'หม่อมอุ๋ย'จี้'ปู'ทบทวนจำนำข้าว

กระทู้ข่าว
รุมยำจำนำข้าวทำชาติขาดทุนมหาศาล 'หม่อมอุ๋ย'ประเมิน 2 ปีขาดทุนทางบัญชี4.2 แสนล้านบาท ทำหนังสือเปิดผนึกถึงนายกฯแนะเปลี่ยนแนวทางช่วยเหลือ
              เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ภาคีร่วมจัดงาน "รำลึก 100 ปีชาตกาล อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์" เปิดเวทีเสวนา "มหากาพย์จำนำข้าว สู่มหกรรมกอบกู้สุจริต" ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย นายอัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า รัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบต่อการดำเนินโครงการจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายต่อประเทศ ซึ่งที่สุดแล้วจะถือเป็นการฆ่าตัวตายทางการเมืองและประชาชนเองก็จะเรียนรู้ถึงความทุกข์จากนโยบายที่ฉาบฉวยนี้

              ขณะนี้ราคาข้าวในตลาดโลกกำลังลดลงแรงและเร็ว โดยเฉพาะในระยะ 3-4 เดือนที่ผ่านมา เพราะตลาดโลกเริ่มเห็นแล้วว่า ประเทศไทยมีข้าวในสต็อกจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลได้บอกว่าเป็นความลับ แต่ก็เปิดเผยออกมา ถือเป็นโจทย์ที่สำคัญในขณะนี้ นอกจากนี้ รัฐบาลเองก็มีหนี้จากจำนำข้าวแล้ว 5-6 แสนล้านบาท และกำลังมีปัญหาในการกู้เงิน โดยกระทรวงการคลังเริ่มเห็นแล้วถึงค่าใช้จ่ายในโครงการที่ขาดทุนมากขึ้น และมีความยากลำบากในการหาเงินกู้ ขณะเดียวกันการบริโภคข้าวคุณภาพสูงจะมีมากขึ้น ขณะที่รัฐบาลก็กำลังผลิตคุณภาพข้าวต่ำ ซึ่งจะเป็นปัญหา

หม่อมอุ๋ยแฉ2ปีขาดทุนกว่า4แสนล.

              ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวว่า โครงการรับจำนำข้าวที่กำหนดราคารับจำนำข้าวตันละ 1.5 หมื่นบาท เป็นการสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศมาก อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งตนคัดค้านในเรื่องนี้มาแต่ต้นเพราะได้คาดการณ์ไว้ถึงผลสูญเสียที่จะเกิดขึ้น จากการคำนวณความเสียหายครั้งล่าสุดจากโครงการจำนำข้าว 2 ปีที่ผ่านมา หรือ 4 ฤดูกาลผลิต คาดว่าจะเกิดความเสียหายจนถึงวันที่ขายข้าวหมด สูงถึง 425,000 ล้านบาท โดยปีแรกเสียหาย 205,000 ล้านบาท ปีที่สองเสียหาย 220,000 ล้านบาท ขณะที่ชาวนาได้ประโยชน์ไปไม่ถึงครึ่งหรือมีเพียง 210,126 ล้านบาท แต่กลับมีผู้อื่นที่มิใช่ชาวนาได้ประโยชน์ไปด้วย 115,831 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่ารัฐไม่สามารถสกัดการหาผลประโยชน์ หรือคอร์รัปชั่นจากโครงการจำนำได้เลย

              ทั้งนี้ เพื่อหยุดความเสียหายไม่ให้มากไปกว่านี้ จึงได้ทำหนังสือเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้ปรับวิธีช่วยเหลือชาวนาจากโครงการรับจำนำราคา 1.5 หมื่นบาท เป็นการช่วยเหลือในลักษณะที่ไม่ได้ไปดึงข้าวเข้ามาอยู่ในมือของรัฐ แต่ควรให้มีการค้าขายข้าวผ่านระบบการค้าเอกชน อย่างที่รัฐบาลได้เริ่มใช้แล้วในกรณียางพารา ที่จ่ายเฉพาะส่วนเพิ่มให้ชาวสวนยางโดยตรง ไม่เปิดโอกาสให้ผู้อื่นหาผลประโยชน์ หรือการจ่ายเงินเข้าบัญชีของชาวนาโดยตรง อย่างที่รัฐบาลใช้ช่วยเหลือชาวนากับข้าวเปลือกลอตสุดท้าย ปีการผลิต 2555/2556 ปริมาณ 8.9 แสนตัน โดยจ่ายเป็นเงินส่วนต่างจากราคาตลาดตันละ 2,500 บาท

จี้ทบทวนจ่ายส่วนต่างตรงชาวนา

              "ขอให้นายกรัฐมนตรีทบทวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะยังไม่สายเกินไปที่จะยกเลิกวิธีการรับจำนำ แล้วหันมาใช้วิธีจ่ายผลประโยชน์ส่วนเพิ่มให้ชาวนาโดยตรงแทน ก็จะได้ชื่อว่าทำงานสมตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ดูแลป้องกันไม่ให้งบประมาณแผ่นดินต้องสูญเสียมากเกินความจำเป็น และยังสามารถช่วยชาวนาได้อย่างทั่วถึงมากขึ้นด้วย" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

              สำหรับจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ เสนอให้ยกเลิกโครงการจำนำข้าว โดยระบุว่าการจำนำใน 2 ปีที่ผ่านมา ปี 2554/2555 ปริมาณ 21,640,000 ตัน ปี 2555/2556 ปริมาณ 22,230,000 ตัน รวม 48,870,000 ตัน ปริมาณที่ช่วยเหลือเพื่อประโยชน์ส่วนเพิ่มจริงปี 2555/2556 ปริมาณ 890,000 ตัน เกิดผลสูญเสียจนถึงวันที่ขายข้าวหมด ปี 2554/2555 มูลค่าอย่างน้อย 205,000 ล้านบาท ปี 2555/2556 มูลค่าอย่างน้อย 220,000 ล้านบาท รวมผลสูญเสีย 425,000 ล้านบาท โดยเกิดประโยชน์กับชาวนา ปี 2554/2555 วงเงิน 103,277 ล้านลบาท ปี 2556/2556 วงเงิน 106,849 ล้านบาท รวมประโยชน์ชาวนาได้รับ 210,126 ล้านบาท

              ทั้งนี้ ประโยชน์ส่วนอื่นที่ไม่ตกถึงมือชาวนา ปี 2554/2555 วงเงิน 56,967 ล้านบาท ปี 2555/2556 วงเงิน 58,864 ล้านบาท รวมเป็นวงเงิน 115,831 ล้านบาท มีครัวเรือนที่เข้าโครงการปี 2554/2555 จำนวน 2,163,000 ครัวเรือน ปี 2555/2556 จำนวน 2,108,000 ครัวเรือน มีจำนวนครัวเรือนที่ไม่ได้รับเงินโครงการปี 2554/2555 จำนวน 1,839,000 ครัวเรือน ปี 2555/2556 จำนวน 1,894,000 ครัวเรือน

คาดระบายสต็อกใช้ถึง10ปีเจ๊งยับ

              ด้าน นายนิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า โครงการรับจำนำข้าวมีข้อดีตรงที่ให้ชาวนากว่า 1.2 ล้านรายได้รับประโยชน์โดยตรง มีรายได้เพิ่มขึ้น และรัฐบาลยังประสบผลสำเร็จที่ทำให้ราคาข้าวสารขายปลีกในประเทศมีราคาถูก และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมได้ แต่การใช้เม็ดเงินซื้อข้าวทั้งสิ้น 678,000 ล้านบาท ไม่รวมค่าดำเนินโครงการ แต่รัฐบาลมีหนี้คงค้างสูงถึง 549,000 ล้านบาท 82% ของเงินซื้อข้าว ซึ่งหากรัฐบาลขายข้าวหมดในวันนี้ เท่ากับว่าการรับจำนำ 3 ฤดูกาล จะขาดทุนทางบัญชี 2.8 แสนล้านบาท แต่หากใช้เวลาขายข้าวนาน 5 ปี จะพบผลขาดทุนในทางบัญชีสูงถึง 4 แสนล้านบาท แต่ข้าวในสต็อกที่มีสูงมากไม่น่าจะขายหมดภายใน 5 ปี คาดว่าหากขายหมดใน 10 ปี จะขาดทุน 5.3 แสนล้านบาท

              ทั้งนี้ ผลขาดทุนเกิดจากการจ่ายเงินซื้อข้าวจากชาวนา 60% ขายข้าวสต็อกรัฐราคาถูก 30% การอุดหนุนให้ผู้บริโภค 2% และขาดทุนจากต้นทุนในการดำเนินโครงการ 8% รวมเป็น 40% ที่สูญเปล่า ซึ่งเกิดจากการขาดความรับผิดชอบของรัฐบาลที่ปล่อยให้มีการขายข้าวแบบลับๆ ในราคาต่ำ ไม่เอาจริงกับการทุจริต ส่งผลกระทบและเป็นการทำลายเศรษฐกิจข้าวไทยทั้งระบบ

หนุนถึงเวลาทบทวนเลิกรับจำนำ

              นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) กล่าวว่า การจะยกเลิกโครงการรับจำนำข้าวคงเป็นไปได้ยาก แต่รัฐบาลสามารถปรับวิธีการที่ใช้เงินน้อยลงได้ และชาวนาได้ประโยชน์มากขึ้น ซึ่งการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างจากราคาตลาดตันละ 2,000-3,000 บาท ตามที่มีข้อเสนอถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะเชื่อว่าจะสามารถอุดช่องโหว่การทุจริตได้ทุกขั้นตอน

              นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง กล่าวว่า คงถึงเวลาที่รัฐบาลต้องทบทวนโครงการ ที่ผ่านมาเห็นได้ว่ารัฐบาลไม่สามารถบริหารจัดการกับความเสี่ยงได้ โดยเฉพาะการทุจริตในโครงการ และการดูแลรักษาคุณภาพข้าวในสต็อก รวมทั้งการนำข้าวที่รับจำนำมาจัดเก็บไว้ในส่วนกลางก็ยังไม่สามารถบริหารจัดการได้ อีกทั้งการใช้งบในโครงการจำนวนมาก อาจกระทบต่อฐานะทางการคลังของรัฐบาลในอนาคต

              นอกจากยกเลิกโครงการรับจำนำข้าวแล้ว ควรปล่อยให้การซื้อขายข้าวเป็นไปตามกลไกตลาด เพื่อให้ระบบการค้าข้าวกลับมาเป็นปกติ ส่วนแนวทางที่เหมาะสมในการสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรอย่างยังยืน ควรนำแนวคิดของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร มาใช้ โดยใช้รูปแบบในการจ่ายเงินส่วนต่างให้แก่เกษตรกร จะช่วยลดภาระงบประมาณของภาครัฐ โดยไม่กระทบต่อฐานะทางการคลังในอนาคตด้วย

เสนอนำงบวิจัยลดต้นทุนผลิตดีกว่า

              ขณะที่ นายวิชัย ศรีประเสริฐ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า รัฐบาลไม่มีความจำเป็นต้องเข้ามาแทรกแซงราคาข้าว แต่ควรนำงบประมาณไปปรับปรุงระบบชลประทาน และหาพันธุ์ข้าว รวมทั้งหาเทคโนโลยีลดต้นทุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรจะดีกว่า หากลดต้นทุนลงเหลือเฉลี่ยตันละ 5,000-6,000 บาทและขายข้าวเปลือกได้ตันละ 1 หมื่นบาท เกษตรกรก็สามารถอยู่ได้

              สำหรับโครงการจำนำข้าว โดยตั้งราคาจำนำที่ 15,000 บาทต่อตันนั้น เป็นวิธีการตั้งราคาที่ผิด เพราะไม่ได้คำนึงถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องและนอกจากจะใช้งบประมาณจำนวนมากแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงการขายข้าวไทย ติดต่อกันมา 2 ปีแล้ว และที่น่าสังเกตคือปัจจุบันราคาข้าวขาวของไทย ที่เป็นราคาส่งออกอยู่ที่เฉลี่ยประมาณ 400 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ขยับใกล้เคียงกับราคาข้าวของประเทศคู่แข่ง แต่ยังไม่สามารถดึงผู้ซื้อกลับมาได้ สะท้อนให้เห็นถึงความไม่มั่นใจต่อข้าวไทยหรือไม่ นอกจากนี้โครงการจำนำยังทำให้มีสต็อกข้าวจำนวนมหาศาล หากยังดำเนินโครงการต่อไปในระยะยาวจะส่งผลต่อการปลูกข้าวไทยที่ต้องลดลงเพราะปลูกไปก็ขายไม่ได้

เผยเซอร์เวเยอร์เฉพาะกิจผุดอื้อ

              นายนิพนธ์ วงษ์ตระหง่าน นายกกิตติมศักดิ์สมาคมโรงสีข้าวไทย และอดีตผู้อำนวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) กล่าวในหัวข้อ “กลไกตลาดข้าว กลโกงขาเข้า” ว่า มีการรั่วไหลและทุจริตในทุกขั้นตอน และโรงสีบางแห่งให้ข้อมูลว่าไม่ต้องการเข้าร่วมโครงการเพราะต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะและต้องไปวิ่งเต้นหลายขั้นตอน นอกจากนี้ การสั่งสีแปรสภาพข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร การส่งข้าวไปเก็บไว้ในโกดังโรงสี จะต้องพึ่งพาบริษัทเซอร์เวเยอร์ โดยหลายพื้นที่เซอร์เวเยอร์เรียกเก็บเงินกระสอบละ 7 บาท หรือตันละ 70 บาท และกว่า 90%เป็นเซอร์เวเยอร์เฉพาะกิจ จัดตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อหาประโยชน์จากโครงการรับจำนำข้าว อยากให้หน่วยงานเกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ เพราะอาจจะโยงไปถึงกลุ่มการเมืองที่ได้ประโยชน์ และรัฐบาลชุดนี้ได้สร้างความเสียหายแก่ระบบเศรษฐกิจมากอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้นขอแนะนำให้ประกาศยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ ดีกว่าจะต้องดำเนินนโยบายรับจำนำข้าวต่อไป

นายกฯอ้ำอึ้งโยนให้กระทรวงชี้แจง

              วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกฯ และรมว.คลัง เปิดเผยตัวเลขการขาดทุนรับจำนำข้าว 2 ปีกว่า 4 แสนล้านบาทว่า เรื่องนี้ยังไม่เห็นรายละเอียดที่ชัดเจน แต่เท่าที่ทราบเห็นว่าตัวเลขมีรายละเอียดไม่มาก ขณะเดียวกันตอนนี้ก็ได้ฝากรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ไปศึกษาอยู่ เรียนว่าเราต้องขอดูตัวเลขก่อน และจะให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบตัวเลขก่อน

              ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ตัวเลขขาดทุนตอนนี้คือเท่าใด นายกฯ กล่าวว่า จะให้กระทรวงพาณิชย์ชี้แจง ซึ่งต้องรอการปิดบัญชีอย่างเป็นทางการก่อน ผู้สื่อข่าวถามว่าการประชุม ครม.วันนี้ (15 ต.ค.) มีการพิจารณากรอบเงินกู้รับจำนำข้าวฤดูกาลผลิตใหม่วงเงิน 2.7 แสนล้านหรือไม่ นายกฯ กล่าวสั้นๆ ว่า ไม่มีในเรื่องนี้ ก่อนเดินเลี่ยงออกไป

สอบจีทูจีเสร็จเดือนหน้า-รับอีกคดี

              นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงโครงการรับจำนำข้าวแถลงถึงความคืบหน้าว่า ได้เรียกพยานมาให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เช่น นายกสมาคมส่งออกข้าว หลังจากนี้จะมีการเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจงรวมไปถึงบุคคลผู้ที่โอนเงินเข้าบัญชีและซื้อแคชเชียร์เช็ค และอนุกรรมการอยู่ระหว่างการรอแคชเชียร์เช็ค ซึ่งเหลืออีก 2 ธนาคาร คือ ธนาคารกรุงเทพจำนวน 75 ฉบับ และธนาคารไทยพาณิชย์จำนวน 35 ฉบับ ถ้าไม่ส่งข้อมูลมา ป.ป.ช.ก็จะใช้อำนาจในการเรียกข้อมูลมาตรวจสอบ

              "การตรวจสอบแคชเชียร์เช็คจะดูว่ามีความเชื่อมโยงทางด้านการเงินอย่างไร รวมทั้งดูว่าใช้กระบวนการอย่างไรในการซื้อขายข้าว ขณะเดียวกัน ป.ป.ช.ยังได้ส่งเรื่องให้ประเทศจีนได้ตรวจสอบว่าเป็นบริษัทที่อ้างว่าเป็นบริษัทรัฐวิสาหกิจนั้นจริงหรือไม่ ก็ต้องรอส่งข้อมูลกลับมา อย่างไรก็ตามได้ตั้งเป้าไว้ว่าเดือนหน้าจะพิจารณาให้แล้วเสร็จ โดยเฉพาะในส่วนของข้อมูลการระบายข้าวว่าเป็นการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจีหรือไม่" นายวิชากล่าวและว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธรได้ยื่นคำร้องให้ตรวจสอบพฤติการณ์ของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ว่ามีพฤติการณ์ละเลยต่อหน้าที่หรือไม่ กรณีให้บริษัทสยามอินดิก้า ที่เป็นบริษัทที่ล้มละลายและเหตุใดจึงเข้ามามีบทบาทรับผิดชอบเรื่องรับซื้อข้าว โดยได้รับเรื่องดังกล่าวไว้ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่