แม้จะเริ่มต้นด้วยความวุ่นวาย แต่ที่สุดแล้วมหากาพย์การเลือกตั้งนายกสมาคมลูกหนังไทยก็จบลง พร้อมกับชัยชนะของ “บังยี” วรวีร์ มะกูดี ที่ป้องกันเก้าอี้ของตัวเองไว้ได้เป็น “สมัยที่ 4”
ผมเป็นหนึ่งในสื่อมวลชนที่เข้าไปเป็นสักขีพยานของการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ในคราวนี้ ที่จัดขึ้น ณ โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ซอฟเฟอริน พระราม 9 ทำให้ได้เห็นถึงกระบวนการต่างๆที่เป็นมาตรฐาน “ฟีฟ่า” ซึ่งต้องบอกว่าเป็นอะไรที่คนละเรื่องกับในอดีตอย่างสิ้นเชิง
อยากปรบมือให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝั่งคุณวรวีร์ และผู้ท้าชิง “บิ๊กก๊อง” วิรัช ชาญพานิชย์ ที่ช่วยกันเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของวงการฟุตบอลไทยไปสู่ความเป็นสากลโลก
ผมว่างานนี้ไม่มีใครแพ้ ใครชนะ หรอกครับ ชัยชนะที่แท้จริงก็อยู่ที่เราทุกคนได้ร่วมกันเปลี่ยนแปลงให้วงการลูกหนังบ้านเรา หลุดพ้นจากวงจร “อุบาทว์-น้ำเน่า” นี่แหละสำคัญที่สุด
นับแต่นี้ต่อไปโฟกัสก็คงจะไปอยู่ที่การเดินหน้าทำงานของ “นายกยี” และสภากรรมการ ว่าจะสามารถทำตามนโยบายอันสวยหรูที่ประกาศเอาไว้เป็น “สัญญาประชาคม” ก่อนหน้านี้ได้หรือไม่
ความยากลำบากกว่าจะชนะเลือกตั้งในครั้งนี้ น่าจะเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้คุณวรวีร์ต้องปรับเปลี่ยนการทำงาน และการบริหารจัดการภายในสมาคมฟุตบอลฯ แบบยกเครื่อง
โดยเฉพาะเรื่องของการบริหาร “ทีมชาติ” ซึ่งถือเป็นจุดอ่อน ที่ทำให้ “บังยี” โดนถล่มโจมตีมาโดยตลอด
ผมเคยเขียนบอกไปหลายเที่ยวแล้วว่า ผลงานของทีมชาติไทย ก็เปรียบเสมือนสินค้าหน้าโชว์รูม ถ้าผลงานมันออกมาดี รับประกันว่าอะไรๆก็ดูดีไปหมด
ตรงข้ามกันถ้าทีมชาติตกต่ำ หรือเล่นแล้ว “ห่วย” ซ้ำซาก ต่อให้บอลลีกของเราเติบโต พัฒนาไปมากขนาดไหน ก็ถูกมองข้าม
เพราะธรรมชาติของแฟนลูกหนังชาวไทย มักจะเอาความสำเร็จของทีมชาติเป็นตัวตั้ง ในการชี้วัดผลงานของผู้บริหารสมาคมฯอยู่เสมอ
ดังนั้นนโยบายที่จะตั้ง “ซีอีโอ” ขึ้นมาบริหารจัดการทีมฟุตบอลชาติไทยโดยเฉพาะ จึงเป็นอะไรที่สำคัญยิ่ง และต้องทำให้เกิดเป็นจริงให้ได้
อย่างน้อยก็เป็นการผ่องภาระความกดดันทั้งหลาย ทั้งปวง ที่เคยถาโถมเข้าใส่นายกฯวรวีร์ ไปให้กับผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และที่สำคัญมีเวลาที่จะเข้ามาทำงานแบบ “ฟูลไทม์” ให้กับ ทีมชาติอย่างแท้จริง
ส่วนเรื่องของฟุตบอลลีกอาชีพที่กำลังพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง จนมูลค่าการตลาดทะลุเพดานไปแล้ว ผมมองว่าทุกอย่างกำลังไหลลื่นไปได้สวย
มีเรื่องเดียวที่ยังเป็น “จุดบอด” ซึ่งต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน ก็คือเรื่องของ “ผู้ตัดสิน” ที่ถูกมองว่ายังไร้มาตรฐาน ปราศจากการยอมรับ จากแฟนบอลและคนทำทีมอย่างที่ควรจะเป็น
เรื่องนี้เรื่องใหญ่นะครับ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึก และความเชื่อมั่นของคนลูกหนัง ที่มีส่วนได้เสียกับบอลลีกบ้านเราโดยตรง
ที่สำคัญบุคคลเหล่านี้คือผู้ที่ไว้วางใจ กากบาทให้ “บังยี” และทีมงาน ได้มีโอกาสทำงานต่ออีกสมัย
ฉะนั้นกรุณาอย่าทำให้ทุกคนต้องผิดหวังอีก!!!
บี บางปะกง
ที่มา ไทยรัฐออนไลน์
http://www.thairath.co.th/column/sport/worldsoccer/376952
อย่าให้ผิดหวัง (อีก) โดย บี บางปะกง
ผมเป็นหนึ่งในสื่อมวลชนที่เข้าไปเป็นสักขีพยานของการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ในคราวนี้ ที่จัดขึ้น ณ โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ซอฟเฟอริน พระราม 9 ทำให้ได้เห็นถึงกระบวนการต่างๆที่เป็นมาตรฐาน “ฟีฟ่า” ซึ่งต้องบอกว่าเป็นอะไรที่คนละเรื่องกับในอดีตอย่างสิ้นเชิง
อยากปรบมือให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝั่งคุณวรวีร์ และผู้ท้าชิง “บิ๊กก๊อง” วิรัช ชาญพานิชย์ ที่ช่วยกันเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของวงการฟุตบอลไทยไปสู่ความเป็นสากลโลก
ผมว่างานนี้ไม่มีใครแพ้ ใครชนะ หรอกครับ ชัยชนะที่แท้จริงก็อยู่ที่เราทุกคนได้ร่วมกันเปลี่ยนแปลงให้วงการลูกหนังบ้านเรา หลุดพ้นจากวงจร “อุบาทว์-น้ำเน่า” นี่แหละสำคัญที่สุด
นับแต่นี้ต่อไปโฟกัสก็คงจะไปอยู่ที่การเดินหน้าทำงานของ “นายกยี” และสภากรรมการ ว่าจะสามารถทำตามนโยบายอันสวยหรูที่ประกาศเอาไว้เป็น “สัญญาประชาคม” ก่อนหน้านี้ได้หรือไม่
ความยากลำบากกว่าจะชนะเลือกตั้งในครั้งนี้ น่าจะเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้คุณวรวีร์ต้องปรับเปลี่ยนการทำงาน และการบริหารจัดการภายในสมาคมฟุตบอลฯ แบบยกเครื่อง
โดยเฉพาะเรื่องของการบริหาร “ทีมชาติ” ซึ่งถือเป็นจุดอ่อน ที่ทำให้ “บังยี” โดนถล่มโจมตีมาโดยตลอด
ผมเคยเขียนบอกไปหลายเที่ยวแล้วว่า ผลงานของทีมชาติไทย ก็เปรียบเสมือนสินค้าหน้าโชว์รูม ถ้าผลงานมันออกมาดี รับประกันว่าอะไรๆก็ดูดีไปหมด
ตรงข้ามกันถ้าทีมชาติตกต่ำ หรือเล่นแล้ว “ห่วย” ซ้ำซาก ต่อให้บอลลีกของเราเติบโต พัฒนาไปมากขนาดไหน ก็ถูกมองข้าม
เพราะธรรมชาติของแฟนลูกหนังชาวไทย มักจะเอาความสำเร็จของทีมชาติเป็นตัวตั้ง ในการชี้วัดผลงานของผู้บริหารสมาคมฯอยู่เสมอ
ดังนั้นนโยบายที่จะตั้ง “ซีอีโอ” ขึ้นมาบริหารจัดการทีมฟุตบอลชาติไทยโดยเฉพาะ จึงเป็นอะไรที่สำคัญยิ่ง และต้องทำให้เกิดเป็นจริงให้ได้
อย่างน้อยก็เป็นการผ่องภาระความกดดันทั้งหลาย ทั้งปวง ที่เคยถาโถมเข้าใส่นายกฯวรวีร์ ไปให้กับผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และที่สำคัญมีเวลาที่จะเข้ามาทำงานแบบ “ฟูลไทม์” ให้กับ ทีมชาติอย่างแท้จริง
ส่วนเรื่องของฟุตบอลลีกอาชีพที่กำลังพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง จนมูลค่าการตลาดทะลุเพดานไปแล้ว ผมมองว่าทุกอย่างกำลังไหลลื่นไปได้สวย
มีเรื่องเดียวที่ยังเป็น “จุดบอด” ซึ่งต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน ก็คือเรื่องของ “ผู้ตัดสิน” ที่ถูกมองว่ายังไร้มาตรฐาน ปราศจากการยอมรับ จากแฟนบอลและคนทำทีมอย่างที่ควรจะเป็น
เรื่องนี้เรื่องใหญ่นะครับ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึก และความเชื่อมั่นของคนลูกหนัง ที่มีส่วนได้เสียกับบอลลีกบ้านเราโดยตรง
ที่สำคัญบุคคลเหล่านี้คือผู้ที่ไว้วางใจ กากบาทให้ “บังยี” และทีมงาน ได้มีโอกาสทำงานต่ออีกสมัย
ฉะนั้นกรุณาอย่าทำให้ทุกคนต้องผิดหวังอีก!!!
บี บางปะกง
ที่มา ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/column/sport/worldsoccer/376952