3.หน้าที่ของฉัน
บุษบายิ้มบางๆ พี่ผู้ชายที่เพิ่งมาตรงเข้าไปไขกุญแจเปิดห้อง ซักประวัติเล็กน้อยหลังจากที่เลือกสถานที่ให้ก้นงอนๆ ของเธอมีที่นั่ง และระบุว่าต่อไปนี้คือโต๊ะประจำตำแหน่งของเธอ อุปกรณ์ในการทำงานพอมีให้เห็น บางอย่างแม้มันจะผ่านการใช้งานมาแล้ว ก็แสดงว่ามันใช้ได้และยังอยู่ในสภาพใช้การได้ และพร้อมที่จะใช้งานต่อไป มันคืออุปกรณ์ของเธอทั้งหมด
หญิงสาวเริ่มปฏิบัติการเป็นเจ้าของทันทีด้วยการตัดกระดาษเขียนขื่อ ติดสก๊อตเทปใส
เจ้าหน้าที่ภายในห้องประชาสัมพันธ์เริ่มทยอย พี่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ไซส์มินิเดินเข้ามา
บุษบาไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ทักทายอย่างสุภาพ หญิงวัยสี่สิบต้นๆ วางกล่องอาหารขนาดตามไซส์ถูกนำไปไว้บนหลังตู้เย็น แล้วค่อยหันมาทักทายน้องใหม่อย่างบุษบา
“เป็นไง ทำงานวันแรก”
‘แหม พี่คะ ถามแปลกๆ นะคะ ยังไม่เริ่มงานเลย แล้วจะรู้ไหมเนี้ย’
อาการคันปากที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้าหวานก็เริ่มออกฤทธิ์ คันคะเยอมุบมิบ
“คะพี่”
“เราชื่ออะไรเหรอ”
“บุษคะ บุษบา พิพิธภูมิคะ”
“พี่ชื่อแหม่มนะ...นั่นพี่ตุ่น กงสิน ยังมีอีกหลายคนนะ เดี๋ยวก็คงพากันทยอยมาล่ะ”
ผู้หญิงที่แนะนำตัวเองว่าชื่อแหม่ม ไปนั่งโต๊ะ ถัดจากโต๊ะที่ตั้งในสุดมาอีกสองตัว งั้นแสดงว่าต้องมีคนที่ใหญ่กว่าพี่เขาอีกนะสิ ป้ายพลาสติกใสสามเหลี่ยมใส่ชื่อและนามสกุลจริงเอาไว้ ส่วนตำแหน่งอยู่บรรทัดต่อมาว่า ‘นักวิชาการการท่องเที่ยว’ ท่าทางจะเป็นมัคกุเทศก์ที่ดีแน่เลย ดูจากรอยยิ้มและสำเนียงช่างพูดของพี่สาวคนนั้น บุษบาเลือกที่จะตีสนิทเรียนรู้งานกับพี่แหม่มคนนี้ดีกว่า
เสียงเอะอะพูดคุยกันอยู่หน้าโถงทางเดิน ดังเข้ามาใกล้ห้องที่บุษบานั่งอยู่ ผู้ชายสองคนน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันเดินพูดกันอย่างออกรสสนุกสนาน ราวกับไม่เคยเจอกันมาก่อน หยุดชะงักทันทีเมื่อเห็นเธอ ยิ้มให้บางๆ อย่างสุภาพ ทักทายตามปกติ
หนึ่งนั่นเป็นช่างภาพบันทึกภาพนิ่งหรือช่างกล้อง ส่วนอีกคนที่ดูแก่กว่าเป็นช่างภาพบันทึกภาพเคลื่อนไหวหรือช่างวิดีโอ เข้านั่งโต๊ะที่อยู่ด้านหลังของเธอห่างเพียงวากว่าๆ เท่านั้นเอง ดูท่าทางจะเป็นมิตร รักสนุกตามประสาผู้ชายเจ้าชู้ทั่วๆ ไป
แปดโมงสี่สิบห้านาที
โต๊ะในสุดที่ระบุเป็นชื่อของผู้หญิง และโต๊ะข้างๆ กันที่มีนามสกุลเหมือนกัน...ยังไม่มา ถ้าไม่ใช่พี่น้องกัน ก็ต้องเป็นสามีภรรยาแน่นอน ชัวร์ เพราะไม่มีทางเป็นอื่นไปได้แน่นอน
พี่ผู้ชายท่าทางอ้อนแอ้นเห็นบุษบามองดูโต๊ะที่ว่างเปล่าทั้งสองตัว อดที่จะแทรกขึ้นมาไม่ได้
“อ๋อ รายนี้เป็นผัวเมียกัน กว่าจะไปส่งลูกที่โรงเรียน นู้นเกือบสามโมงนั่นแหล่ะ ถ้ารถติดๆ หน่อยก็สามโมงพอดีเป๊ะ” เขาพูดลอยๆ แต่บุษบาก็ยิ้มและก้มหัวให้อย่างเข้าใจที่เขาพยายามอธิบายให้เธอฟัง บอกแล้วว่าคนไม่มีพันธะมันย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ
ดีจังเลยเนอะ การเป็นข้าราชการเมืองไทย กฎระเบียบที่ไม่ตึงนักก็พอทำให้งานค่อยๆ เดินไปตามระบบของมัน งานแรกเริ่มต้นเมื่อหัวหน้าห้องประชาสัมพันธ์มาถึง เอกสารที่เกลื่อนโต๊ะตามที่คิดเอาไว้เมื่อเช้าถูกโยน มาให้ ไม่ใช่สิ สอนงานในทันที
“เธอพอจะรู้งานสารบรรณใช่ไหม นี่นะตัวอย่างดูเอา ถ้าสงสัยก็ถามพี่ๆ เขา ทุกคนในห้องทำเป็นหมดล่ะ” ว่าแล้วหัวหน้าหญิงก็เดินกลับไปที่โต๊ะ ขีดๆ เขียนแผนผังอะไรสักอย่าง นั่นคงเป็นงานชิ้นต่อไปของเนาแน่นอน
สิบโมง เสียงโทรศัพท์ภายในดังขึ้น
การเรียนรู้งานหลักๆ ของเราก็เริ่มต้นอีกครั้ง หัวหน้าผู้หญิงสั่งว่าต่อไปนี้จะให้น้องเป็นดาวของห้อง ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์เต็มตัว ปั้นหน้ายิ้มสวยช่างเจรจา เดินเอกสารไปทั่วทุกกองสำนัก
นั่นคืองานของบุษบา
บุษบาหลงไฟ 3.หน้าที่ของฉัน (1)
หญิงสาวเริ่มปฏิบัติการเป็นเจ้าของทันทีด้วยการตัดกระดาษเขียนขื่อ ติดสก๊อตเทปใส
เจ้าหน้าที่ภายในห้องประชาสัมพันธ์เริ่มทยอย พี่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ไซส์มินิเดินเข้ามา
บุษบาไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ทักทายอย่างสุภาพ หญิงวัยสี่สิบต้นๆ วางกล่องอาหารขนาดตามไซส์ถูกนำไปไว้บนหลังตู้เย็น แล้วค่อยหันมาทักทายน้องใหม่อย่างบุษบา
“เป็นไง ทำงานวันแรก”
‘แหม พี่คะ ถามแปลกๆ นะคะ ยังไม่เริ่มงานเลย แล้วจะรู้ไหมเนี้ย’
อาการคันปากที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้าหวานก็เริ่มออกฤทธิ์ คันคะเยอมุบมิบ
“คะพี่”
“เราชื่ออะไรเหรอ”
“บุษคะ บุษบา พิพิธภูมิคะ”
“พี่ชื่อแหม่มนะ...นั่นพี่ตุ่น กงสิน ยังมีอีกหลายคนนะ เดี๋ยวก็คงพากันทยอยมาล่ะ”
ผู้หญิงที่แนะนำตัวเองว่าชื่อแหม่ม ไปนั่งโต๊ะ ถัดจากโต๊ะที่ตั้งในสุดมาอีกสองตัว งั้นแสดงว่าต้องมีคนที่ใหญ่กว่าพี่เขาอีกนะสิ ป้ายพลาสติกใสสามเหลี่ยมใส่ชื่อและนามสกุลจริงเอาไว้ ส่วนตำแหน่งอยู่บรรทัดต่อมาว่า ‘นักวิชาการการท่องเที่ยว’ ท่าทางจะเป็นมัคกุเทศก์ที่ดีแน่เลย ดูจากรอยยิ้มและสำเนียงช่างพูดของพี่สาวคนนั้น บุษบาเลือกที่จะตีสนิทเรียนรู้งานกับพี่แหม่มคนนี้ดีกว่า
เสียงเอะอะพูดคุยกันอยู่หน้าโถงทางเดิน ดังเข้ามาใกล้ห้องที่บุษบานั่งอยู่ ผู้ชายสองคนน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันเดินพูดกันอย่างออกรสสนุกสนาน ราวกับไม่เคยเจอกันมาก่อน หยุดชะงักทันทีเมื่อเห็นเธอ ยิ้มให้บางๆ อย่างสุภาพ ทักทายตามปกติ
หนึ่งนั่นเป็นช่างภาพบันทึกภาพนิ่งหรือช่างกล้อง ส่วนอีกคนที่ดูแก่กว่าเป็นช่างภาพบันทึกภาพเคลื่อนไหวหรือช่างวิดีโอ เข้านั่งโต๊ะที่อยู่ด้านหลังของเธอห่างเพียงวากว่าๆ เท่านั้นเอง ดูท่าทางจะเป็นมิตร รักสนุกตามประสาผู้ชายเจ้าชู้ทั่วๆ ไป
แปดโมงสี่สิบห้านาที
โต๊ะในสุดที่ระบุเป็นชื่อของผู้หญิง และโต๊ะข้างๆ กันที่มีนามสกุลเหมือนกัน...ยังไม่มา ถ้าไม่ใช่พี่น้องกัน ก็ต้องเป็นสามีภรรยาแน่นอน ชัวร์ เพราะไม่มีทางเป็นอื่นไปได้แน่นอน
พี่ผู้ชายท่าทางอ้อนแอ้นเห็นบุษบามองดูโต๊ะที่ว่างเปล่าทั้งสองตัว อดที่จะแทรกขึ้นมาไม่ได้
“อ๋อ รายนี้เป็นผัวเมียกัน กว่าจะไปส่งลูกที่โรงเรียน นู้นเกือบสามโมงนั่นแหล่ะ ถ้ารถติดๆ หน่อยก็สามโมงพอดีเป๊ะ” เขาพูดลอยๆ แต่บุษบาก็ยิ้มและก้มหัวให้อย่างเข้าใจที่เขาพยายามอธิบายให้เธอฟัง บอกแล้วว่าคนไม่มีพันธะมันย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ
ดีจังเลยเนอะ การเป็นข้าราชการเมืองไทย กฎระเบียบที่ไม่ตึงนักก็พอทำให้งานค่อยๆ เดินไปตามระบบของมัน งานแรกเริ่มต้นเมื่อหัวหน้าห้องประชาสัมพันธ์มาถึง เอกสารที่เกลื่อนโต๊ะตามที่คิดเอาไว้เมื่อเช้าถูกโยน มาให้ ไม่ใช่สิ สอนงานในทันที
“เธอพอจะรู้งานสารบรรณใช่ไหม นี่นะตัวอย่างดูเอา ถ้าสงสัยก็ถามพี่ๆ เขา ทุกคนในห้องทำเป็นหมดล่ะ” ว่าแล้วหัวหน้าหญิงก็เดินกลับไปที่โต๊ะ ขีดๆ เขียนแผนผังอะไรสักอย่าง นั่นคงเป็นงานชิ้นต่อไปของเนาแน่นอน
สิบโมง เสียงโทรศัพท์ภายในดังขึ้น
การเรียนรู้งานหลักๆ ของเราก็เริ่มต้นอีกครั้ง หัวหน้าผู้หญิงสั่งว่าต่อไปนี้จะให้น้องเป็นดาวของห้อง ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์เต็มตัว ปั้นหน้ายิ้มสวยช่างเจรจา เดินเอกสารไปทั่วทุกกองสำนัก
นั่นคืองานของบุษบา