Alone in Vientiance ทริปเหงาๆ ที่เวียงจันทน์

สวัสดีค่ะ วันนี้มีเรื่องราวของการไปเที่ยวแบบงงๆ ณ เวียงจันทน์ มาเล่าสู่กันฟัง
เริ่มจาก จู่ๆ ตั๋วเครื่องบินก็มาอยู่ในมือ ดอนเมือง-อุดร
โอเคค่ะ เราจะบินจิ๊บๆ ไปกับนกแอร์ ตามมาเลยค่ะ


หลังจากทำธุระที่ค้างคา ที่อุดรธานีเรียบร้อย หันซ้ายหันขวาจะเอายังไงต่อดี
ตัดสินใจเดินทางต่อไปที่เวียงจันทน์ เพื่อรอกำลังพลตามมาสมทบ
เพื่อที่อีกวันจะเดินทางไปวังเวียงด้วยกัน
แต่สุดท้ายกำลังสมทบไม่มา เอาล่ะสิ อยู่คนเดียวในเวียงจันทน์
ก็ไม่เป็นไร เคว้งนิดหน่อย แต่บอกตัวเองว่าเที่ยวคนเดียวก็ได้

ตัดสินใจเดินไปในสถานที่สำคัญใกล้ๆ ที่พัก จากนั้นก็เหมารถไปสถานที่ไกลๆ
ทำให้มีโอกาสได้ไปชมสถานที่สำคัญต่างๆ ครบในวันเดียว
เพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะได้มุ่งหน้าไปวังเวียง






































ความเงียบๆ เรียบง่ายของเวียงจันทน์นั้นน่ารักดี ตามสถานที่ต่างๆ มีนักท่องเที่ยวไม่มากนัก
มีแค่ที่หอพระแก้ว ได้เจอนักท่องเที่ยวจีน ล้งเล้งตามสไตล์ แถมยืนขวางประตู
บอก Excuse me หลายรอบมากๆ ก็ไม่ยอมหลบ ต้องเดินแทรกไปเลย
อีกอย่างที่แย่คืออากาศร้อนมาก ร้อนหน้าไหม้
กลับมาโรงแรมตอนเย็น เลยต้องเดินไปซื้อมาสค์หน้ามาแปะบรรเทาอาการ
ซื้อจากร้าน M-Mart(อารมณ์ประมาณ 7-11 ของลาวเขา)
ตกค่ำเพื่อนที่อยู่ที่ลาวมารับไปกินข้าว ได้กินพิซซ่าเมืองลาวถาดเบ้อเริ่ม อร่อยมาก


วันรุ่งขึ้นอาการจากการตากแดดวันก่อน ทำให้ไม่สามารถไปวังเวียงอย่างที่ตั้งใจได้
นอนซมอยู่พักใหญ่เลย พอสักบ่ายสามก็ตัดสินใจว่าจะเดินไปริมแม่น้ำโขง
มโนเอาเองว่าคงรู้สึกดีขึ้น แดดจ้าเหมือนเดิม แต่ได้ไปเห็นเวียงจันทน์ในอีกรูปแบบหนึ่ง
เพราะเขามีงานริมโขงพอดี ชิงช้าสวรรค์(ริมน้ำเลย นึกถึง Eye of London)
มีร้านค้า มีปาลูกโป่ง รถบั๊ม(อันนี้อยากเล่นมาก ดีเจเขาพากย์สนุกดี)
ซึ่งสรุปว่าเราเองชอบบรรยากาศแบบนี้ มากกว่าการไปเที่ยววัดวาอารามนะ
บรรยากาศย่านริมน้ำโขง ก็จะมีนักท่องเที่ยวเยอะหน่อย คึกคักกันดี
ร้านอาหาร ร้านค้าก็มีให้เลือกมาขึ้นไปด้วย












เด็กเล็กๆ วิ่งเล่นรอพ่อแม่ตั้งร้านอยู่ ก็วิ่งมาถามว่าผู้สาวมาจากไส เป็นคนลาวแม่นบ่
พ่อแม่เขาหันมาก็บอกว่า ผู้สาวเป็นลูกครึ่ง(เรียกว่าอะไรสักอย่างเป็นภาษาลาว แต่เราลืม)
เดินไปอีกเจอนักท่องเที่ยวฟิลิปปินกลุ่มใหญ่ทักว่าคอนนิจิวะเฉยเลย

จนมีเด็กคนหนึ่งอายุสักเอ็ดสิบสอง เดินมาไหว้ ถามกันไปมาบอกว่าขอกาแลม
เลยบอกว่ากินข้าวเถอะ จะให้เงิน แลกกับขอถ่ายรูป น้องก็ยอมแต่ไม่โดยดีเท่าไหร่
ให้ไปแค่ สี่พันห้าร้อยกีบ แล้วเราก็ขึ้นรถกลับ


พอบอกจุดหมายที่จะไป คนขับบอกว่า โห ขามาเดินมาได้ยังไง ไกลมาก


ด้วยความที่แดดร้อนเกินไป ดูเหมือนเราจะป่วยมากขึ้น
เพื่อนเลยบอกว่าจะพาไปซื้อกับข้าวสตรีทฟู้ดของคนเวียงจันทน์ แล้วเอาไปทานที่บ้าน
รสชาติและราคาก็พอๆ กับของไทยค่ะ








วันต่อมาตื่นมาป่วยสุดๆ น้ำที่โรงแรมก็ไม่ไหล เก็บของก็ไม่ทันเช็คเอาท์ นางสติแตกสุดๆ ค่ะ


ต้องออกตัวว่า เราอาจจะไม่ได้เขียนถึงข้อมูลของแต่ละสถานที่มากนักนะคะ
บอกตรงๆ ว่าไม่ได้จำเลยว่าค่าเข้าที่ไหนเท่าไหร่ ยังไง
เพราะมาครั้งนี้เหมือนมาพักผ่อน ชิลล์ๆ อยู่ๆ ก็มาโผล่เอาเวียงจันทน์เลย
เพราะทุกอย่างผิดแผนไปหมด วังเวียงก็ไม่ได้ไป แถมป่วยอีก
ที่พักก็มีปัญหาเรื่องอินเตอร์เนต แต่ไม่ขอระบุสถานที่นะคะ
เพราะพนักงานก็เอาใจใส่ดีทุกคน

งานนี้ดีที่ได้เพื่อนที่ทำงานอยู่ที่ลาว ช่วยมาเป็นคนขับรถพาไปหาข้าวกิน ทั้งที่ฮีงานยุ่งทุกวัน
ต้องขอขอบคุณคนขับรถใจดีมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ


การไปเที่ยวแต่ละครั้ง ไม่ว่าใกล้หรือไกล สำหรับเรามันคือการไปให้พ้นจากอะไรต่างๆ นานา
เพื่อที่จะไปอยู่นิ่งๆ ไปพัก ไปเรียนรู้ ไปหายใจ เพื่อที่เราจะได้กลับมาสู้ต่อไปได้อีกเฮือกนึงค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามารับชมนะคะ ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการท่องเที่ยวค่ะ ยิ้ม

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่