เรื่องยาว : ป่าอุ่นใจไออุ่นรัก (ตอนที่ ๙)

กระทู้สนทนา
เรื่องยาว : ป่าอุ่นใจไออุ่นรัก ตอนที่ ๙
ป่าอุ่นใจไออุ่นรัก
หญ้าเจ้าชู้

ตอนที่ ๙

ขณะเดียวกับที่คนถูกโมเมให้เป็น “นางเอก” กลับรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นตัวประกอบไปซะอย่างนั้น บางทีอาจเพราะภาพความสนิทสนมของหมอทศกับนักเขียนสาวก็เป็นไปได้ที่บาดตาบาดใจจนรู้สึกแปลบๆ แปลกๆ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ที่แน่ๆ วันหยุดตามวงรอบที่จะมาถึงในอีกสองวันข้างหน้าอัลยาจะไม่พัก...

“จะอยู่เป็นก้างขวางคอ...มีไรมะ”
เธอบ่นกับตัวเองคนเดียว แต่ก้างก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้ขวางคอใครสักเท่าไหร่ เพราะมากิตามติดหมอทศทุกฝีก้าว จนทำให้บ่อยครั้งอัลยาแอบหนีขึ้นไปอยู่บนบ้านต้นไม้...มองดูความเป็นไป “ข้างล่าง” อย่างเซ็งๆ

“ไม่มีเหตุผล ฉันจะหนีขึ้นมาทำไมเนี่ย ไม่เห็นจะต้องไปรู้สึกอะไรเลยนี่นา เขาก็ทำงานของเขาเราก็มีงานของเราต้องทำ”
ถึงแม้จะรู้สึกบาดหูบาดตาเล็กน้อย อาจจะเพราะสายตาขี้เล่นปนเจ้าชู้ที่จับจ้องมองมาอยู่เรื่อยๆ ของทศพรรษนั่นเองกระมัง ที่ทำให้รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ จนหัวใจเต้นเป็นจังหวะเร็กเก้อยู่แทบจะตลอดเวลา

คนอะไร ทำให้คนอื่นหัวใจเต้นแรงก็ได้ด้วย

“อ้าวคุณ ขึ้นไปอยู่ทำไมบนนั้น ชาติก่อนเป็นลิงเหรอ”
หลังจากจบภารกิจในแต่ละวันทศพรรษจะต้องสรุปผลการปฏิบัติงานเป็นลายลักษณ์อักษรลงในสมุดบันทึกเพื่อเป็นข้อมูลในการปฏิบัติงานของวันต่อไป ขณะหอบเอกสารมาที่ม้านั่งเพื่อทำงานก็อดไม่ได้ที่จะเย้าหยอกเพื่อนร่วมงานที่นั่งทอดหุ่ยสบายอารมณ์อยู่บนบ้านต้นไม้

“เพิ่งจะเป็นชาตินี้แหละ”

“ข้างบนอากาศเป็นไงบ้าง ผมขอขึ้นไปด้วยคนนะ”
วางเอกสารลงแล้วก็พับแขนเสื้อเตรียมปีนต้นไม้

“เป็นลิงเหรอคะ”
คนอยู่บนที่สูงตะโกนลงมา

“ไม่ใช่ก็ขึ้นได้ ไม่เป็นไรหรอก บ้านต้นไม้แข็งแรงแน่นอน ผมรับประกัน”

“เห็นบันไดมั้ยคะ”

“เห็นสิครับ...ทำเองกับมือ”

“มันเรียกว่าอะไร”

“บันได... บันไดลิง...สำหรับลิง ไม่ใช่คน อื้อหือ มุขทหารเหรอเนี่ย สุดๆ อ่ะ”

“แล้วยังจะขึ้นมาอีกนะ”

“ผมก็เพิ่งเป็นลิงพร้อมๆ กับคุณนั่นแหละ”
ระหว่างที่พูดก็ปีนขึ้นไปจนใกล้ถึงแล้ว ขณะเดียวกับที่นักเขียนสาวผู้กลัวความสูง ก็เตรียมตัวจะตามขึ้นไปบ้าง

“อ๊ะ ไม่ได้นะครับมากิ บนนี้มีลิงสองตัวแล้ว ถ้าหนักกว่านี้อาจจะทำให้กิ่งไม้หักตกลงไปตายหมู่ได้ครับ”
นั่นแหละถึงทำให้มากิยอมนั่งรออยู่ใต้ต้นไม้

“เฮ่อ ในที่สุดก็ได้รับอิสรภาพเสียที”
ทศพรรษถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังหาที่นั่งเหมาะๆ ข้างอัลยาได้

“พูดอย่างกับว่ามีใครขังเอาไว้”

“ก็ไม่เชิง แต่คุณไม่เห็นเหรอว่าน้องเค้าตามติดผมแจยังกับเจ้าอินทนิลติดแม่”

“แหม ก็งานเค้า”

“คนเรามันก็ต้องอยากมีเวลาส่วนตัวบ้าง อะไรบ้าง เหมือนกันนี่นะคุณ”

“ฉันบอกเค้าให้เอามั้ย”

“โอ๊ะ ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวไปทำร้ายความรู้สึกน้องเค้าเปล่าๆ ที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไรมาก เพราะผมก็ทำงานของผม เค้าก็ทำงานของเค้า เพียงแค่ผมรู้สึกว่าคนที่อยู่ใกล้ๆ ผมน่าจะเป็นคุณมากกว่าน่ะ”

“อื้อหือ...มาหวานอะไรเอาตอนนี้”

“หวานอะไร้... ผมหมายถึงถ้าคุณอยู่ใกล้ๆ ผมก็ปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวงเพราะมีคุณคอยคุ้มกันอยู่ต่างหาก”

“อุตส่าห์หลงดีใจ”

“แอบชอบผมอยู่ก็ไม่บอก”

“เว่อร์ละ...”

“ขอบคุณนะที่มาอยู่ที่นี่ ถึงแม้ว่ามันจะแค่ไม่กี่เดือน อืมม์ แค่ร้อยกว่าวันแต่อย่างน้อยระหว่างนี้ก็คงทำให้ที่นี่อบอุ่นปลอดภัยขึ้นบ้าง”
น้ำเสียงขี้เล่นถูกปรับเป็นจริงจังอย่างรวดเร็วจนแทบตั้งหลักไม่ทัน

“อย่ามาคาดหวังเอาอะไรจากฉันเลย ฉันน่ะ...เอาเข้าจริงแล้วก็ไม่รู้จะช่วยอะไรคุณได้หรือเปล่าหรอกนะคะ ก็อย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ บางทีอาจจะเป็นภาระของคุณมากกว่าด้วยซ้ำ”

“ไม๊ ไม่เป็น ถ้าไม่มีคุณสิ ภาระผมเยอะเลยทีเดียว ไม่มีคนมาช่วยแบ่ง คุณอาจจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรมากมายนัก แต่สำหรับคนที่อยู่ที่นี่ สำหรับผม การมีเจ้าหน้าที่ทหารมาอยู่ด้วยเนี่ยมันรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย นี่ไม่ได้พูดเอาใจนะ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ พวกเราที่นี่มีแต่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ หมอสัตว์ ชาวบ้าน พวกเราต้องดูแลตัวเอง รักษาความปลอดภัยให้กับตัวเอง การออกเดินป่าแต่ละครั้งเราอาจจะระวังอันตรายจากสัตว์ป่าได้แต่เราไม่รู้วิธีระวังอันตรายจากคนด้วยกันหรอก นอกจากคนที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีแล้วอย่างทหาร หรือตำรวจชายแดนน่ะ”

อัลยาไม่อยากจะบอกเลยว่า ไอ้คำว่าได้รับการฝึกมาอย่างดีที่ว่าเนี่ย มันแค่สามเดือนแรกก่อนจะเข้ารับราชการต่างหาก พอหลังจากนั้นแล้วก็ไม่มีโอกาสได้จับปืน ยืนกลางแดดอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว... นั่นเพราะการทำงานในหน่วยงานด้านการศึกษา โอกาสที่จะไปออกทัพจับศึก สู้รบอย่างชายอกสามศอก คงต้องรอให้ทหารชายตายหมดประเทศก่อนโน่นแหละ ยิ่งยุคสมัยที่เปลี่ยนไปไวกว่าไฮสปีดอินเทอร์เน็ตแล้วด้วย งานของผู้หญิงส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นงานในสำนักงาน ส่วนน้อยเท่านั้นที่จะเอาชีวิตไปแลกกับอุดมการณ์...

บทสนทนาของทั้งคู่ “หลุดมือ” นักเขียนสาวไปเพราะเตรียมอุปกรณ์ไม่ทัน ที่สำคัญดูเหมือนเสียงของป่าจะดังกลบเสียงสนทนาของสองหนุ่มสาวจนมากิต้องล้มเลิกความตั้งใจที่จะฟังทั้งคู่คุยกัน และกลับเข้าบ้านไปเพื่อพิมพ์เรื่องราวในนิยายของเธอ

“คุณรู้สึกยังไงกับมากิ”
หมอสัตว์ป่าตั้งคำถามกับคนนั่งข้างๆ

“ถามแปลกๆ ฉันไม่ได้ชอบไม้ป่าเดียวกันซะหน่อย จะได้รู้สึกยังไงกับมากิได้”

“คิดไปโน่น... ผมหมายถึง ในสายตาคุณน่ะน้องเค้าเป็นคนยังไง”

“ก็ปกตินี่คะ น่ารักดี จะไม่ปกติก็คงเพราะอยู่ๆ ก็โผล่มาไม่ทันตั้งตัวมากกว่าค่ะ”

“เนอะ...ยังกะนางฟ้าแน่ะ”

“นิดนึงมั้ยคุณ... น้องเค้ายังเด็กอยู่เลยนะคะ”

“โอ๊ย จบปริญญาแล้วไม่เด็กแล้ว”

“ฉันหมายถึง เมื่อเทียบกับคุณน่ะค่ะ”

“โห... นี่เล่นเรื่องอายุเลยเหรอ แรงนะเนี่ยแรง”

“ขำๆ น่ะ คิดอะไรมาก”

“ไว้ได้โอกาสจะเอาคืน...”
แล้วก็เข้าสู่ความเงียบ แต่เสียงของป่าก็ไม่มีวันเงียบ นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ธรรมชาติบอกเราว่าผืนป่ามีชีวิต และสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็อยู่กันอย่างเป็นสุข

“ฉันรู้สึกว่าตัวเอง ตัวนิดเดียว เมื่อเทียบกับ...ป่าที่นี่”

“พื้นที่เท่ากับห้วยขาแข้งบวกอีกหนึ่งร้อยสนามฟุตบอล เพราะครอบคลุมพื้นที่สองประเทศ”

“แฮ่ะๆ แล้วห้วยขาแข้งนี่มันพื้นที่เท่าไหร่อ่ะคะ”

“มีพื้นที่ 4,046,747 ไร่ ก็ราวๆ 6,427 ตารางกิโลเมตร”

“แล้วทำไมที่นี่ไม่เป็นมรดกโลกล่ะคะ”

“ก็เป็นเพราะต่างก็แย่งชิงการถือสิทธิ์ในการครอบครองพื้นที่นั่นแหละ และก็ติดปัญหาที่ชนกลุ่มน้อยที่อยู่ระหว่างรอยต่อตะเข็บชายแดนที่ทั้งสองฝ่ายเองก็ต้องการผลักไสให้ออกนอกพื้นที่ของตัวเอง แปลกนะ ทีป่า กลับอยากได้ แต่ชาวบ้าน ชาวเขาที่เค้าอยู่กับป่ากลับไม่อยากได้ นี่นอกจากเรื่องพื้นที่แล้วยังมีเรื่องอื่นอีกเยอะ ที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่เชื่อมั้ยว่าทั้งสองฝ่ายมีกองกำลังของตัวเอง แทรกอยู่ทุกอณูพื้นที่ของป่า ผมถึงบอกไงว่า มีคุณอยู่น่ะอุ่นใจขึ้นเยอะ”

“น่าเห็นใจนะคะ”

“อีกสองวัน เข้าป่ากัน ตอนนี้ผมกำลังรอดูว่ากวางป่าตัวที่ขาเจ็บจะหายทันหรือเปล่า เราอาจจะต้องพาเขาไปส่งบ้าน”

“กวางนะเหรอคะ... แล้วจะพาไปส่งยังไง”

“การปล่อยสัตว์ป่าคืนสู่ธรรมชาติมีหลายวิธี หลายหนทาง ขึ้นอยู่กับประเภทของสัตว์ และพื้นที่ในการขนย้าย ตอนนี้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ที่โน่น หมายถึงในป่าน่ะ เขาได้เตรียมสร้างกรงไว้แล้ว คือพอเราพาเขาไปส่งเนี่ยเราจะไม่ปล่อยเข้าป่าไปเลยเหมือนนก เหมือนปลา แต่เราจะต้องให้เขาอยู่ในพื้นที่ป่าให้คุ้นเคยเสียก่อน และบางทีเราอาจจะต้องขยายพื้นที่กรงให้กว้างมากๆ พอเขาหายตกใจแล้วก็ค่อยๆ รื้อกรงออกไป ที่สำคัญคือระหว่างที่เขายังอยู่กับเรา ก็ต้องสังเกตอาการป่วยด้วยว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า จะได้รักษาทัน”

“ฉันคงไปเกะกะพวกคุณเปล่าๆ”
อัลยานึกถึงภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าร่มฉัตร ผู้บังคับหน่วยสามเจ็ดสอง ที่ส่งเธอมาอยู่ในป่านั่นก็คือ คือร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ในการลาดตระเวนดูแลพื้นที่ สอดส่องดูแลความสงบเรียบร้อย แต่ใครจะรู้... ตอนออกภาคสนามฝึกเรื่องบแผนที่และเข็มทิศ อัลยาพาเพื่อนหลงเข้าเขตพม่าไปไกลถึงเกือบสี่กิโลเมตร ถ้าไม่ติดว่ารู้ภาษาพม่าละก็ ป่านนี้อาจจะโดนจับขังข้อหาบุกรุกไปแล้วก็ได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่