โดย...ยินดี เรืองดิษฐ์
สหรัฐอเมริกาจะสามารถปลดชนวนระเบิดโลกได้ทันเวลาหรือไม่ “โพสต์ทูเดย์” สัมภาษณ์พิเศษ “วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่เกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อหาจังหวะและโอกาสในการเข้าลงทุนหุ้น!!!
วิศิษฐ์ กล่าวว่า สหรัฐยังมีเวลาพิจารณาขยายเพดานหนี้สหรัฐ แม้ว่าวันที่ 17 ต.ค.นี้ กระทรวงการคลังจะมีเงินเหลืออยู่เพียง 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แต่สามารถกู้ยืมได้อีก 9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
วันที่ 24 ต.ค. 2556 นี้ นักลงทุนควรจับตาให้ดี หน่วยงานงบประมาณสหรัฐคาดว่ากระทรวงการคลังหมดความสามารถทุกวิถีทางในการระดมเงิน และวันที่ 31 ต.ค. ยังถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยพันธบัตร 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเชื่อว่ายังสามารถใช้เงินปันผลหรือเงินล่วงหน้ามาจ่ายก่อนได้ จุดสำคัญอยู่ที่วันที่ 15 พ.ย. จะต้องจ่ายดอกเบี้ยมากถึง 2.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
“ช่วงวันที่ 31 ต.ค.-15 พ.ย.นี้ เป็นเขตอันตราย ถ้าเพดานการก่อหนี้ถูกขยายก่อนวันที่ 24 ต.ค. โอกาสถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้จะมีน้อย”
“วิศิษฐ์” มั่นใจว่าถึงเวลานี้ยังคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้สูงถึง 95% ที่เพดานหนี้จะถูกยกได้ทันก่อนวันที่ 1 พ.ย. แต่จะเกิดขึ้นในการเจรจาต่อรองวินาทีสุดท้ายเท่านั้น ตอนนี้ทั้งสองพรรคต่างใช้นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำมาทำงานอย่างขะมักเขม้น ชิงไหวชิงพริบ ถ้าหากไม่มีการยกเพดานหนี้ก็จะมีผลต่อคะแนนเสียงทางการเมืองของแต่ละพรรคเป็นอย่างมาก
ฝ่ายวิจัยได้คาดการณ์สถานการณ์นี้ไว้ 4 กรณี คือ 1.เพดานหนี้ถูกยกสูงขึ้นก่อนวันที่ 1 พ.ย. และหน่วยงานราชการยังคงถูกปิดทำการต่อไป อันดับเครดิตจะไม่ถูกปรับลดลง ซึ่งมีความเป็นไปได้ 50% ค่าเงินสหรัฐจะอ่อนตัว ในกรณีนี้ตลาดหุ้นทั้งโลกจะแกว่งตัวรุนแรง เพราะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ แต่นักลงทุนจะมองข้ามช็อต หันไปให้ความสำคัญกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมากกว่า
กรณีที่ 2 มีความน่าจะเป็น 40% ที่เพดานหนี้สามารถยกขึ้นก่อนวันที่ 1 พ.ย. ขณะที่หน่วยงานราชการกลับมาเปิดตามปกติ สหรัฐไม่ถูกลดเครดิต กรณีนี้ดีที่สุด ตลาดหุ้นทั่วโลกจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง
กรณีที่ 3 คือ เพดานหนี้ถูกยกหน่วยงานราชการยังคงปิดต่อไป แต่สหรัฐถูกลดอันดับเครดิตซึ่งมีความเป็นไปได้แค่ 5% เท่านั้น หากเกิดในกรณีนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกจะปรับตัวลดลง และเงินจะไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงเข้าสู่สินทรัพย์ที่ปลอดภัย เช่น เงินฟรังก์สวิส เงินเยนญี่ปุ่นและทองคำ ซึ่งในกรณีนี้ก็จะเป็นเหมือนปี 2554 ที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงประมาณ 17% รวมถึงหุ้นไทยก็จะลดลงในทิศทางเดียวกันด้วย คือ 15-20%
กรณีที่ 4 เพดานหนี้ไม่สามารถถูกยกขึ้นได้ทันวันที่ 1 พ.ย. ซึ่งมีโอกาสเกิดแค่ 5% เท่านั้น หน่วยงานราชการปิดต่อ และสหรัฐถูกลดเครดิต กรณีนี้ถือว่าเลวร้ายที่สุด และจะเป็นจุดเสี่ยงที่สำคัญของตลาดหุ้นทั้งโลก เพราะจะเป็นโอกาสเดียวที่สหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ แต่หุ้นจะปรับฐานในช่วงแรกและจะยืนได้ เพราะนักลงทุนรู้ว่าการผิดนัดชำระหนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อตราสารหนี้ทั้งหมด การซื้อขายพันธบัตรจะถูกแบ่งแยกเป็นส่วนที่ปกติ และส่วนที่ถูกเลื่อนการจ่ายดอกเบี้ย ซึ่งกรณีนี้ตลาดหุ้นจะเริ่มฟื้นตัวกลับมาได้
“เพดานหนี้สหรัฐจะไม่ส่งผลกระทบรุนแรงเหมือนกับปี 2554 และตลาดหุ้นจะไม่ตกรุนแรงเพราะสถานการณ์เปลี่ยนไป จีดีพีสหรัฐในปี 2554 โตเพียง 1.4% แต่ขณะนี้จีดีพีสหรัฐโตในระดับ 1.7-2% แม้มีการประเมินว่าการปิดหน่วยงานรัฐในหนึ่งสัปดาห์จะทำให้จีดีพีลดลง 0.1-0.2% ก็ตาม นอกจากนี้การขาดทุนงบประมาณปัจจุบันอยู่ที่ 4-5% ของจีดีพี ต่ำกว่าเมื่อปี 2554 ซึ่งอยู่ที่ 9-10% จึงประเมินว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับตลาดทุนจะไม่รุนแรง”
วิศิษฐ์ คาดการณ์ว่า แนวโน้มตลาดทุนหลังเพดานหนี้จบจะสดใสมาก เนื่องจากมีปัจจัยบวกทั้งในต่างประเทศสนับสนุนอย่างน้อย 9 เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องสภาพคล่องของโลกยังคงสูงอยู่ จึงเชื่อว่าเงินที่ไหลออกจากตลาดหุ้นไทยไปแสนล้านบาท จะเห็นเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาอย่างน้อย 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งถ้าหากเป็นอย่างนี้ก็มีโอกาสที่จะเห็นดัชนี 1,700 จุด ในปี 2557 และอาจจะมีสิทธิขึ้นไปทำลายสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 1,753.73 จุดได้
เพราะฉะนั้น นักลงทุนอย่าตื่นตระหนกหรือกลัวปัญหาครั้งนี้มากจนเกินไป มิเช่นนั้นอาจจะพลาดโอกาสทองไป!!!
มองข้ามวิกฤตช้อนหุ้นรอ1,700จุดปี57
สหรัฐอเมริกาจะสามารถปลดชนวนระเบิดโลกได้ทันเวลาหรือไม่ “โพสต์ทูเดย์” สัมภาษณ์พิเศษ “วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่เกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อหาจังหวะและโอกาสในการเข้าลงทุนหุ้น!!!
วิศิษฐ์ กล่าวว่า สหรัฐยังมีเวลาพิจารณาขยายเพดานหนี้สหรัฐ แม้ว่าวันที่ 17 ต.ค.นี้ กระทรวงการคลังจะมีเงินเหลืออยู่เพียง 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แต่สามารถกู้ยืมได้อีก 9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
วันที่ 24 ต.ค. 2556 นี้ นักลงทุนควรจับตาให้ดี หน่วยงานงบประมาณสหรัฐคาดว่ากระทรวงการคลังหมดความสามารถทุกวิถีทางในการระดมเงิน และวันที่ 31 ต.ค. ยังถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยพันธบัตร 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเชื่อว่ายังสามารถใช้เงินปันผลหรือเงินล่วงหน้ามาจ่ายก่อนได้ จุดสำคัญอยู่ที่วันที่ 15 พ.ย. จะต้องจ่ายดอกเบี้ยมากถึง 2.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
“ช่วงวันที่ 31 ต.ค.-15 พ.ย.นี้ เป็นเขตอันตราย ถ้าเพดานการก่อหนี้ถูกขยายก่อนวันที่ 24 ต.ค. โอกาสถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้จะมีน้อย”
“วิศิษฐ์” มั่นใจว่าถึงเวลานี้ยังคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้สูงถึง 95% ที่เพดานหนี้จะถูกยกได้ทันก่อนวันที่ 1 พ.ย. แต่จะเกิดขึ้นในการเจรจาต่อรองวินาทีสุดท้ายเท่านั้น ตอนนี้ทั้งสองพรรคต่างใช้นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำมาทำงานอย่างขะมักเขม้น ชิงไหวชิงพริบ ถ้าหากไม่มีการยกเพดานหนี้ก็จะมีผลต่อคะแนนเสียงทางการเมืองของแต่ละพรรคเป็นอย่างมาก
ฝ่ายวิจัยได้คาดการณ์สถานการณ์นี้ไว้ 4 กรณี คือ 1.เพดานหนี้ถูกยกสูงขึ้นก่อนวันที่ 1 พ.ย. และหน่วยงานราชการยังคงถูกปิดทำการต่อไป อันดับเครดิตจะไม่ถูกปรับลดลง ซึ่งมีความเป็นไปได้ 50% ค่าเงินสหรัฐจะอ่อนตัว ในกรณีนี้ตลาดหุ้นทั้งโลกจะแกว่งตัวรุนแรง เพราะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ แต่นักลงทุนจะมองข้ามช็อต หันไปให้ความสำคัญกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมากกว่า
กรณีที่ 2 มีความน่าจะเป็น 40% ที่เพดานหนี้สามารถยกขึ้นก่อนวันที่ 1 พ.ย. ขณะที่หน่วยงานราชการกลับมาเปิดตามปกติ สหรัฐไม่ถูกลดเครดิต กรณีนี้ดีที่สุด ตลาดหุ้นทั่วโลกจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง
กรณีที่ 3 คือ เพดานหนี้ถูกยกหน่วยงานราชการยังคงปิดต่อไป แต่สหรัฐถูกลดอันดับเครดิตซึ่งมีความเป็นไปได้แค่ 5% เท่านั้น หากเกิดในกรณีนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกจะปรับตัวลดลง และเงินจะไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงเข้าสู่สินทรัพย์ที่ปลอดภัย เช่น เงินฟรังก์สวิส เงินเยนญี่ปุ่นและทองคำ ซึ่งในกรณีนี้ก็จะเป็นเหมือนปี 2554 ที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงประมาณ 17% รวมถึงหุ้นไทยก็จะลดลงในทิศทางเดียวกันด้วย คือ 15-20%
กรณีที่ 4 เพดานหนี้ไม่สามารถถูกยกขึ้นได้ทันวันที่ 1 พ.ย. ซึ่งมีโอกาสเกิดแค่ 5% เท่านั้น หน่วยงานราชการปิดต่อ และสหรัฐถูกลดเครดิต กรณีนี้ถือว่าเลวร้ายที่สุด และจะเป็นจุดเสี่ยงที่สำคัญของตลาดหุ้นทั้งโลก เพราะจะเป็นโอกาสเดียวที่สหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ แต่หุ้นจะปรับฐานในช่วงแรกและจะยืนได้ เพราะนักลงทุนรู้ว่าการผิดนัดชำระหนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อตราสารหนี้ทั้งหมด การซื้อขายพันธบัตรจะถูกแบ่งแยกเป็นส่วนที่ปกติ และส่วนที่ถูกเลื่อนการจ่ายดอกเบี้ย ซึ่งกรณีนี้ตลาดหุ้นจะเริ่มฟื้นตัวกลับมาได้
“เพดานหนี้สหรัฐจะไม่ส่งผลกระทบรุนแรงเหมือนกับปี 2554 และตลาดหุ้นจะไม่ตกรุนแรงเพราะสถานการณ์เปลี่ยนไป จีดีพีสหรัฐในปี 2554 โตเพียง 1.4% แต่ขณะนี้จีดีพีสหรัฐโตในระดับ 1.7-2% แม้มีการประเมินว่าการปิดหน่วยงานรัฐในหนึ่งสัปดาห์จะทำให้จีดีพีลดลง 0.1-0.2% ก็ตาม นอกจากนี้การขาดทุนงบประมาณปัจจุบันอยู่ที่ 4-5% ของจีดีพี ต่ำกว่าเมื่อปี 2554 ซึ่งอยู่ที่ 9-10% จึงประเมินว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับตลาดทุนจะไม่รุนแรง”
วิศิษฐ์ คาดการณ์ว่า แนวโน้มตลาดทุนหลังเพดานหนี้จบจะสดใสมาก เนื่องจากมีปัจจัยบวกทั้งในต่างประเทศสนับสนุนอย่างน้อย 9 เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องสภาพคล่องของโลกยังคงสูงอยู่ จึงเชื่อว่าเงินที่ไหลออกจากตลาดหุ้นไทยไปแสนล้านบาท จะเห็นเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาอย่างน้อย 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งถ้าหากเป็นอย่างนี้ก็มีโอกาสที่จะเห็นดัชนี 1,700 จุด ในปี 2557 และอาจจะมีสิทธิขึ้นไปทำลายสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 1,753.73 จุดได้
เพราะฉะนั้น นักลงทุนอย่าตื่นตระหนกหรือกลัวปัญหาครั้งนี้มากจนเกินไป มิเช่นนั้นอาจจะพลาดโอกาสทองไป!!!