ธนาคารโลกชี้ไทยยังไม่เหมาะตั้งกองทุนความมั่งคั่งในช่วง 1-2 ปี เหตุยังจำเป็นต้องกันเงินสำรองรองรับความผันผวนตลาดการเงินโลกไว้ดูแลค่าเงินบาทก่อน
นางสาวกิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลก สำนักงานประเทศไทย เปิดเผยถึงแนวคิดในการจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ว่า เป็นแนวคิดที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในประเทศ เพื่อนำเงินทุนสำรองส่วนเกินออกมาลงทุนในต่างประเทศ แต่หากจะมีการจัดตั้งในช่วง 1-2 ปีนี้ มองว่ายังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากตลาดการเงินโลกมีความผันผวนมาก เพราะมีเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลเข้าออกอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงยังจำเป็นต้องกันเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไว้ดูแลค่าเงินบาทก่อน เนื่องจากหากประเทศใดมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงจะสามารถความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติได้
อย่างไรก็ตาม ถือเป็นเรื่องที่ดีหากรัฐบาลจะศึกษาในเรื่องไว้ล่วงหน้า เพราะหากเศรษฐกิจและภาวะตลาดเงินมีความมั่นคงมากขึ้น ไทยจะสามารถจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ เพื่อนำเงินสำรองออกไปลงทุนได้
ทั้งนี้ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังคงต้องจับตาเศรษฐกิจของสหรัฐที่อาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งหากสหรัฐไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ตามที่คาด ก็จะมีผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก รวมถึงเศรษฐกิจไทยปีหน้าอาจจะเติบโตไม่ได้ตามที่คาดการณ์ไว้ โดยธนาคารโลกคาดการณ์ขยายตัวที่ร้อยละ 4.5 แต่เชื่อในระยะสั้นสหรัฐจะสามารถขยายเพดานหนี้ได้ตามกำหนดก่อนวันที่ 17 ตุลาคมได้ เพราะสหรัฐต้องคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจโลกได้
นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ทางธนาคารโลกประเมินว่ารัฐบาลจะขาดทุนประมาณ 150,000-200,000 ล้านบาทต่อปี โดยในส่วนการขาดทุน 150,000 ล้านบาทนั้น รัฐบาลจะต้องระบายข้าวในสตอกที่มีอยู่ทั้งหมด แต่หากดำเนินการไม่ได้ก็จะขาดทุนที่ 200,000 ล้านบาท พร้อมมองว่าโครงการดังกล่าวใช้งบประมาณสูงกว่าร้อยละ 10 ของเงินงบประมาณทั้งหมด ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลอาจต้องลดสัดส่วนในงบประมาณส่วนอื่นออกไปหรือมีการกู้เงินเพื่อเพิ่มงบประมาณมากขึ้น ทำให้รัฐบาลสูญเสียโอกาสในการพัฒนาด้านอื่น ๆ ของประเทศ และยังมีผลเสียระยะยาวต่อการพัฒนาภาคการเกษตร โดยเฉพาะการพัฒนาข้าว เนื่องจากเกษตรกรมองว่าไม่ต้องมีการพัฒนาก็สามารถขายข้าวได้ในราคาที่สูง
ธ.โลกชี้ไทยยังไม่เหมาะตั้งกองทุนมั่งคั่ง
นางสาวกิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลก สำนักงานประเทศไทย เปิดเผยถึงแนวคิดในการจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ว่า เป็นแนวคิดที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในประเทศ เพื่อนำเงินทุนสำรองส่วนเกินออกมาลงทุนในต่างประเทศ แต่หากจะมีการจัดตั้งในช่วง 1-2 ปีนี้ มองว่ายังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากตลาดการเงินโลกมีความผันผวนมาก เพราะมีเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลเข้าออกอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงยังจำเป็นต้องกันเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไว้ดูแลค่าเงินบาทก่อน เนื่องจากหากประเทศใดมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงจะสามารถความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติได้
อย่างไรก็ตาม ถือเป็นเรื่องที่ดีหากรัฐบาลจะศึกษาในเรื่องไว้ล่วงหน้า เพราะหากเศรษฐกิจและภาวะตลาดเงินมีความมั่นคงมากขึ้น ไทยจะสามารถจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ เพื่อนำเงินสำรองออกไปลงทุนได้
ทั้งนี้ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังคงต้องจับตาเศรษฐกิจของสหรัฐที่อาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งหากสหรัฐไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ตามที่คาด ก็จะมีผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก รวมถึงเศรษฐกิจไทยปีหน้าอาจจะเติบโตไม่ได้ตามที่คาดการณ์ไว้ โดยธนาคารโลกคาดการณ์ขยายตัวที่ร้อยละ 4.5 แต่เชื่อในระยะสั้นสหรัฐจะสามารถขยายเพดานหนี้ได้ตามกำหนดก่อนวันที่ 17 ตุลาคมได้ เพราะสหรัฐต้องคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจโลกได้
นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ทางธนาคารโลกประเมินว่ารัฐบาลจะขาดทุนประมาณ 150,000-200,000 ล้านบาทต่อปี โดยในส่วนการขาดทุน 150,000 ล้านบาทนั้น รัฐบาลจะต้องระบายข้าวในสตอกที่มีอยู่ทั้งหมด แต่หากดำเนินการไม่ได้ก็จะขาดทุนที่ 200,000 ล้านบาท พร้อมมองว่าโครงการดังกล่าวใช้งบประมาณสูงกว่าร้อยละ 10 ของเงินงบประมาณทั้งหมด ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลอาจต้องลดสัดส่วนในงบประมาณส่วนอื่นออกไปหรือมีการกู้เงินเพื่อเพิ่มงบประมาณมากขึ้น ทำให้รัฐบาลสูญเสียโอกาสในการพัฒนาด้านอื่น ๆ ของประเทศ และยังมีผลเสียระยะยาวต่อการพัฒนาภาคการเกษตร โดยเฉพาะการพัฒนาข้าว เนื่องจากเกษตรกรมองว่าไม่ต้องมีการพัฒนาก็สามารถขายข้าวได้ในราคาที่สูง