BLS.กลยุทธ์ตลาดหุ้นไทย:
วันที่เผยแพร่ : 18/10/2013
บทวิเคราะห์โดยสังเขป :
ประเด็นการลงทุน—ตลาดหุ้นสะท้อนข่าวดีไว้แล้วเป็นส่วนใหญ่
ตลาดหุ้นค่อนข้างปรับตัวได้ดีในช่วงที่ผ่านมา โดยปรับตัวสูงขึ้น 15.15% หลังจากแตะจุดต่ำสุดในเดือนส.ค. การปรับตัวขึ้นแรงในช่วงที่ผ่านมามาจากการสะท้อนประเด็นข่าวดีไปหลายประการ เช่น 1) การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯตัดสินใจคงมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ต่อไป 2) ประเด็นงบประมาณของสหรัฐฯและเพดานหนี้ที่คลี่คลายลง (แม้ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาในระยะสั้น) 3) ข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยุโรปและจีนที่เติบโตต่อเนื่อง และ 4) ความคืบหน้าเกี่ยวกับพรบ.งบประมาณรัฐและพรบ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ในขณะนี้ตลาดตั้งสมมติฐานว่าการลดปริมาณ QE อาจเริ่มต้นขึ้นในเดือนธ.ค. (อย่างเร็วที่สุด) และเป็นไปได้สูงที่จะเริ่มต้นในไตรมาส 1/57 ทั้งนี้ข่าวดีดังกล่าวได้สะท้อนในตลาดหุ้นแล้ว เราเชื่อว่าตลาดมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการขายทำกำไร
อย่างไรก็ตาม เว้นแต่ว่าความเสี่ยงในประเทศจะเพิ่มสูงขึ้น (การปรับลดประมาณการกำไรลงอีก, GDP ในช่วงครึ่งหลังของปีอ่อนแอกว่าคาด, ปัญหาทางการเมือง) การขายทำกำไรจะเกิดขึ้นในช่วงสั้นๆเท่านั้น เรายังคงเป้าหมายตลาดสิ้นปีของเราไว้ที่ 1,510 จุด (PER ปีประมาณการ 2556 ที่ 15 เท่า และ 12.8 เท่าสำหรับปีประมาณการ 2557)
คาดการณ์ PER ของ SET แตะ upper band
ในแง่ของการประเมินมูลค่าตลาด คาดการณ์ PER ของ SET ใกล้แตะระดับ upper bound แล้ว ทั้งนี้หากไม่มีสภาพคล่องจากมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ เราพิจารณาได้ว่าตลาดในขนาดนี้ใกล้เต็มมูลค่าแล้ว (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคาดการณ์ PER เพิ่มสูงเกินกว่า 15 เท่า) และเสี่ยงต่อการโดนขายทำกำไร
หุ้นที่ฟื้นตัวแรงในช่วงเดือนที่ผ่านมา (กลุ่มท่องเที่ยว ขนส่ง อสังหาริมทรัพย์), หุ้นที่มีเบต้าสูง (กลุ่มธนาคาร อสังหาริมทรัพย์) และกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงในการปรับลดประมาณการลง (กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ สื่อ) ดูเหมือนจะมีความเสี่ยงสูงสุดที่จะปรับตัวได้แย่กว่าดัชนีหลัก ในทางตรงกันข้าม กลุ่มพลังงาน อิเล็กทรอนิกส ซีเมนต์ และปิโตรเคมีน่าจะเป็นกลุ่มที่มีความยืดหยุ่นต่อการขายทำกำไรมากกว่า
ข่าวดีใหม่?
ในขณะนี้ตลาดจะกลับมาให้ความสนใจกับตัวเลข GDP และกำไรของบริษัท ซึ่งอาจไม่มีอิทธิพลเพียงพอที่จะหนุนให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ดังนั้นเราจำเป็นจะต้องเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรไตรมาส 3/56 ที่น่าสนใจและดีต่อเนื่องจนถึงไตรมาส 4/57 ด้วย
การเผชิญหน้ากับปัญหาเพดานหนี้ของสหรัฐฯอีกครั้งในเดือนก.พ.อาจทำให้แผนการชะลอ QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯต้องเลื่อนออกไปอีก แต่นั่นเป็นประเด็นในช่วงต้นปีหน้า ในขณะนี้ความไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อพรรครีพับลิกันที่ลดลงอย่างมากจากความล้มเหลวในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งล้มเลิกความพยายามที่จะใช้ประเทศเป็นข้อต่อรองเมื่อถึงกำหนดการถกประเด็นเพดานหนี้อีกครั้งในสี่เดือนข้างหน้า ดังนั้นจึงเป็นโอกาสของธนาคารกลางสหรัฐฯที่จะเริ่มชะลอ QE ลง (อย่างไรก็ตาม สายกลุ่ม “tea party” ภายในพรรครีพับลิกันมีอุดมการณ์ที่แตกต่างจากหัวหน้าพรรคและนักการเงินของพรรค จึงอาจไม่เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้)
SET ใกล้เต็มมูลค่าแล้ว
วันที่เผยแพร่ : 18/10/2013
บทวิเคราะห์โดยสังเขป :
ประเด็นการลงทุน—ตลาดหุ้นสะท้อนข่าวดีไว้แล้วเป็นส่วนใหญ่
ตลาดหุ้นค่อนข้างปรับตัวได้ดีในช่วงที่ผ่านมา โดยปรับตัวสูงขึ้น 15.15% หลังจากแตะจุดต่ำสุดในเดือนส.ค. การปรับตัวขึ้นแรงในช่วงที่ผ่านมามาจากการสะท้อนประเด็นข่าวดีไปหลายประการ เช่น 1) การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯตัดสินใจคงมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ต่อไป 2) ประเด็นงบประมาณของสหรัฐฯและเพดานหนี้ที่คลี่คลายลง (แม้ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาในระยะสั้น) 3) ข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยุโรปและจีนที่เติบโตต่อเนื่อง และ 4) ความคืบหน้าเกี่ยวกับพรบ.งบประมาณรัฐและพรบ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ในขณะนี้ตลาดตั้งสมมติฐานว่าการลดปริมาณ QE อาจเริ่มต้นขึ้นในเดือนธ.ค. (อย่างเร็วที่สุด) และเป็นไปได้สูงที่จะเริ่มต้นในไตรมาส 1/57 ทั้งนี้ข่าวดีดังกล่าวได้สะท้อนในตลาดหุ้นแล้ว เราเชื่อว่าตลาดมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการขายทำกำไร
อย่างไรก็ตาม เว้นแต่ว่าความเสี่ยงในประเทศจะเพิ่มสูงขึ้น (การปรับลดประมาณการกำไรลงอีก, GDP ในช่วงครึ่งหลังของปีอ่อนแอกว่าคาด, ปัญหาทางการเมือง) การขายทำกำไรจะเกิดขึ้นในช่วงสั้นๆเท่านั้น เรายังคงเป้าหมายตลาดสิ้นปีของเราไว้ที่ 1,510 จุด (PER ปีประมาณการ 2556 ที่ 15 เท่า และ 12.8 เท่าสำหรับปีประมาณการ 2557)
คาดการณ์ PER ของ SET แตะ upper band
ในแง่ของการประเมินมูลค่าตลาด คาดการณ์ PER ของ SET ใกล้แตะระดับ upper bound แล้ว ทั้งนี้หากไม่มีสภาพคล่องจากมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ เราพิจารณาได้ว่าตลาดในขนาดนี้ใกล้เต็มมูลค่าแล้ว (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคาดการณ์ PER เพิ่มสูงเกินกว่า 15 เท่า) และเสี่ยงต่อการโดนขายทำกำไร
หุ้นที่ฟื้นตัวแรงในช่วงเดือนที่ผ่านมา (กลุ่มท่องเที่ยว ขนส่ง อสังหาริมทรัพย์), หุ้นที่มีเบต้าสูง (กลุ่มธนาคาร อสังหาริมทรัพย์) และกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงในการปรับลดประมาณการลง (กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ สื่อ) ดูเหมือนจะมีความเสี่ยงสูงสุดที่จะปรับตัวได้แย่กว่าดัชนีหลัก ในทางตรงกันข้าม กลุ่มพลังงาน อิเล็กทรอนิกส ซีเมนต์ และปิโตรเคมีน่าจะเป็นกลุ่มที่มีความยืดหยุ่นต่อการขายทำกำไรมากกว่า
ข่าวดีใหม่?
ในขณะนี้ตลาดจะกลับมาให้ความสนใจกับตัวเลข GDP และกำไรของบริษัท ซึ่งอาจไม่มีอิทธิพลเพียงพอที่จะหนุนให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ดังนั้นเราจำเป็นจะต้องเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรไตรมาส 3/56 ที่น่าสนใจและดีต่อเนื่องจนถึงไตรมาส 4/57 ด้วย
การเผชิญหน้ากับปัญหาเพดานหนี้ของสหรัฐฯอีกครั้งในเดือนก.พ.อาจทำให้แผนการชะลอ QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯต้องเลื่อนออกไปอีก แต่นั่นเป็นประเด็นในช่วงต้นปีหน้า ในขณะนี้ความไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อพรรครีพับลิกันที่ลดลงอย่างมากจากความล้มเหลวในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งล้มเลิกความพยายามที่จะใช้ประเทศเป็นข้อต่อรองเมื่อถึงกำหนดการถกประเด็นเพดานหนี้อีกครั้งในสี่เดือนข้างหน้า ดังนั้นจึงเป็นโอกาสของธนาคารกลางสหรัฐฯที่จะเริ่มชะลอ QE ลง (อย่างไรก็ตาม สายกลุ่ม “tea party” ภายในพรรครีพับลิกันมีอุดมการณ์ที่แตกต่างจากหัวหน้าพรรคและนักการเงินของพรรค จึงอาจไม่เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้)