หากเอ่ยถึงศูนย์ฝึกเยาวชนอันดับ 1 ของโลก หลายคนคงนึกถึงอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม มหาอำนาจลูกหนังของฮอลแลนด์
เจ้าของฉายา “De Godenzonen” (บุตรแห่งพระเจ้า) ก่อตั้งสโมสรในปี 1900 และให้ความสำคัญกับระบบอะคาเดมี่เป็นอันดับแรก
ไม่ว่าผลงานจะดี หรือตกต่ำขนาดไหน พวกเขาไม่เคยทุ่มซื้อนักเตะด้วยค่าตัวมหาศาล แต่ใช้ความอดทนอย่างหนัก เพื่อให้ต้นกล้าแห่งฟุตบอล ขึ้นมายืนหยัดกับทีมให้ได้
ความพยายามเริ่มผลิดอกออกผล ช่วงยุค 70 อาแจ็กซ์ กลายเป็นมหาอำนาจลูกหนังยุโรป ด้วยการกวาดแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 3 สมัยติดต่อกัน (1971, 1972 และ1973)
ทหารเสือคนสำคัญ ที่พาทีมประกาศศักดาทั่วทวีป คือเด็กหนุ่มวัย 24 ปี นามว่า
โยฮัน ครัฟฟ์ แน่นอนว่าเขาเป็นผลผลิตจากระบบเยาวชนของสโมสร
เวลาหลังจากนั้น มีนักเตะรุ่นน้อง ที่เดินรอยตามมากมาย อาทิมาร์โก ฟาน บาสเท่น, แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด หรือเดนนิส เบิร์กแคมป์
รวมไปถึงเจเนอเรชั่นที่พาทีมคว้าแชมป์ยุโรป 1995 ด้วยลูกหม้ออย่างเอ็ดการ์ ดาวิดส์, พาทริค ไคล์เวิร์ต, คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ, มิเชล ไรซีเกอร์ หรือสองพี่น้องตระกูล “เดอ บัวร์”
พวกที่กล่าวมาทั้งหมด ก้าวขึ้นมาติดทีมชาติฮอลแลนด์อย่างสง่าผ่าเผย และเล่นตามแบบฉบับ “โททัล ฟุตบอล” ไม่มีผิดเพี้ยน
กล่าวได้ว่า ความสำเร็จส่วนหนึ่งมาจากโยฮัน ครัฟฟ์ ที่เสมือนผู้บุกเบิก ให้คนทั้งโลกหันมามองระบบเยาวชนของอาแจ็กซ์
อีกช่วงเวลาสำคัญ คือการที่ครัฟฟ์ ย้ายไปร่วมทีมบาร์เซโลน่า ในปี 1973 และนั่นเป็นการถ่ายทอดดีเอ็นเอ ที่เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของบาร์ซ่าไปตลอดกาล
ช่วงปี 1979 ครัฟฟ์ นำโครงการเสนอไปยัง โจเซป นูนเญซ (ประธานบาร์ซ่า ในสมัยนั้น) ให้รื้อระบบเยาวชนใหม่ทั้งหมด และยึดแม่แบบจากอาแจ็กซ์ มาบังคับใช้
ท่านประธานสโมสร ชื่นชอบแนวความคิดของครัฟฟ์ ก่อนอนุมัติโครงการที่สุด นั่นเป็นจุดกำเนิดอีกหนึ่งสถาบันลูกหนัง ที่โด่งดังมากสุดในโลกอย่าง
“ลา มาเซีย”
ลา มาเซีย (La Masia) ภาษาสเปน มีความหมายว่า “โรงนา”เนื่องจากตึกที่ใช้เป็นที่ทำการเคยเป็นโรงนามาก่อน ต่อมาคาดว่าได้มีการตีความหมายอีกนัยหนึ่งว่า เพื่อให้เยาวชนของพวกเขารู้สึกถึงความถ่อมตัว, มีระเบียบวินัย เพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นนักเตะระดับโลกในอนาคต
โรงนาแห่งนี้ สถาปนาตัวเองเป็นศูนย์เพาะบ่มลูกหนัง ในวันที่ 30 ตุลาคม 1979 โดยมีตึกโบราณของแคว้นคาตาลัน ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1702 (ปัจจุบันมีอายุ 311 ปี) เป็นพื้นที่ใช้สอย
ก่อนหน้าที่จะเป็นศูนย์ฝึก ตึกเคยใช้เป็นออฟฟิสของสโมสร แต่ด้วยขนาดที่เล็กเกินไป ทำให้เยาวชนต้องมาอยู่ที่นี่แทน
ตัวตึกมีสองชั้น ภายในพื้นที่ 610 ตารางเมตร สามารถรองรับเด็กๆได้จำนวน 60 คน (12 คนนอนในลา มาเซีย ส่วนอีก 48 คน จะนอนในห้องของสนามคัมป์นู)
โครงสร้างภายใน ให้ความรู้สึกถึงมนต์ขลัง ทุกอย่างดูโบราณไปหมด ทั้งห้องครัว, ห้องนั่งเล่น, ห้องนอน, ห้องแต่งตัว หรือห้องอาบน้ำ
ไฮไลท์สำคัญคือห้องสมุดโบราณ เสมือนมุมส่วนตัว ให้รับความสงบ และฝึกระบบความคิด (เป๊ป กวาดิโอล่า ชอบห้องสมุดนี้มาก) แถมห้องประดับประดาด้วยถ้วยแชมป์มากมาย
บาร์เซโลน่า มีปรัชญาว่า ฟุตบอลต้องควบคู่ไปกับความรู้ หากคนไหนไม่อาจก้าวไปเป็นนักฟุตบอลได้ อย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีความรู้ติดตัว ซึ่งจำเป็นต่อการดำรงชีพในสังคม
(หลักสูตรที่ทุกคนต้องเรียนจากโรงเรียนคือ “ภาษาคาตาลัน” เพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจ ถึงเผ่าพันธุ์อันเกรียงไกรของดินแดนแห่งนี้)
ส่วนด้านหน้าตึก ปรากฏรูปปั้น “l’Avi Del Barca” (ภาษาสเปนแปลว่าคุณปู่) เสมือนตัวมาสคอตของสโมสร ตัวละครนี้มาจากมันสมองของ วาเลนติ คาไซนส์ นักวาดการ์ตูนปี 1924
กฎระเบียบของลา มาเซีย เป็นไปอย่างเคร่งครัด นักเตะต้องตื่น 7 โมงเช้า ตามมาด้วย 07.30 รับประทานอาหาร, 08.00-14.00 ไปเรียนหนังสือ, 14.30 ทำการบ้าน, 16.00-18.00 ซ้อมฟุตบอล 18.30-21.00 ฟิตเนสเพาะกล้ามเนื้อ, 21.00 รับประทานอาหาร และ22.30 เข้านอน
“ลา มาเซีย” แหล่งเพาะพันธุ์ต่างดาว
หากเอ่ยถึงศูนย์ฝึกเยาวชนอันดับ 1 ของโลก หลายคนคงนึกถึงอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม มหาอำนาจลูกหนังของฮอลแลนด์
เจ้าของฉายา “De Godenzonen” (บุตรแห่งพระเจ้า) ก่อตั้งสโมสรในปี 1900 และให้ความสำคัญกับระบบอะคาเดมี่เป็นอันดับแรก
ไม่ว่าผลงานจะดี หรือตกต่ำขนาดไหน พวกเขาไม่เคยทุ่มซื้อนักเตะด้วยค่าตัวมหาศาล แต่ใช้ความอดทนอย่างหนัก เพื่อให้ต้นกล้าแห่งฟุตบอล ขึ้นมายืนหยัดกับทีมให้ได้
ความพยายามเริ่มผลิดอกออกผล ช่วงยุค 70 อาแจ็กซ์ กลายเป็นมหาอำนาจลูกหนังยุโรป ด้วยการกวาดแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 3 สมัยติดต่อกัน (1971, 1972 และ1973)
ทหารเสือคนสำคัญ ที่พาทีมประกาศศักดาทั่วทวีป คือเด็กหนุ่มวัย 24 ปี นามว่า โยฮัน ครัฟฟ์ แน่นอนว่าเขาเป็นผลผลิตจากระบบเยาวชนของสโมสร
เวลาหลังจากนั้น มีนักเตะรุ่นน้อง ที่เดินรอยตามมากมาย อาทิมาร์โก ฟาน บาสเท่น, แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด หรือเดนนิส เบิร์กแคมป์
รวมไปถึงเจเนอเรชั่นที่พาทีมคว้าแชมป์ยุโรป 1995 ด้วยลูกหม้ออย่างเอ็ดการ์ ดาวิดส์, พาทริค ไคล์เวิร์ต, คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ, มิเชล ไรซีเกอร์ หรือสองพี่น้องตระกูล “เดอ บัวร์”
พวกที่กล่าวมาทั้งหมด ก้าวขึ้นมาติดทีมชาติฮอลแลนด์อย่างสง่าผ่าเผย และเล่นตามแบบฉบับ “โททัล ฟุตบอล” ไม่มีผิดเพี้ยน
กล่าวได้ว่า ความสำเร็จส่วนหนึ่งมาจากโยฮัน ครัฟฟ์ ที่เสมือนผู้บุกเบิก ให้คนทั้งโลกหันมามองระบบเยาวชนของอาแจ็กซ์
อีกช่วงเวลาสำคัญ คือการที่ครัฟฟ์ ย้ายไปร่วมทีมบาร์เซโลน่า ในปี 1973 และนั่นเป็นการถ่ายทอดดีเอ็นเอ ที่เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของบาร์ซ่าไปตลอดกาล
ช่วงปี 1979 ครัฟฟ์ นำโครงการเสนอไปยัง โจเซป นูนเญซ (ประธานบาร์ซ่า ในสมัยนั้น) ให้รื้อระบบเยาวชนใหม่ทั้งหมด และยึดแม่แบบจากอาแจ็กซ์ มาบังคับใช้
ท่านประธานสโมสร ชื่นชอบแนวความคิดของครัฟฟ์ ก่อนอนุมัติโครงการที่สุด นั่นเป็นจุดกำเนิดอีกหนึ่งสถาบันลูกหนัง ที่โด่งดังมากสุดในโลกอย่าง “ลา มาเซีย”
ลา มาเซีย (La Masia) ภาษาสเปน มีความหมายว่า “โรงนา”เนื่องจากตึกที่ใช้เป็นที่ทำการเคยเป็นโรงนามาก่อน ต่อมาคาดว่าได้มีการตีความหมายอีกนัยหนึ่งว่า เพื่อให้เยาวชนของพวกเขารู้สึกถึงความถ่อมตัว, มีระเบียบวินัย เพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นนักเตะระดับโลกในอนาคต
โรงนาแห่งนี้ สถาปนาตัวเองเป็นศูนย์เพาะบ่มลูกหนัง ในวันที่ 30 ตุลาคม 1979 โดยมีตึกโบราณของแคว้นคาตาลัน ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1702 (ปัจจุบันมีอายุ 311 ปี) เป็นพื้นที่ใช้สอย
ก่อนหน้าที่จะเป็นศูนย์ฝึก ตึกเคยใช้เป็นออฟฟิสของสโมสร แต่ด้วยขนาดที่เล็กเกินไป ทำให้เยาวชนต้องมาอยู่ที่นี่แทน
ตัวตึกมีสองชั้น ภายในพื้นที่ 610 ตารางเมตร สามารถรองรับเด็กๆได้จำนวน 60 คน (12 คนนอนในลา มาเซีย ส่วนอีก 48 คน จะนอนในห้องของสนามคัมป์นู)
โครงสร้างภายใน ให้ความรู้สึกถึงมนต์ขลัง ทุกอย่างดูโบราณไปหมด ทั้งห้องครัว, ห้องนั่งเล่น, ห้องนอน, ห้องแต่งตัว หรือห้องอาบน้ำ
ไฮไลท์สำคัญคือห้องสมุดโบราณ เสมือนมุมส่วนตัว ให้รับความสงบ และฝึกระบบความคิด (เป๊ป กวาดิโอล่า ชอบห้องสมุดนี้มาก) แถมห้องประดับประดาด้วยถ้วยแชมป์มากมาย
บาร์เซโลน่า มีปรัชญาว่า ฟุตบอลต้องควบคู่ไปกับความรู้ หากคนไหนไม่อาจก้าวไปเป็นนักฟุตบอลได้ อย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีความรู้ติดตัว ซึ่งจำเป็นต่อการดำรงชีพในสังคม
(หลักสูตรที่ทุกคนต้องเรียนจากโรงเรียนคือ “ภาษาคาตาลัน” เพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจ ถึงเผ่าพันธุ์อันเกรียงไกรของดินแดนแห่งนี้)
ส่วนด้านหน้าตึก ปรากฏรูปปั้น “l’Avi Del Barca” (ภาษาสเปนแปลว่าคุณปู่) เสมือนตัวมาสคอตของสโมสร ตัวละครนี้มาจากมันสมองของ วาเลนติ คาไซนส์ นักวาดการ์ตูนปี 1924
กฎระเบียบของลา มาเซีย เป็นไปอย่างเคร่งครัด นักเตะต้องตื่น 7 โมงเช้า ตามมาด้วย 07.30 รับประทานอาหาร, 08.00-14.00 ไปเรียนหนังสือ, 14.30 ทำการบ้าน, 16.00-18.00 ซ้อมฟุตบอล 18.30-21.00 ฟิตเนสเพาะกล้ามเนื้อ, 21.00 รับประทานอาหาร และ22.30 เข้านอน