คำตอบของคำถามที่ว่า: "ทำไมอาหารเจราคาแพง?"

ทำไมอาหารเจราคาแพง?

ตอบง่ายๆ ว่าเพราะหน้าเจ เหมือนกับที่กุหลาบวันวาเลนไทน์ราคาแพงกว่าปกติ

ตอบยากๆ ว่าเพราะคนขายใช้นโยบายแบ่งแยกราคา (price discrimination) กับคุณลูกค้าครับ

แล้วการแบ่งแยกราคาทำอย่างไร?

ในทางเศรษฐศาสตร์ การแบ่งแยกราคาก็มีอยู่ด้วยกันสามระดับ
ระดับแรก first-degree price discrimination: คนขายตั้งราคาแบบขูดเลือดขูดเนื้อกับเจ๊ปู เอ้ย ปูที่เป็นลูกค้าตาดำๆ โดยมีราคาสำหรับทุกชิ้นที่ซื้อไม่ว่าจะน้อยหรือมาก เช่น กุหลาบ 1 ดอก 150 บาท ถ้าซื้อสองดอก ดอกละ 145 สามดอก ดอกละ 140 ไปเรื่อยๆ วิธีนี้ ไม่เหลือ consumer surplus ให้กับลูกค้าเลยสักหยด แต่เหนื่อยคนขายเพราะต้องคำนวณราคาอยู่เรื่อยๆ

ระดับที่สอง second-degree price discrimination: คนขายเก็บค่าต๋งก่อนแล้วค่อยเก็บค่าสินค้าหรือบริการอีกทีตามที่ซื้อจริง เช่น สวนสนุก ลูกค้าต้องจ่ายค่าเข้าก่อนแล้วก็จ่ายค่าเล่นตามที่เล่นจริงอีกที ค่าต๋งที่เราจ่ายครั้งแรกมีมูลค่าใกล้เคียงหรือเทียบเท่ากับ consumer surplus วิธีนี้เรียกว่า two-part tariff
อีกวิธี: คนขายขายตามคุณภาพสินค้าที่ขาย เช่น ปลาหมึกแถวบนกับแถวล่างราคาต่างกัน เพราะคุณภาพต่างกัน

ระดับที่สาม third-degree price discrimination: คนขายตั้งราคาตามกลุ่มลูกค้า เช่น เพศ (ลองไปผับดู บางที่ ผู้หญิงเข้าฟรี ผู้ชายเสียสองเท่า), อายุ (พิพิธภัณฑ์มีราคาส่วนลดเด็กนักเรียนกับคนชรา ทั้งที่สถานที่เดียวกันกับคนทั่วไป), สถานที่ (โรงหนังนั่งหลังกับนั่งหน้าราคาต่างกัน), เวลา (หน้า sale กับปกติ), ฤดูกาล (อันนี้แหละ หน้าเจกับไม่เจ, วาเลนไทน์, วันแม่, คริสตมาส, ปีใหม่ สินค้าเดียวกันแต่ราคาต่างกัน)

นอกจากนี้ ยังมีอีกหลากหลายกรรมวิธีในการรีดเลือดกับปู ไม่ว่าจะเป็น
- การตั้งราคาตามคุณภาพสินค้าหรือแบรนด์ เช่น Nokia กับ Vertu
- การตั้งราคาตามปริมาณ เช่น แพกเกจมือถือ
- การให้ส่วนลดเมื่อซื้อเยอะ เหมาโหลถูกกว่า
- การตั้งราคาพรีเมี่ยมตามความสำคัญ (priority) เช่น การเรียก first-class priority boarding ของสายการบิน
- การตั้งราคาด้วยการประมูล (แบบอังกฤษ ต่ำไปสูง ที่เห็นในการประมูลผลงานศิลปะ หรือแบบดัชต์ สูงไปต่ำ ที่เห็นในงานประมูลก่อสร้าง)
- การตั้งราคาสำหรับ VIP เช่น เบนท์ลีย์เมืองไทยที่เคยตั้งราคารถ 100 ล้านแทนที่จะเป็น 50 ล้าน
- การตั้งราคาแบบให้ต่อ เช่นที่ตลาดเซิ่นเจิ้น จาก 500 เหลือ 50
- การตั้งราคาแบบ transfer pricing เช่น ทัวร์ศูนย์เหรียญ ที่เก็บยิบย่อยตามรายทาง ค่าเดินทางจ่ายโดยร้านค้าต่างๆ ที่ดีลกับเอเย่นต์ หรือการที่ใช้เฟสบุ้คฟรี แต่ไปเก็บเงินจากโฆษณา
เกือบทั้งหมดนี้เข้าข่าย second-degree price discrimination แทบทั้งสิ้น

แล้วทำไมเราถึงยอม?

เป็นเมียเรา ต้องอดทน เฮ้ย ไม่ใช่แดง ไบเล่ ที่ลูกค้ายอมให้คนขายขูดเลือดขูดเนื้อ ก็เพราะ
1. จำใจ เค้ามีอำนาจเหนือเรา อำนาจที่ว่าคืออำนาจตลาด ไม่ว่าจะเป็นผู้ขายรายเดียว (monopoly) หรือผู้ขายมากรายแบบที่มีอำนาจแบ่งแยกราคาได้ (monopolistic power) แบบแรกก็เช่น เคเบิ้ลสมัยก่อนที่มีเจ้าเดียว ส่วนแบบหลังก็อย่างที่เห็นตามท้องตลาด สินค้าต่างกันนิดเดียว แต่ราคาต่างกันลิบลับ เช่น กระเป๋าแอร์แมสกับกระเป๋าหนังกีลาโรช (อะไรกันของแอร์แมสเค้าทำมาจากหนังลูกอ่อนนกกระจอกเทศจากแอฟริกาเชียวนะ แหม่ นะ ราคามันก็ต่างกันเกินไป๊)
กรณีคนขายเจ: เค้าเป็นคนทำอาหารเจ คนกินเจในหน้าเทศกาลจะกินเนื้อไม่ได้ ก็เลยตกอยู่ในอำนาจเค้า

2. คนขายมีกุมารทอง รอบรู้ไปหมดว่าลูกค้ายอมจ่ายที่ราคาไหน สมกับสุภาษิตที่ว่า "รู้เขารู้เรา ช้อปร้อยครั้ง ตังหมดร้อยครั้ง" - แอนนา วินทัวร์ไม่ได้กล่าวไว้
กรณีคนขายเจ: เค้ารู้นี่ว่าตั้งราคานี้ได้ แล้วคุณลูกค้าก็มีความพึงพอใจในการจ่าย (willingness to pay) กับความสามารถในการซื้อ (purchasing power) เลยทำให้คนขายฟันกำไรได้

3. คนขายป้องกันการขายต่อได้ ด้วยกลยุทธ์จำกัดแหล่งขาย เช่น ช้อปหลุยส์ หรือการสลักชื่อให้ เช่น แหวนของโฟรโด้ ในลอร์ดออฟเดอะริง ไม่งั้นคงมีแหวนก้อปปี้เพียบ
กรณีคนขายเจ: ของกินจะซื้อมาแล้วเอาไปขายต่อไม่ได้ ต้องกินตรงนั้นเลย หรือถ้าซื้อแบบกลับบ้าน คงไม่มีใครอยากสั่ง 100 ถุง เพื่อมาขายต่อ เพราะต้องแบกภาระและต้นทุนขนย้าย ไม่คุ้ม


ที่เขียน เพราะไปเห็นกระทู้ดุเดือดอันนี้ http://pantip.com/topic/31094214 ก็เลยอยากแชร์และทบทวนความรู้ไปด้วย ก่อนที่จะคืนอาจารย์ท่านไปหมดครับ

แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  เศรษฐศาสตร์ การบริหารจัดการ การตลาด
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่