปิดซ่อนเร้นกลไกของตนเองไว้ได้มากเพียงใดก็จะยิ่งส่งผลให้อำนาจมีความสำเร็จมากยิ่งขึ้นเพียงนั้น” (Foucault, 1990: 86) ซึ่งราวกับต้องการหยิบยกทฤษฏีนี้เพื่อมาสลายแนวความคิด เพื่อปฏิเสธการให้ความสำคัญกับศูนย์กลางแห่งอำนาจ หรือระบบของโรงเรียนที่เห็นในเรื่องที่เห็นเป็นความสัมพันธ์จากบนลงล่าง ว่าแท้ที่จริงแล้วอำนาจดำรงอยู่ทุกหนแห่ง และเกิดจากรากฐานของความสัมพันธ์แห่งพลังที่สร้างและหยั่งลึกลงในตัวตนของสังคม
นอกจากนี้ Godrobe ที่ชื่อเซ็นเก็ตสึซึ่งริวโกะสวมใส่ยังพูดอีกด้วยว่าพลังจะเกิดขึ้นก็ตอนที่ “เครื่องแบบถูกสวมใส่” เท่านั้น “When you wear me and I am put on by you, that is when the power manifests.” นั่นหมายความว่าเครื่องแบบเฉยๆไม่มีคนใส่ก็เป็นได้แค่เสื้อผ้า แต่เมื่อใดที่ถูกสวมใส่ก็จะทำให้เกิดพลัง กลายเป็นยอดมนุษย์ ซึ่งอันที่จริงยังต้องมีส่วนประกอบอีกอย่างนั่นก็คือ “เลือด” ต้องให้เซ็นเก็ตสึดื่มเลือดพลังถึงจะเกิด ซึ่งจขกท.คิดว่าเป็นเพราะการที่จะได้อำนาจมามันหมายถึงการแลกด้วยเลือดเนื้อ ซึ่งเลือดนี้ก็แสดงถึง “ชีวิต” นั่นเอง
เมื่อลองมองย้อนกลับไป ทั้งเครื่องแบบและการบริหารอำนาจแบบนี้เองจึงทำให้เกิดการแบ่งชนชั้น มีสูงมีต่ำ เกิดการเบียดเบียนกันตั้งแต่ในโรงเรียนไปจนถึงสังคมภายนอกที่คนไม่มีอำนาจเป็นได้แค่คนชนชั้นล่าง หรือที่ซัตสึกิบอกว่าเหมือน “หมู” หรือถ้าแปลตามความคิดของจขกท.ก็คือ “เหยื่อ” นั่นเอง ส่วนคนที่อยู่อย่างร่ำรวยกลับมีเพียงหยิบมืออยู่บนยอดซึ่งถ้าพิจารณาดีๆจะเห็นได้ชัดจากโครงสร้างของเมืองในอนิเม ที่จงใจทำออกมาเป็นรูปสามเหลี่ยมเหมือนปิรามิดฐานะประชากรของประเทศด้อยพัฒนา
เมื่อพูดถึงการแปลงร่างแล้ว หลายคนก็ต้องคิดอยู่แล้วว่านี่เป็นลักษณะเด่นของ “Magical Girl” หรือการ์ตูนสาวน้อยเวทย์มนต์นั่นเอง (ถึง genre ของเรื่องนี้จะไม่ได้มีกำกับไว้ก็ตาม) ซึ่งถ้าสังเกตจะพบว่า Kill la Kill มีเงื่อนไขอยู่มากพอที่จะเรียกว่าเป็นสาวน้อยเวทย์มนต์ได้ อย่างในกรณีของการ์ตูนสาวน้อยเวทย์มนต์ในหลายๆเรื่องเช่น Madoka Nanoha หรือ Utena เป็นต้น ซึ่งโดยเฉพาะ genre นี้ที่เป็น Heroine’s Journey นั้นมีลักษณะเฉพาะอยู่อย่างนั่นคือการ “revolutionize the world” นั่นเอง ถามว่าทำไมต้องปฏิวัติ ก็เพราะมันไม่เหมือนกับ Hero’s Journey ที่มักมีเนื้อเรื่องแบบตามธรรมเนียมดั้งเดิมคือตั้งแต่แรกจะเน้นตัวเอกให้ได้ออกไปผจญภัยโลกภายนอก ในด้านของสาวน้อยเวทย์มนต์ ตัวเอกของเราไม่สามารถที่จะทำแบบนั้นได้แม้ว่าจะอยากก็ตาม ถามว่าทำไม ก็เพราะความต้องการของเธอถูกปฎิเสธ มันมี “อุปสรรค” กั้นเธอเอาไว้อยู่ เธออยากจะออกไปข้างนอก แต่เธอออกไปไม่ได้เพราะด้วยอุปสรรคซึ่งโดยมากก็เป็นระบบของสังคม ของสภาพแวดล้อมที่เธออยู่นี่แหละที่ตีกรอบเธอเอาไว้ ดังนั้นตัวเอกในเรื่องจึงมีเป้าหมายในการทำลายกฏหรือระบบของโลกเก่าทิ้งไป จากที่กล่าวมาทั้งหมดเลยทำให้เรื่อง Kill la Kill นี้มีลักษณะที่คล้ายกับ Utena อย่างมาก แต่ที่แน่ๆก็คือไม่ได้เล่นประเด็นเดียวกันอย่างแน่นอน
กลับมาที่เรื่องการแปลงร่างในอนิเม ขณะแปลงร่างก็รู้สึกได้เลยว่ามันกำลังโชว์ “ความเหนือชั้น” ให้เหนือกว่าชาวบ้านอยู่ ดังนั้นจึงเป็นการเอาวัฒนธรรมของการ์ตูนญี่ปุ่นมาผสมด้วยว่ารูปร่างหน้าตาแบบนี้แหละที่เรียกได้ว่า “สุดยอด” และเป็นที่ “นิยม” งดงามมากที่สุดแล้ว แม้จะไม่ชัดนักแต่เพราะแบบนั้นก็เลยสื่อได้เหมือนกันอีกว่า “คนของสังคม” ก็เหมือนกับเป็นที่จับตามองและมักถูกยัดเยียด “ความคาดหวัง” ที่เป็นความต้องการของมวลชน เลยกลายเป็นไม่ได้เน้นไปที่การเป็นตัวของตัวเอง แต่ไปเน้นที่การเป็นอย่างที่สังคมอยากให้เป็น เสื้อผ้าตอนแปลงร่างจึงออกมาอย่างที่เห็น คือโชว์เนื้อหนังมังสา ดังมองเห็นผู้หญิงเป็นเพียงสินค้า วัตถุชิ้นนึง
สำหรับการแปลงร่างขั้นสมบูรณ์ในตอนสาม ที่ริวโกะมีปัญหาแต่ซัตสึกิไม่มีนั้น ก็สื่อได้ถึง “เจตจำนง” ของคนที่เป็นผู้นำ ที่ไม่กลัวคำวิพากษ์ วิจารณ์ของมวลชน เพื่อที่จะให้บรรลุเป้าหมายแล้วก็ต้องยอมเสียอะไรไปบ้าง ซึ่งบ้างครั้งก็หมายถึงต้องเสียจริยธรรมบางอย่างไป อย่างความ “หน้าด้าน” ของนักการเมืองที่โกหกเล่นละครกันในสังคม เป็นต้น จะเรียกก็ได้ว่าซัตสึกิหน้าด้าน เธอไม่กลัวคำวิจารณ์ของสังคม สายตาของเธอมีแต่เป้าหมายเท่านั้น ส่วนริวโกะมองว่าชุดมันน่าอาย คือเธอยังมีจรรยาบรรณ แต่เพื่อสู้กับอำนาจที่เหนือกว่าแล้ว สุดท้ายเธอจึงยอมสละ “เกียรติ” ของเธอเพื่อเป้าหมายด้วย นอกจากนี้ในความหมายที่สองของการแปลงร่าง “วิธีการซึ่งให้ได้พลังมา” คือริวโกะหลอมรวมกับประชาชนจนเกิดเป็นพลัง ต่างจากซัตสึกิที่มองว่าประชาชนเป็นสิ่งที่เอาไว้ “ใช้”
จบเรื่องหลักๆไปแล้วก็มาเรื่องยิบย่อยเป็นส่วนเสริมบ้าง เนื่องจากเรื่องนี้มี theme ที่เกี่ยวกับ uniform จึงทำให้เกิดการยึดโยง theme นี้กับสิ่งต่างๆมากมายในเรื่องแบบเยอะมากจนเล่าไม่หมด ยกตัวอย่างเช่น
1. กรรไกร: ตามทฤษฎีที่จขกท.ชอบมากที่สุดคือ อำนาจนั้นเปรียบเหมือนกับ “ดาบสองคม” ที่เป็นเหมือนใบมีดกรรไกรที่มีสองเล่ม แสดงให้เห็นถึง “คุณ” และ “โทษ” การประกอบรวมกันโดยสมบูรณ์ของกรรไกรจะหมายถึงอะไร อันนี้ก็ต้องให้ริวโกะ และเด็กติดอนิเมทั้งหลายกลับไปคิดเดาต่อเอาเอง
2. เพลงเปิด: ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการ “ปลดแอก” *จขกท.ไม่เก่งภาษาญี่ปุ่นนะ และไม่รู้ภาษาเขียนด้วย*
เช่นว่า “kyou wo nugisutete” มีแปลเป็นอังกฤษก็คือ “I’ll break free of its shackles.”
3. ชมรมเย็บผ้า (Sewing Club): เป็นกลุ่มคนที่คอยผลิต Ultima Uniform ให้กับโรงเรียน จึงกลายเป็นเหมือนคล้ายๆองค์กรที่กุม “ความลับ” ปริศนาของเส้นใย ไม่ให้คนในสังคมได้รู้เท่าทัน
4. Godrobe, “Junketsu”: แปลตรงตัวว่า “Purity” หรือบริสุทธิ์ แหงละ อำนาจที่ได้มาอย่างใสสะอาดและชอบธรรมที่สุดที่ถูกส่งทอดต่อกันมาเป็น Traditional Authority ตามทฤษฎีของ Max Weber
5. Godrobe, “Senketsu”: แปลตรงตัวว่า “Fresh Blood” อย่างที่บอกไปแล้ว เลือดคือสัญลักษณ์ของชีวิต มันคือสีแดงที่หมายถึง “ประชาชน” และ “คนรากหญ้า” เหมือนดังที่เห็นในธงชาติไทย
6. ดาบของซัตสึกิหรือ Bakuzan (縛斬): อันนี้ไม่รู้ความหมาย ใครเก่งช่วยแปลหน่อยสิ อยากรู้มาก
7. เพลงปิด: ที่มีเนื้อหาและรูปภาพที่เกี่ยวกับ “ชุดนักเรียน” และ “เครื่องแบบ” แบบต่างๆในสังคม รวมไปถึงชุด “แต่งงาน” โดยเนื้อเพลงก็สื่อถึง
ความต้องการที่จะเป็นอิสระจากรูปแบบเหล่านั้น และแสวงหาความเป็นตัวเอง
ขอบพระคุณอย่างสูงหากอ่านจบหมด การคุยเรื่องการ์ตูนนี่มันสนุกจริงๆ คุยทีคุยได้เป็นวันเลยละ
จขกท.ก็จะดีใจมากๆหากแสดงความคิดกันด้วยนะ หากใครยังไม่ได้ดู Kill la Kill ก็แนะนำกันเลยนะว่าดูเหอะ เพราะมัน “หน
จงมาคุยเรื่อง KILL la KILL กันให้สนุกสนานแล้วมองให้ทะลุถึงตับไตไส้พุงกันเถอะ!!!
***พิมพ์เยอะมาก(ส์) จึงขอภัยมา ณ ที่นี้ด้วย***
คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ พอดีว่าตอนนี้จขกท.กำลังศึกษาและวิจัยงานมหาลัยอยู่แล้วปรากฏว่ามันดันประจวบเหมาะกับอนิเม Kill la Kill ที่เพิ่งฉายมาได้ไม่นาน พอจขกท.ได้ดูแล้วถึงกับเงิบ เพราะมันดันไปตรงกับประเด็นที่กำลังทำวิจัยอยู่พอดีจึงอยากจะลองเรียบเรียงความคิดและแชร์ประสบการณ์ที่เจอไปด้วย รวมถึงอยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากคนในบอร์ด และที่สำคัญคือผู้รู้ด้วยว่าคิดเห็นยังไงกันบ้างจากอนิเมเรื่องนี้ เพราะคิดว่ามีอีกหลายคนที่น่าจะสังเกตเห็นเหมือนกัน แต่พอจขกท.ดู PV แวบแรกแล้วเห็นตึกสภานักเรียนก็เข้าใจได้เลยว่า theme มันต้องออกมาเป็นแบบนี้แน่นอน จึงตั้งตารอดูมาหลายๆสัปดาห์แล้ว
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า จขกท. “คาด”เอาไว้ว่าอนิเมเรื่องนี้ จะมีการพัฒนาของเนื้อเรื่องได้สุดยอดมาก เพราะตัวเองเป็นคนชอบดูอนิเมมาก รวมถึงการศึกษาเกี่ยวกับหัวข้อนี้อย่างต่อเนื่องทำให้คิดว่าอนิเมเรื่องนี้ แค่ concept ก็โคตรแม่นแล้ว
เริ่มจากการหาคำง่ายๆมาอธิบายก่อน โดยความเห็นส่วนตัวแล้วพอจะระบุได้สองคำคือคำว่า “Authority” กับ “Uniform”
“อำนาจ” หรือ “อำนาจอันชอบธรรม” กับ “เครื่องแบบ” ซึ่งเห็นได้เป็นรูปธรรมอย่างมากในอนิเม
ทั้งสองอย่างเกี่ยวกันยังไง ถ้าใครคุ้นๆอยู่บ้างก็พอจะนึกกันออกตอนที่มีช่วงนึงมีการถกเถียงกันอย่างมากเรื่องเครื่องแบบนักเรียน และชุดนักศึกษา คิดว่าคงพอจำกันได้ ถ้าหากใครตามข่าว หรืออย่างเนติวิทย์ หรือ อั้ม เนโกะ หรืออะไรก็แล้วแต่ช่างมันเหอะ(หากเป็นไปได้อย่าดราม่ากันในนี้นะ)
โดยสรุปการที่ยกสองคำนี้ขึ้นมาก็เพราะว่าในอนิเมเรื่องนี้มีการวิพากษ์เกี่ยวกับ “วัฒนธรรมเครื่องแบบ” ได้อย่างเข้มข้น รสกลมกล่อมแบบที่จขกท.ชอบมาก อีกทั้งยังนึกไม่ถึงเลยว่าประเทศอย่างญี่ปุ่นที่เคร่งครัดในกฏระเบียบ ก็มีการเปิดมุมมองในเรื่องนี้กันอย่างกว้างขวาง อย่างที่ว่าอนิเมมันกินพื้นที่ครอบคลุมไปทั่วโคโลนี่ในอวกาศ โลกคู่ขนาน โลกเวทย์มนต์ VRMMORPG บลาๆๆ รวมไปถึงวัฒนธรรมเครื่องแบบด้วย!
เริ่มด้วย Uniform (เครื่องแบบ) เป็นอย่างแรก โดยในอนิเมจะเรียกเครื่องแบบนักเรียนว่า “Ultima Uniform”
ในอนิเมที่สื่อออกมาเพื่อเปรียบเทียบกับสังคมปัจจุบัน มันคือสัญลักษณ์ของ “อำนาจ” ที่คนถือครองไว้ อำนาจที่ว่านี้ก็จะสามารถทำให้คนยำเกรง เคารพนับถือ เชื่อถือ หรือคล้อยตามได้ ยิ่ง “ยศ” (ดาว) ที่ติดไว้บนเครื่องแบบมีมากเท่าไร ก็ยิ่งมีพลังอำนาจมากเท่านั้น ถึงร่างกายจริงๆจะอ่อนแอแค่ไหน แต่ถ้าได้สวมใส่ก็สามารถทำให้กลายเป็นยอดมนุษย์ได้ เหมือนกับคนอ้วนๆ หน้าตาไม่หล่อ แต่พอใส่เสื้อสูตรไฮโซ ตัดเย็บประณีต ผูกไทด์ก็ทำให้ดูดี ดูน่าเชื่อถือได้
ส่วน “Godrobe” ที่ซัตสึกิกับริวโกะมี ยิ่งทำให้ได้รับพลังอำนาจไร้เทียมทาน ซึ่งยิ่งมีพลังมากก็ยิ่งมีอันตรายมาก เพราะมันหมายถึง “อำนาจยิ่งมาก ก็จะทำให้คนเหลิงอำนาจและถูกครอบงำได้ง่าย” ดังนั้นมันจึงเหมาะสมแค่เฉพาะคนที่มีเจตจำนงที่แข็งแกร่งเท่านั้น เป็นข้อพิสูจน์ว่าคนที่มี “ความเป็นผู้นำ” (Leadership) มีความกล้า มีองค์ความรู้เพื่อการสถาปนาอำนาจและเข้าไปให้การรับรองความถูกต้องของอำนาจเท่านั้นถึงคู่ควรกับอำนาจที่ยิ่งใหญ่
ภายในโรงเรียนฮอนโนจิ ทุกอย่างจะถูกกำหนดด้วยเครื่องแบบ แบบตั้งใจเปรียบเทียบกับสังคมปัจจุบันที่ทุกคนยึดติดกับเครื่องแบบ พิจารณาทุกอย่างดั่งมองแต่เพียงปกหนังสือ เป็นระบบที่เชื่อมโยงกับในอนิเมซึ่งในเนื้อเรื่องนั้นส่อให้เห็นถึงความนิยมชมชอบ และส่งเสริม “การยอมสยบต่ออำนาจเบื้องบน” หรือกลายๆว่าเป็น “ระบอบเผด็จการ” “อำนาจนิยม” (Authoritarianism) และ “อภิชนนิยม” (Elitism) ที่มีความเชื่อว่าบางคนเกิดมาเพื่อปกครองผู้อื่น และบางคนเกิดมาเพื่อถูกปกครองนั่นเอง ซึ่งมันก็คล้ายคลึงกับระบบของทหาร ที่ในความเป็นจริงแล้วเครื่องแบบนักเรียนในปัจจุบันก็ถูกออกแบบโดยเริ่มต้นมาจากเครื่องแบบของทหารนี้แหละ และหากใครสังเกตมากขึ้นไปอีกก็จะพบว่านี่คือสิ่งที่อนิเมต้องการจะสื่อจริงๆโดยผ่านการเรียนการสอนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของฮิตเลอร์ในชั่วโมงเรียนในอนิเม
อนิเมพยายามจะกล่าวถึง “การเป็นมากกว่าเสื้อผ้า” ที่ถูกซ่อนอยู่ในสังคมปัจจุบัน ถามว่ามันแสดงออกมาให้เห็นยังไงบ้างนอกจากอำนาจที่พูดถึงด้านบน จะขอเริ่มที่ “เส้นใย” แล้วกัน เส้นใยอันนี้ถ้าพูดตามในอนิเมแล้วก็คือ “Life Fiber” หรือเส้นใยแห่งชีวิตนั่นเอง เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ทำออกมาได้ตรง concept มากๆ เส้นใยสีแดงนี้เราจะเห็นว่ามันมีกระจายอยู่ในหลายๆ scene ตั้งแต่เพลงเปิดแล้ว ไอ้เจ้าเส้นใยสีแดงนี้ก็หาได้มีความหมายเกี่ยวข้องกับด้ายแดงแห่งความรักแต่ประการใด แต่มันหมายถึง ชะตาของผู้คนในสังคมที่ผูกรวมกันเอาไว้ เมื่อมวลมหาชนมารวมกันจึงเกิดเป็นพลัง ดังจะเห็นได้ว่ามีการแสดงให้เห็นร่างของมนุษย์หลายๆคนจับมือสานกันเป็นเส้นใยเสื้อผ้าในอนิเม ซึ่งตรงกันกับทฤษฏีของมิเชล ฟูโกต์ด้วยเรื่อง “อนุภาคของอำนาจ” (micro physic of power) ที่มีพูดถึงไว้ว่า “อำนาจมีลักษณะของการกระจายตัวเป็นอนุภาคเล็ก ๆ แผ่ขยายครอบคลุมในทุกพื้นที่และทุกความสัมพันธ์ของสังคม อำนาจเป็นเสมือนเส้นใยที่ถักทอเป็นผ้าผืนใหญ่ของสังคม จึงมีทั้งการประสานและการตัดกันของเส้นใยอำนาจ มนุษย์ในสังคมจึงไม่สามารถเห็นได้ว่าอำนาจอยู่ตรงไหน แม้จะทราบดีว่าอำนาจเป็นสิ่งที่มีอยู่ หากอำนาจสามารถปกปิดซ่อนเร้นกลไกของตนเองไว้ได้มากเพียงใดก็จะยิ่งส่งผลให้อำนาจมีความสำเร็จมากยิ่งขึ้นเพียงนั้น” (Foucault, 1990: 86) ซึ่งราวกับต้องการหยิบยกทฤษฏีนี้เพื่อมาสลายแนวความคิด เพื่อปฏิเสธการให้ความสำคัญกับศูนย์กลางแห่งอำนาจ หรือระบบของโรงเรียนที่เห็นในเรื่องที่เห็นเป็นความสัมพันธ์จากบนลงล่าง ว่าแท้ที่จริงแล้วอำนาจดำรงอยู่ทุกหนแห่ง และเกิดจากรากฐานของความสัมพันธ์แห่งพลังที่สร้างและหยั่งลึกลงในตัวตนของสังคม
นอกจากนี้ Godrobe ที่ชื่อเซ็นเก็ตสึซึ่งริวโกะสวมใส่ยังพูดอีกด้วยว่าพลังจะเกิดขึ้นก็ตอนที่ “เครื่องแบบถูกสวมใส่” เท่านั้น “When you wear me and I am put on by you, that is when the power manifests.” นั่นหมายความว่าเครื่องแบบเฉยๆไม่มีคนใส่ก็เป็นได้แค่เสื้อผ้า แต่เมื่อใดที่ถูกสวมใส่ก็จะทำให้เกิดพลัง กลายเป็นยอดมนุษย์ ซึ่งอันที่จริงยังต้องมีส่วนประกอบอีกอย่างนั่นก็คือ “เลือด” ต้องให้เซ็นเก็ตสึดื่มเลือดพลังถึงจะเกิด ซึ่งจขกท.คิดว่าเป็นเพราะการที่จะได้อำนาจมามันหมายถึงการแลกด้วยเลือดเนื้อ ซึ่งเลือดนี้ก็แสดงถึง “ชีวิต” นั่นเอง
เมื่อลองมองย้อนกลับไป ทั้งเครื่องแบบและการบริหารอำนาจแบบนี้เองจึงทำให้เกิดการแบ่งชนชั้น มีสูงมีต่ำ เกิดการเบียดเบียนกันตั้งแต่ในโรงเรียนไปจนถึงสังคมภายนอกที่คนไม่มีอำนาจเป็นได้แค่คนชนชั้นล่าง หรือที่ซัตสึกิบอกว่าเหมือน “หมู” หรือถ้าแปลตามความคิดของจขกท.ก็คือ “เหยื่อ” นั่นเอง ส่วนคนที่อยู่อย่างร่ำรวยกลับมีเพียงหยิบมืออยู่บนยอดซึ่งถ้าพิจารณาดีๆจะเห็นได้ชัดจากโครงสร้างของเมืองในอนิเม ที่จงใจทำออกมาเป็นรูปสามเหลี่ยมเหมือนปิรามิดฐานะประชากรของประเทศด้อยพัฒนา
เมื่อพูดถึงการแปลงร่างแล้ว หลายคนก็ต้องคิดอยู่แล้วว่านี่เป็นลักษณะเด่นของ “Magical Girl” หรือการ์ตูนสาวน้อยเวทย์มนต์นั่นเอง (ถึง genre ของเรื่องนี้จะไม่ได้มีกำกับไว้ก็ตาม) ซึ่งถ้าสังเกตจะพบว่า Kill la Kill มีเงื่อนไขอยู่มากพอที่จะเรียกว่าเป็นสาวน้อยเวทย์มนต์ได้ อย่างในกรณีของการ์ตูนสาวน้อยเวทย์มนต์ในหลายๆเรื่องเช่น Madoka Nanoha หรือ Utena เป็นต้น ซึ่งโดยเฉพาะ genre นี้ที่เป็น Heroine’s Journey นั้นมีลักษณะเฉพาะอยู่อย่างนั่นคือการ “revolutionize the world” นั่นเอง ถามว่าทำไมต้องปฏิวัติ ก็เพราะมันไม่เหมือนกับ Hero’s Journey ที่มักมีเนื้อเรื่องแบบตามธรรมเนียมดั้งเดิมคือตั้งแต่แรกจะเน้นตัวเอกให้ได้ออกไปผจญภัยโลกภายนอก ในด้านของสาวน้อยเวทย์มนต์ ตัวเอกของเราไม่สามารถที่จะทำแบบนั้นได้แม้ว่าจะอยากก็ตาม ถามว่าทำไม ก็เพราะความต้องการของเธอถูกปฎิเสธ มันมี “อุปสรรค” กั้นเธอเอาไว้อยู่ เธออยากจะออกไปข้างนอก แต่เธอออกไปไม่ได้เพราะด้วยอุปสรรคซึ่งโดยมากก็เป็นระบบของสังคม ของสภาพแวดล้อมที่เธออยู่นี่แหละที่ตีกรอบเธอเอาไว้ ดังนั้นตัวเอกในเรื่องจึงมีเป้าหมายในการทำลายกฏหรือระบบของโลกเก่าทิ้งไป จากที่กล่าวมาทั้งหมดเลยทำให้เรื่อง Kill la Kill นี้มีลักษณะที่คล้ายกับ Utena อย่างมาก แต่ที่แน่ๆก็คือไม่ได้เล่นประเด็นเดียวกันอย่างแน่นอน
กลับมาที่เรื่องการแปลงร่างในอนิเม ขณะแปลงร่างก็รู้สึกได้เลยว่ามันกำลังโชว์ “ความเหนือชั้น” ให้เหนือกว่าชาวบ้านอยู่ ดังนั้นจึงเป็นการเอาวัฒนธรรมของการ์ตูนญี่ปุ่นมาผสมด้วยว่ารูปร่างหน้าตาแบบนี้แหละที่เรียกได้ว่า “สุดยอด” และเป็นที่ “นิยม” งดงามมากที่สุดแล้ว แม้จะไม่ชัดนักแต่เพราะแบบนั้นก็เลยสื่อได้เหมือนกันอีกว่า “คนของสังคม” ก็เหมือนกับเป็นที่จับตามองและมักถูกยัดเยียด “ความคาดหวัง” ที่เป็นความต้องการของมวลชน เลยกลายเป็นไม่ได้เน้นไปที่การเป็นตัวของตัวเอง แต่ไปเน้นที่การเป็นอย่างที่สังคมอยากให้เป็น เสื้อผ้าตอนแปลงร่างจึงออกมาอย่างที่เห็น คือโชว์เนื้อหนังมังสา ดังมองเห็นผู้หญิงเป็นเพียงสินค้า วัตถุชิ้นนึง
สำหรับการแปลงร่างขั้นสมบูรณ์ในตอนสาม ที่ริวโกะมีปัญหาแต่ซัตสึกิไม่มีนั้น ก็สื่อได้ถึง “เจตจำนง” ของคนที่เป็นผู้นำ ที่ไม่กลัวคำวิพากษ์ วิจารณ์ของมวลชน เพื่อที่จะให้บรรลุเป้าหมายแล้วก็ต้องยอมเสียอะไรไปบ้าง ซึ่งบ้างครั้งก็หมายถึงต้องเสียจริยธรรมบางอย่างไป อย่างความ “หน้าด้าน” ของนักการเมืองที่โกหกเล่นละครกันในสังคม เป็นต้น จะเรียกก็ได้ว่าซัตสึกิหน้าด้าน เธอไม่กลัวคำวิจารณ์ของสังคม สายตาของเธอมีแต่เป้าหมายเท่านั้น ส่วนริวโกะมองว่าชุดมันน่าอาย คือเธอยังมีจรรยาบรรณ แต่เพื่อสู้กับอำนาจที่เหนือกว่าแล้ว สุดท้ายเธอจึงยอมสละ “เกียรติ” ของเธอเพื่อเป้าหมายด้วย นอกจากนี้ในความหมายที่สองของการแปลงร่าง “วิธีการซึ่งให้ได้พลังมา” คือริวโกะหลอมรวมกับประชาชนจนเกิดเป็นพลัง ต่างจากซัตสึกิที่มองว่าประชาชนเป็นสิ่งที่เอาไว้ “ใช้”
จบเรื่องหลักๆไปแล้วก็มาเรื่องยิบย่อยเป็นส่วนเสริมบ้าง เนื่องจากเรื่องนี้มี theme ที่เกี่ยวกับ uniform จึงทำให้เกิดการยึดโยง theme นี้กับสิ่งต่างๆมากมายในเรื่องแบบเยอะมากจนเล่าไม่หมด ยกตัวอย่างเช่น
1. กรรไกร: ตามทฤษฎีที่จขกท.ชอบมากที่สุดคือ อำนาจนั้นเปรียบเหมือนกับ “ดาบสองคม” ที่เป็นเหมือนใบมีดกรรไกรที่มีสองเล่ม แสดงให้เห็นถึง “คุณ” และ “โทษ” การประกอบรวมกันโดยสมบูรณ์ของกรรไกรจะหมายถึงอะไร อันนี้ก็ต้องให้ริวโกะ และเด็กติดอนิเมทั้งหลายกลับไปคิดเดาต่อเอาเอง
2. เพลงเปิด: ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการ “ปลดแอก” *จขกท.ไม่เก่งภาษาญี่ปุ่นนะ และไม่รู้ภาษาเขียนด้วย*
เช่นว่า “kyou wo nugisutete” มีแปลเป็นอังกฤษก็คือ “I’ll break free of its shackles.”
3. ชมรมเย็บผ้า (Sewing Club): เป็นกลุ่มคนที่คอยผลิต Ultima Uniform ให้กับโรงเรียน จึงกลายเป็นเหมือนคล้ายๆองค์กรที่กุม “ความลับ” ปริศนาของเส้นใย ไม่ให้คนในสังคมได้รู้เท่าทัน
4. Godrobe, “Junketsu”: แปลตรงตัวว่า “Purity” หรือบริสุทธิ์ แหงละ อำนาจที่ได้มาอย่างใสสะอาดและชอบธรรมที่สุดที่ถูกส่งทอดต่อกันมาเป็น Traditional Authority ตามทฤษฎีของ Max Weber
5. Godrobe, “Senketsu”: แปลตรงตัวว่า “Fresh Blood” อย่างที่บอกไปแล้ว เลือดคือสัญลักษณ์ของชีวิต มันคือสีแดงที่หมายถึง “ประชาชน” และ “คนรากหญ้า” เหมือนดังที่เห็นในธงชาติไทย
6. ดาบของซัตสึกิหรือ Bakuzan (縛斬): อันนี้ไม่รู้ความหมาย ใครเก่งช่วยแปลหน่อยสิ อยากรู้มาก
7. เพลงปิด: ที่มีเนื้อหาและรูปภาพที่เกี่ยวกับ “ชุดนักเรียน” และ “เครื่องแบบ” แบบต่างๆในสังคม รวมไปถึงชุด “แต่งงาน” โดยเนื้อเพลงก็สื่อถึง
ความต้องการที่จะเป็นอิสระจากรูปแบบเหล่านั้น และแสวงหาความเป็นตัวเอง
ขอบพระคุณอย่างสูงหากอ่านจบหมด การคุยเรื่องการ์ตูนนี่มันสนุกจริงๆ คุยทีคุยได้เป็นวันเลยละ
จขกท.ก็จะดีใจมากๆหากแสดงความคิดกันด้วยนะ หากใครยังไม่ได้ดู Kill la Kill ก็แนะนำกันเลยนะว่าดูเหอะ เพราะมัน “หน