สวัสดีทุกคนที่เข้ามาอ่านนะครับ กระทู้นี้ก็เป็นกระทู้แรกของผมในพันทิปเลยทีเดียว เห็นคนอื่นเขาเขียนแล้วก็คันไม้คันมืออยากลองกะเขาบ้าง อาจจะดูเหมือนบ่นๆหน่อยนะครับ เพราะรู้สึกชีวิตช่วงนี้มันตันๆ
คือผมเนี้ยะทำงานหยุดอาทิตย์ละวัน ซึ่งผมว่าคนที่ทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์น่าจะรู้ดีว่าการทำงานโดยมีวันหยุดแค่วันเดียวมันช่างน้อยนิดเสียเหลือเกิน T T น้อยเสียจนบางทีก็แทบไม่ได้ทำอะไร มันอยากแต่จะนอนให้อิ่ม ตื่นสายๆ กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนที่นอน ทำโน่นทำนี่ที่ตัวเองอยากทำ แต่ทำได้แป๊บเดียววันหยุดของผมก็ผ่านไป... T T
ซึ่งมันทำให้ผมมีอาการขี้เกียจและหมดไฟกับการทำงานมาซักระยะนึงได้ละ และผมก็รู้สึกว่าชักจะไม่ค่อยดีแล้วล่ะ มันทำให้ผมขาดแรงบันดาลใจ ขาดแรงกระตุ้นในชีวิต ซึ่งถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆชีวิตผมแย่แน่ๆ ก็เลยวางแผนสลัดความขี้เกียจออกไปให้พ้นโดยการทิ้งการกลิ้งไปกลิ้งมาบนที่นอนไว้ก่อน แล้วออกไปเที่ยวตามเส้นทางสั้นๆ เพื่อเติมไฟให้ตัวเอง ด้วยการใช้วันหยุดอันน้อยนิดของผมออกไปสำรวจที่ที่ผมยังไม่เคยไป คิดได้ปุ๊บก็เลยลองนั่งเสิร์จในเน็ตดู ว่ามีที่ไหนบ้างที่คนเค้าพูดถึงกันแต่เรายังไม่เคยไป...
แล้ววันหยุดผมก็มาถึง ยี้ฮ่า! ทั้งที่ตั้งใจว่าจะตื่นเช้าแล้วเชียว แต่ดันตื่นสายจนได้ เลยรีบอาบน้ำ แต่งตัวแล้วก็ออกเดินทางทันที ที่หมายแรกที่ผมจะไปวันนี้ก็คือ “ร้านกาแฟ พาคามาร่า”
ที่มาร้านนี้เพราะคืนก่อนหน้าไปอ่านในเว็บของน้าอ้วนฯ เข้าเห็นแกเขียนไว้ว่า “กาแฟอาราบิก้าสายพันธุ์ย่อย พาคามาร่า (Pacamara) เกิดจากการผสมระหว่างกาแฟ Maragogype และกาแฟ Pacas (สายพันธุ์ย่อยอาราบิก้า) ผลที่ได้คือกาแฟพาคามาร่าจะมีลักษณะเด่นที่ให้ผลตอบแทนสูง มีรสชาติดี เมล็ดกาแฟมีขนาดใหญ่กว่าเมล็ดกาแฟอาราบิก้าทั่วๆ ไปเกือบสองเท่า” ก็เลยว่าจะไปลองเสียหน่อยว่ารสชาติดีอย่างที่ว่ารึเปล่า แต่ต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่าผมเป็นคนที่ชอบทานกาแฟเป็นชีวิตจิตใจ ร้านกาแฟดังๆ ในเชียงใหม่นี่ก็ไปเยือนมาแล้วพอประมาณ แต่ก็ไม่ได้เป็นกูรูรู้เรื่องกาแฟดีกว่าคนอื่นนะครับ (เรียกว่าเป็นนักเสพคาเฟอีนดีกว่า 55555)
พอถึงที่ร้านปุ๊บก็สั่งเมนูพื้นฐานที่เป็นที่ชื่นชอบของผมมากที่สุดก่อนเลย “มอคค่าเย็นที่นึงครับ”
ไม่นานพนักงานก็เอามอคค่ามาเสิร์ฟให้ เย่!
ระหว่างนั่งดูดดื่มมอคค่าพลางเอานิ้วรูปแท็ปเล็ตไปๆ มาๆ (มี Free Wi-Fi ให้ด้วย) มองดูเวลา เอ้า! ผ่านไปแล้วชั่วโมงนึง (ไวเกิ๊นนนนน!! !) เลยเก็บกล้องลงกระเป๋า จ่ายตังค์แล้วมุ่งหน้าสู่สถานีต่อไป “ตรอกเหล่าโจ๊ว” หรือ “ตรอกเล่าโจ๊ว” ก็แล้วแต่สาเนียงของแต่ละคน
สารภาพเลยว่าอยู่เชียงใหม่มาก็หลายปี มากาดหลวงก็หลายหน แต่ไม่เคยได้ทำความรู้จักกับตรอกที่ว่านี้ดูเลยซักที วันนี้เลยจะลองมาเดินเที่ยวที่กาดม้งตามคำแนะนำของเพื่อนดู
หลายคนอาจจะงงๆ เหมือนผมว่าไอ่ตรอกที่ว่ามันอยู่ตรงไหนของกาดหลวง ซึ่งตามข้อมูลอันน้อยนิดที่ได้จากเพื่อนมาซึ่งได้ความว่าอยู่แถวๆ ศาลเจ้านั่นแหละ ผมพยายามเดินเงอะๆ งะๆ แถวศาลเจ้ามองหาป้ายอยู่ซักพักก็ไม่เห็นมีป้ายบอก เลยเดินไปถามจากแม่ค้าแถวนั้นเอาว่าตรงไหนกันแน่ที่เรียกว่า “ตรอกเล่าโจ๊ว” เท่าที่ผมทำความเข้าใจ ตรอกเล่าโจ๊วก็คือถนนข่วงเมรุทั้งเส้นนั่นแหละ ถนนที่เป็นซอยเล็กๆ เชื่อมระหว่างถนนท่าแพกับถนนช้างม่อย เอาให้ง่ายกว่านั้นก็คือ ถนนแคบๆ ย่านวินคอสเมติกส์, เชียงใหม่ใจดี, เชียงใหม่พลาสติก จนทะลุไปถึงถนนวันเวย์ที่วิ่งเข้าไปหาประตูท่าแพนั่นแหละ (งงกว่าเดิมมั้ยเนี่ย ฮา)
ผมเดินอย่างช้าๆ ถ่ายรูปเล่นไปตามตรอกย่านที่เรียกว่ากาดม้ง ทั้งผ้าพื้นเมือง ผ้าทอ เครื่องประดับ งานฝีมือสไตล์ม้ง ละลานตาเต็มไปหมด ทั้งลวดลายและสีสันมันช่างสะดุดตา ฝรั่งมังค่าให้ความสนใจ จับจองทั้งผ้าทอ ผ้าปัก เครื่องประดับ เอากลับประเทศตัว
ผมใช้เวลาพักใหญ่เดินกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่คนเดียวเพราะได้ไอเดียอะไรบางอย่างจากการเดินถ่ายรูปเล่นจนสุดตรอก เลยเดินย้อนกลับก็มาสะดุดตากับร้านขายของที่ระลึกชื่อ Thamel ที่ชั้นบนเป็นร้านกาแฟที่ว่ากันว่าตกแต่งเป็นสไตล์เนปาลไม่เหมือนใคร อันที่จริงอยากจะลองแวะเข้าไปลองเสียหน่อยแต่ด้วยความที่อากาศร้อนเกินไปบวกกับเพิ่งซัดมอคค่าจากร้านพาคามาร่ามาเลยขอยกยอดไว้คราวหน้าค่อยมาเยือนละกัน
หลังจากกินมื้อกลางวันที่กาดหลวงเสร็จ ก็เลยตีรถกลับ มุ่งหน้าไปศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) เชียงใหม่ ว่าจะไปเดินตากแอร์ดูงาน “เทศกาลปล่อยแสง” เสียหน่อย แว่วมาว่างานเริ่มมานานมากแล้วไม่ได้มาชมเสียที
พอผมมาถึงก็ตรงดิ่ง เดินเข้าส่วนของนิทรรศการแบบงงๆ เพราะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับงานเลย ตอนแรกไม่แน่ใจด้วยซ้าว่ายังมีงานแสดงอยู่หรือเปล่า พอเข้าไปก็ได้รับการดูแลจากเจ้าหน้าที่ที่ดูแลนิทรรศการเป็นอย่างดี เข้ามาให้ข้อมูลเกี่ยวกับนิทรรศการ แนะนำวิธีในการชมนิทรรศการ ชวนพูดคุยอธิบายตลอดการชมนิทรรศการ ประทับใจมากจริงๆ
คร่าวๆคือ เทศกาลปล่อยแสงครั้งนี้เป็นครั้งที่ 11 ของ TCDC แล้วแต่ 10 ครั้งแรกจัดใน กทม. ทั้งหมดเลย ครั้งนี้ถือเป็นการปล่อยแสงครั้งแรกในเชียงใหม่เลยมีชื่อว่า “เทศกาลปล่อยแสง 11 ตอน เหนือขนาด” โดยภายในงานจะมีการแสดง กิจการ สถานที่ที่มีการสะท้อนแนวคิดของการ คิด/ทำ/กิน ทั้งหมด 30 ชิ้นซึ่งแต่ละชิ้นงานก็จะถูกคัดเลือกมากจาก 30 บุคคลที่เป็นตัวแทนของความเปลี่ยนแปลงของเชียงใหม่ ซึ่งแยกออกเป็นหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ศิลปะการแสดง การพิมพ์ อาหาร ดนตรี ท่องเที่ยว และอื่นๆมากมาย
ผมเดินดูไปพลางกับได้รับข้อมูลจากพี่ทีมงานถึงแนวคิด รายละเอียดของผลงานแต่ละชิ้นที่ได้ทำการคัดสรรมาจัดแสดง บางอันดูเป็นเรื่องง่ายๆ ใกล้ตัว เคยมีอยู่แล้ว จับต้องได้ เอามาลองปรับให้เข้ากับเนื้องานของตัวเอง กลายเป็นการสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มอย่างน่าสนใจ
ผลงานบางอันดูแล้วก็ต้องร้อง ว้าว! ไปกับแนวคิดอันทรงพลังอย่าง ขลุ่ยทรงกลด ที่ไม่ได้มุ่งเน้นที่จะขายเพื่อทำเงิน แต่เป็นการสร้างขลุ่ยแบบไทยๆ แต่สามารถใช้งานได้อย่างเป็นสากล
หรือแม้แต่ความเพียรพยายามและการต่อยอดจากต้นทุนเดิมของตัวเอง อย่างเช่น ผลงานที่วางจักรยานที่ทามาจากอะครีลิคโดยเจ้าของผลงานไม่ได้เรียนเกี่ยวกับการออกแบบด้านนี้มาเลย หากแต่นำประสบการณ์ของตัวเองที่คลุกคลีอยู่กับการทำป้ายอะครีลิคมาต่อยอด ออกมาเป็นชิ้นงานใหม่ ที่สร้างแรงบันดาลใจได้อย่างดี
ผมใช้เวลาอยู่นานพอสมควรกว่าจะเดินดูแต่ละชิ้นงานจนทั่ว บางอันแค่เดินดู หยุด อ่าน บางอันต้องลองสัมผัส/มีส่วนร่วม จึงจะได้รับแรงบันดาลใจแบบเต็มเปี่ยม แต่สิ่งที่สาคัญที่สุดที่ผมได้กลับไปจากการเข้ามาเยี่ยมชมเทศกาลปล่อยแสงครั้งนี้คือ “วิธีคิด” ในการ “การออกแบบเพื่อแก้ปัญหา” การออกแบบที่ดีได้มาจากการคิดอย่างเป็นระบบถึงปัญหาแล้วค่อยหาทางแก้ไขมัน ด้วยวิธีที่เหมาะสม ไม่สาคัญว่าปัญหานั้นจะเกี่ยวกับอะไร ใหญ่มากน้อยแค่ไหน หากได้ “การออกแบบ” ซึ่งก็คือนัยของความคิดที่เป็นระบบเข้าไปช่วยแก้โจทย์แล้วล่ะก็ ยังไงมันก็ต้องมีทางออกที่ดีให้เสมอ
วันหยุดคราวนี้ได้อะไรดีๆ มาเพียบเลยแฮะ แต่พรุ่งนี้ต้องทำงานอีกแล้วเหรอเนี่ย เฮ่ออออ...สู้ว๊อยยยยยย!! !
ตามหาแรงบันดาลใจในครึ่งวัน: จิบกาแฟพาคามาร่า ชมตรอกเล่าโจ๊ว พาดู TCDC เชียงใหม่
คือผมเนี้ยะทำงานหยุดอาทิตย์ละวัน ซึ่งผมว่าคนที่ทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์น่าจะรู้ดีว่าการทำงานโดยมีวันหยุดแค่วันเดียวมันช่างน้อยนิดเสียเหลือเกิน T T น้อยเสียจนบางทีก็แทบไม่ได้ทำอะไร มันอยากแต่จะนอนให้อิ่ม ตื่นสายๆ กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนที่นอน ทำโน่นทำนี่ที่ตัวเองอยากทำ แต่ทำได้แป๊บเดียววันหยุดของผมก็ผ่านไป... T T
ซึ่งมันทำให้ผมมีอาการขี้เกียจและหมดไฟกับการทำงานมาซักระยะนึงได้ละ และผมก็รู้สึกว่าชักจะไม่ค่อยดีแล้วล่ะ มันทำให้ผมขาดแรงบันดาลใจ ขาดแรงกระตุ้นในชีวิต ซึ่งถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆชีวิตผมแย่แน่ๆ ก็เลยวางแผนสลัดความขี้เกียจออกไปให้พ้นโดยการทิ้งการกลิ้งไปกลิ้งมาบนที่นอนไว้ก่อน แล้วออกไปเที่ยวตามเส้นทางสั้นๆ เพื่อเติมไฟให้ตัวเอง ด้วยการใช้วันหยุดอันน้อยนิดของผมออกไปสำรวจที่ที่ผมยังไม่เคยไป คิดได้ปุ๊บก็เลยลองนั่งเสิร์จในเน็ตดู ว่ามีที่ไหนบ้างที่คนเค้าพูดถึงกันแต่เรายังไม่เคยไป...
แล้ววันหยุดผมก็มาถึง ยี้ฮ่า! ทั้งที่ตั้งใจว่าจะตื่นเช้าแล้วเชียว แต่ดันตื่นสายจนได้ เลยรีบอาบน้ำ แต่งตัวแล้วก็ออกเดินทางทันที ที่หมายแรกที่ผมจะไปวันนี้ก็คือ “ร้านกาแฟ พาคามาร่า”
ที่มาร้านนี้เพราะคืนก่อนหน้าไปอ่านในเว็บของน้าอ้วนฯ เข้าเห็นแกเขียนไว้ว่า “กาแฟอาราบิก้าสายพันธุ์ย่อย พาคามาร่า (Pacamara) เกิดจากการผสมระหว่างกาแฟ Maragogype และกาแฟ Pacas (สายพันธุ์ย่อยอาราบิก้า) ผลที่ได้คือกาแฟพาคามาร่าจะมีลักษณะเด่นที่ให้ผลตอบแทนสูง มีรสชาติดี เมล็ดกาแฟมีขนาดใหญ่กว่าเมล็ดกาแฟอาราบิก้าทั่วๆ ไปเกือบสองเท่า” ก็เลยว่าจะไปลองเสียหน่อยว่ารสชาติดีอย่างที่ว่ารึเปล่า แต่ต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่าผมเป็นคนที่ชอบทานกาแฟเป็นชีวิตจิตใจ ร้านกาแฟดังๆ ในเชียงใหม่นี่ก็ไปเยือนมาแล้วพอประมาณ แต่ก็ไม่ได้เป็นกูรูรู้เรื่องกาแฟดีกว่าคนอื่นนะครับ (เรียกว่าเป็นนักเสพคาเฟอีนดีกว่า 55555)
พอถึงที่ร้านปุ๊บก็สั่งเมนูพื้นฐานที่เป็นที่ชื่นชอบของผมมากที่สุดก่อนเลย “มอคค่าเย็นที่นึงครับ”
ไม่นานพนักงานก็เอามอคค่ามาเสิร์ฟให้ เย่!
ระหว่างนั่งดูดดื่มมอคค่าพลางเอานิ้วรูปแท็ปเล็ตไปๆ มาๆ (มี Free Wi-Fi ให้ด้วย) มองดูเวลา เอ้า! ผ่านไปแล้วชั่วโมงนึง (ไวเกิ๊นนนนน!! !) เลยเก็บกล้องลงกระเป๋า จ่ายตังค์แล้วมุ่งหน้าสู่สถานีต่อไป “ตรอกเหล่าโจ๊ว” หรือ “ตรอกเล่าโจ๊ว” ก็แล้วแต่สาเนียงของแต่ละคน
สารภาพเลยว่าอยู่เชียงใหม่มาก็หลายปี มากาดหลวงก็หลายหน แต่ไม่เคยได้ทำความรู้จักกับตรอกที่ว่านี้ดูเลยซักที วันนี้เลยจะลองมาเดินเที่ยวที่กาดม้งตามคำแนะนำของเพื่อนดู
หลายคนอาจจะงงๆ เหมือนผมว่าไอ่ตรอกที่ว่ามันอยู่ตรงไหนของกาดหลวง ซึ่งตามข้อมูลอันน้อยนิดที่ได้จากเพื่อนมาซึ่งได้ความว่าอยู่แถวๆ ศาลเจ้านั่นแหละ ผมพยายามเดินเงอะๆ งะๆ แถวศาลเจ้ามองหาป้ายอยู่ซักพักก็ไม่เห็นมีป้ายบอก เลยเดินไปถามจากแม่ค้าแถวนั้นเอาว่าตรงไหนกันแน่ที่เรียกว่า “ตรอกเล่าโจ๊ว” เท่าที่ผมทำความเข้าใจ ตรอกเล่าโจ๊วก็คือถนนข่วงเมรุทั้งเส้นนั่นแหละ ถนนที่เป็นซอยเล็กๆ เชื่อมระหว่างถนนท่าแพกับถนนช้างม่อย เอาให้ง่ายกว่านั้นก็คือ ถนนแคบๆ ย่านวินคอสเมติกส์, เชียงใหม่ใจดี, เชียงใหม่พลาสติก จนทะลุไปถึงถนนวันเวย์ที่วิ่งเข้าไปหาประตูท่าแพนั่นแหละ (งงกว่าเดิมมั้ยเนี่ย ฮา)
ผมเดินอย่างช้าๆ ถ่ายรูปเล่นไปตามตรอกย่านที่เรียกว่ากาดม้ง ทั้งผ้าพื้นเมือง ผ้าทอ เครื่องประดับ งานฝีมือสไตล์ม้ง ละลานตาเต็มไปหมด ทั้งลวดลายและสีสันมันช่างสะดุดตา ฝรั่งมังค่าให้ความสนใจ จับจองทั้งผ้าทอ ผ้าปัก เครื่องประดับ เอากลับประเทศตัว
ผมใช้เวลาพักใหญ่เดินกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่คนเดียวเพราะได้ไอเดียอะไรบางอย่างจากการเดินถ่ายรูปเล่นจนสุดตรอก เลยเดินย้อนกลับก็มาสะดุดตากับร้านขายของที่ระลึกชื่อ Thamel ที่ชั้นบนเป็นร้านกาแฟที่ว่ากันว่าตกแต่งเป็นสไตล์เนปาลไม่เหมือนใคร อันที่จริงอยากจะลองแวะเข้าไปลองเสียหน่อยแต่ด้วยความที่อากาศร้อนเกินไปบวกกับเพิ่งซัดมอคค่าจากร้านพาคามาร่ามาเลยขอยกยอดไว้คราวหน้าค่อยมาเยือนละกัน
หลังจากกินมื้อกลางวันที่กาดหลวงเสร็จ ก็เลยตีรถกลับ มุ่งหน้าไปศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) เชียงใหม่ ว่าจะไปเดินตากแอร์ดูงาน “เทศกาลปล่อยแสง” เสียหน่อย แว่วมาว่างานเริ่มมานานมากแล้วไม่ได้มาชมเสียที
พอผมมาถึงก็ตรงดิ่ง เดินเข้าส่วนของนิทรรศการแบบงงๆ เพราะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับงานเลย ตอนแรกไม่แน่ใจด้วยซ้าว่ายังมีงานแสดงอยู่หรือเปล่า พอเข้าไปก็ได้รับการดูแลจากเจ้าหน้าที่ที่ดูแลนิทรรศการเป็นอย่างดี เข้ามาให้ข้อมูลเกี่ยวกับนิทรรศการ แนะนำวิธีในการชมนิทรรศการ ชวนพูดคุยอธิบายตลอดการชมนิทรรศการ ประทับใจมากจริงๆ
คร่าวๆคือ เทศกาลปล่อยแสงครั้งนี้เป็นครั้งที่ 11 ของ TCDC แล้วแต่ 10 ครั้งแรกจัดใน กทม. ทั้งหมดเลย ครั้งนี้ถือเป็นการปล่อยแสงครั้งแรกในเชียงใหม่เลยมีชื่อว่า “เทศกาลปล่อยแสง 11 ตอน เหนือขนาด” โดยภายในงานจะมีการแสดง กิจการ สถานที่ที่มีการสะท้อนแนวคิดของการ คิด/ทำ/กิน ทั้งหมด 30 ชิ้นซึ่งแต่ละชิ้นงานก็จะถูกคัดเลือกมากจาก 30 บุคคลที่เป็นตัวแทนของความเปลี่ยนแปลงของเชียงใหม่ ซึ่งแยกออกเป็นหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ศิลปะการแสดง การพิมพ์ อาหาร ดนตรี ท่องเที่ยว และอื่นๆมากมาย
ผมเดินดูไปพลางกับได้รับข้อมูลจากพี่ทีมงานถึงแนวคิด รายละเอียดของผลงานแต่ละชิ้นที่ได้ทำการคัดสรรมาจัดแสดง บางอันดูเป็นเรื่องง่ายๆ ใกล้ตัว เคยมีอยู่แล้ว จับต้องได้ เอามาลองปรับให้เข้ากับเนื้องานของตัวเอง กลายเป็นการสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มอย่างน่าสนใจ
ผลงานบางอันดูแล้วก็ต้องร้อง ว้าว! ไปกับแนวคิดอันทรงพลังอย่าง ขลุ่ยทรงกลด ที่ไม่ได้มุ่งเน้นที่จะขายเพื่อทำเงิน แต่เป็นการสร้างขลุ่ยแบบไทยๆ แต่สามารถใช้งานได้อย่างเป็นสากล
หรือแม้แต่ความเพียรพยายามและการต่อยอดจากต้นทุนเดิมของตัวเอง อย่างเช่น ผลงานที่วางจักรยานที่ทามาจากอะครีลิคโดยเจ้าของผลงานไม่ได้เรียนเกี่ยวกับการออกแบบด้านนี้มาเลย หากแต่นำประสบการณ์ของตัวเองที่คลุกคลีอยู่กับการทำป้ายอะครีลิคมาต่อยอด ออกมาเป็นชิ้นงานใหม่ ที่สร้างแรงบันดาลใจได้อย่างดี
ผมใช้เวลาอยู่นานพอสมควรกว่าจะเดินดูแต่ละชิ้นงานจนทั่ว บางอันแค่เดินดู หยุด อ่าน บางอันต้องลองสัมผัส/มีส่วนร่วม จึงจะได้รับแรงบันดาลใจแบบเต็มเปี่ยม แต่สิ่งที่สาคัญที่สุดที่ผมได้กลับไปจากการเข้ามาเยี่ยมชมเทศกาลปล่อยแสงครั้งนี้คือ “วิธีคิด” ในการ “การออกแบบเพื่อแก้ปัญหา” การออกแบบที่ดีได้มาจากการคิดอย่างเป็นระบบถึงปัญหาแล้วค่อยหาทางแก้ไขมัน ด้วยวิธีที่เหมาะสม ไม่สาคัญว่าปัญหานั้นจะเกี่ยวกับอะไร ใหญ่มากน้อยแค่ไหน หากได้ “การออกแบบ” ซึ่งก็คือนัยของความคิดที่เป็นระบบเข้าไปช่วยแก้โจทย์แล้วล่ะก็ ยังไงมันก็ต้องมีทางออกที่ดีให้เสมอ
วันหยุดคราวนี้ได้อะไรดีๆ มาเพียบเลยแฮะ แต่พรุ่งนี้ต้องทำงานอีกแล้วเหรอเนี่ย เฮ่ออออ...สู้ว๊อยยยยยย!! !