พอดีผมไปเจอในกระทู้เก่าๆครับเลยลอกมาให้อ่านๆกันดูครับ
______________________________________________________________________________
โลกนี้ จักรวาลนี้ เป็นสิ่งทับซ้อนและลวงตาค่ะ มีการพิสูจน์ทั้งทางวิทยาศาสตร์(ไม่เล่าละเอียดนะ ไม่งั้นยาว)และทางความเป็นจริง
พวกเรา เป็นเหมือน จิตวิญญาณที่มีตัวรู้ มาถือกำเนิดในร่างกายมนุษย์ ที่ถูกกรองเอาความสามารถออก เช่น...
เมื่อเราเข้ามาอยู่ในร่างกายมนุษย์แล้ว เราจะมีขีดจำกัดในการมองเห็น คือมองเห็นได้แค่ ระยะกลางๆ(ไม่ใกล้เกินไป ไม่ไกลเกินไป) มองเห็นได้แค่ สิ่งที่มีขนาดกลางๆ(คือ ไม่เล็กเกินไป ไม่ใหญ่เกินไป) เราได้ยินเสียงที่ความถี่ 20-20,000 Hz ถ้าต่ำหรือสูงกว่านี้ เราก็ไม่ได้ยิน เราสัมผัสได้แต่เพียง สิ่งที่เราเรียกว่า วัตถุธาตุ 3 มิติ ถ้ามันอยู่นอกเหนือมิติที่ 3 เราก็ไม่สามารถสัมผัสได้(เช่น เราไม่สามารถย้อนไปอดีต หรืออนาคตได้)
ตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือแม้แต่ใจ(ในขณะที่อยู่ในร่างมนุษย์) จะถูกจำกัดความสามารถไว้ที่ ระดับหนึ่ง (ดิฉันชอบเรียกว่า ระดับความสามารถในการรับรู้และเข้าใจในแบบของมนุษย์) คือ ถ้าเป็นพวกสัตว์ก็จะถูกจำกัดอีกแบบหนึ่ง ในขณะที่พวกเรา มองเห็นว่า โลกนี้เป็นทรงกลม และหมุนรอบดวงอาทิตย์ แต่พวกสัตว์อื่นๆ มันก็จะมองเห็นอีกแบบหนึ่ง
แล้วถามว่าแบบไหนถูก? ไม่มีค่ะ ไม่มีแบบไหนถูก เพราะนี่ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด.. มันเป็นแค่ ความจริงที่เราสามารถรับรู้ได้ด้วยระดับความสามารถในการรับรู้ในแบบของมนุษ์ เท่านั้น
เรื่องนี้ ดูเหมือนวิทยาศาสตร์ เริ่มจะเข้าใกล้เข้ามาแล้ว จากการศึกษาเรื่อง ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ ที่สะเทือนวงการวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก(ไปหาอ่านเองนะ ถ้าให้อธิบายทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษที่นี่ คงไม่ไหว ยาวมาก)
ทฤษฎีทางวิทยาศาสร์ ได้ยืนยันกับคนทั้งโลกว่า.. เวลาและระยะทาง เป็นสิ่งที่ ยืดหด ได้..
นี่คือ ระดับที่วิทยาศาสตร์ของโลก 3 มิติ เข้าใจนะคะ.. แต่ถ้าในมุมมองของโลกอื่นๆ เวลาและระยทาง ไม่มีอยู่จริงด้วยซ้ำ เป็นแค่ เครื่องพรางตา
พูดให้ฟังง่ายๆก็คือ(คุณอาจไม่เข้าใจเท่าไหร่) ตอนนี้.. หลายๆมิติ หลายๆสิ่งในจักรวาล มันกำลังทับซ้อนกันอยู่ค่ะ ที่จุดๆเดียว เวลาเดียว.. ไม่มีอดีต ไม่มีปัจจุบัน ไม่มีระยะทาง
(ถ้าอยากให้เข้าใจง่าย ลองนึกถึง Computer 3D อ่ะ โลกใน Computer มีระยะทาง มีกาลเวลา แต่พวกเราที่นั่งอยู่หน้าคอมฯ มองดูที่หน้าจอ เห็นชัดๆว่า มันไม่มีอะไร มันเป็นแค่ electron ของ Liquid crystal display กำลังวิ่งไปมา เมื่อเรา shut down เครื่อง โลกในคอมฯ ก็หายไป) คล้ายๆอย่างงี้ แต่ไม่เหมือนเด๊ะ เพราะโลกความเป็นจริง ไม่มีใครนั่งอยู่หน้าจอ
พวกเรากำลังถูกหลอก ด้วยสิ่งๆหนึ่ง(ยังไม่บอกว่าอะไร เดี๋วจะยาว)
เมื่อจิตวิญญาณมาอยู่ในร่างกายมนุษย์ มันก็ถูกจำกัดให้มองเห็น ได้ยิน สัมผัส ได้เพียงเท่านี้ๆ
แต่พอมันออกจากร่างมนุษย์(ตอนตาย) มันไม่ได้เป็นสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ มันเป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงกันไปมาไม่สิ้นสุด
นรก สวรรค์ ของคนๆหนึ่ง ถูกสร้างขึ้นมา ตามความเชื่อของคนๆนั้น..
มีกรณีที่ คนๆนั้นไม่เชื่อในศาสนาไหนเลย เมื่อเขาตายไป เขาก็สร้างนรกเป็นคุกขังตัวเอง เพราะตอนยังมีชีวิตอยู่ เขาเชื่อว่า คนทำผิดต้องเข้าคุก..
บางคน ไม่เชื่ออะไรเลย ทำผิดก็ไม่เชื่อว่าจะต้องเข้าคุก พวกนี้ พอตายไป ก็จะอยู่ในที่มืดๆ มองเห็นผู้อื่น แต่ไม่มีใครมองเห็นเขา (คือ เป็นพวก คิดไม่ดี มีจิตด้านมืดมาตั้งแต่ตอนยังมีชีวิต)
จิตก่อนตาย จะคล้ายๆตอนพวกเรานอนหลับกำลังจะฝันค่ะ.. แต่จะต่างกันที่ ก่อนต่าย จิตดวงนั้นจะคิดถึงสิ่งที่ทำผ่านมาตลอดทั้งชีวิต.. ทำให้จิตดวงนั้น ไปสร้างโลกเสมือน ตามสิ่งที่ตัวเองได้กระทำไว้
นี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมนรกสวรรค์ของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน. เพราะจิตดวงนี้มีกำลัง ที่จะสร้างโลกเสมือนขึ้นมาได้อย่าง ไม่จำกัด (นึกคิดดูตอนที่เรากำลังฝันสิ่ นั่นแหละ คล้ายๆกัน เราสามารถสร้างโลกความฝันได้ไม่จำกัด กว้างใหญ่ไพาศาล)
-------
ส่วนเรื่อง บาปกรรม หรือ กฎแห่งกรรม มีจริงไหม..
ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ สิ่งที่มันมีอยู่จริง มันก็มีอยู่ของมันอย่างนั้นค่ะ
เมื่อเราได้กระทำสิ่งหนึ่งลงไป เราจะได้รับผลของการกระทำตามความเหมาะสม ตามช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ผลกรรมที่ได้รับ จะเป็นช่วงเวลาไหน จะเป็นอะไร และเมื่อไหร่ ก็ได้ ที่ธรรมชาติได้มองเห็นว่า เหมาะสมที่สุด
บางทีคุณทำกรรมี้ไว้.. คุณยังไม่ได้รับผลของการกระทำ เพราะมันยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่คุณจะได้รับค่ะ
โลกนี้เป็นโลกที่ Perfect ค่ะ ทุกเหตุการณ์เกี่ยวเนื่องกันอย่าง "สมบูรณ์แบบที่สุด" ไม่มีการกระทำใดๆที่จะถูกเพิกเฉยๆโดยกฎแห่งกรรม
และไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาอะไร คุณก็ได้รับผลของการกระทำ ด้วยกันทั้งนั้น
--------
ส่วนเรื่อง ศาสนา..
ทำไมคนที่นับถือพุทธ(แบบจริงจัง) ถึงไม่นิยมเรียกศาสนาพุทธว่าเป็นความเชื่อ
เพราะ...
ศาสดาของพวกเรา ไม่ได้คินค้นความเชื่อขึ้นมา แล้วเอามาให้คนนับถือค่ะ
ท่านนั่งสมาธิ(คุณลองไปนั่งสมาธิดูนะ แล้วจะได้รู้ได้เห็นอะไรที่กว้างกว่านี้ ความคิดจะได้เปิดกว้างด้วย)
เมื่อศาสดาของเรา ตระหนักถึง ความเป็นจริงของธรรมชาติ ที่มนุษย์เรา สักวันหนึ่งก็ต้องล้มป่วย สักวันหนึ่งก็ต้องตาย แล้วทรัพย์สมบัติเงินทองก็นำติดตัวไปด้วยไม่ได้.. ท่านก็ได้มองเห็นว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง
เมื่อท่านไปนั่งสมาธิใต้ต้นโพธิ์(อันนี้ ดิฉันไม่ค่อยแม่นในพุทธประวัตินะคะ จะเล่าคร่าวๆ)
เมื่อท่านนั่งสมาธิ ท่านจึงได้รู้ว่า อ้อ.. จริงๆแล้ว ร่างกายเรา มันไม่ได้มีแต่เนื้อหนังมังสานะ มันยังมีสิ่งที่เรียกว่า "จิตวิญญาณ" อยู่ด้วย
เมื่อนั่งไปเรื่อย.. พระองค์ก็สามารถ มองเห็นความเป็นจริงทั้งหมด ที่ไม่ได้ถูกขวางกั้นด้วยเครื่องพรางตา
พระองค์มองเห็นโครงสร้างจักรวาล โครงสร้างของสรรพสิ่ง ที่มาที่ไป อดีต ปัจจุบัน อนาคต..
เมื่อเห็นเช่นนั้น พระองค์ก็ยังไม่ได้หยุดหย่อน ยังคงทำสมาธิต่อไป แล้ววันหนึ่ง พระองค์ก็ ตรัสรู้
(เมื่อก่อน ดิฉันเคยเชื่อแต่วิทยาศาสตร์นะคะ ไม่เคยเชื่อเรื่องวิญญาณ เวลาเรียนวิชาพระพุทธศาสนาเนี่ย ก็ชอบอ่านแบบท่องจำว่า พระพุทธเจ้าท่าน ตรัสรู้ แต่ไม่เคยรู้เลยว่า ท่านตรัสรู้อะไร)
พระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้ รู้แจ้งแทงตลอด รู้ในสิ่งที่พวกเราไม่รู้ค่ะ..
ท่านมองเห็นและเข้าใจ โครงสร้างของกฎแห่งกรรม โครงสร้างของสรรพสิ่ง และท่านก็รู้ด้วยว่า มนุษย์เรานี่นะ โดนหลอกนะ โดย อวิชชา ความอยาก กิเลส ตัณหา ราคะ ฯลฯ
พระองค์จึงได้ ชี้แนะแนวทางแห่งการหลุดพ้นไว้ให้กับมนุษย์โลกยังไงล่ะคะ ^_^
นอกจาก หนทางแห่งการพ้นทุกข์ ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก... พระองค์ก็ได้ทิ้งคำสั่งสอน เกี่ยวกับการปล่อยวาง การบรรเทาทุกข์
คือ ถ้าเรารู้ต้นเหตุแห่งทุกข์ ว่าทำไมถึงทุกข์ เราก็จะไม่ทุขก์ค่ะ
เช่น ถ้ารถยนต์คนข้างบ้านหาย ถามว่าเราทุกข์ไหม.. (ตอบ ไม่ทุกข์ค่ะ เพราะรถไม่ใช่ของเรา)
แต่ถ้า รถยนต์ของเราหาย ถามว่าคนข้างบ้านทุกข์ไหม.. (ตอบ ไม่ทุกข์ค่ะ เราทุกข์ เพราะรถเรา ไม่ใช่รถเขา เขาเลยไม่ทุกข์)
แล้วถามว่า.. ตั้งแต่เราเกิดมาเนี่ย เรามีอะไรติดตัวมาด้วยไหม...(ตอบ ไม่มี มาแต่ตัว)
ตอนตาย เราเอารถยนต์ไปด้วยไหม(ตอบ ไม่.. แม้แต่ร่างกาย ยังไม่ได้เอาไปด้วยเลย จะเอารถยนต์ไปด้วยได้อย่างไร)
แล้วที่เราทุกข์เนี่ย.. เพราะอะไร???
ตอบ: เพราะเรา ยึดมั่นถือมั่น ว่าสิ่งนี้สิ่งนั้น เป็นของๆเรา ทั้งๆที่จริงๆแล้ว มันไม่มีอะไรเป็นของๆเราเลย..
----
บางคนอาจจะว่า "รถหายไม่ให้เสียใจก็บ้าแล้ว.."
ถ้าเราทำของหาย เราเสียใจได้ค่ะ แต่เสียใจแล้ว ร้องไห้แล้ว อย่าจมอยู่กับความทุกข์ ความเสียดาย ให้ปล่อยวาง แล้วทำปัจจุบันให้ดีที่สุดค่ะ.. ถือเสียว่า ถ้าเราไม่เสียรถไปตอนนี้ สักวันหนึ่งเราก็เสียไปอยู่ดี
ความอยาก ความยึดมั่นถือมั่น กิเลสตัณหา เหล่านี้ ล้วนก่อให้เกิดทุกข์
---
และนี่คือ ที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนมาค่ะ...
สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน "ไม่ใช่ความเชื่อ" แต่เป็น "ความจริง" และเป็น "การปฏิบัติ" เพื่อให้พ้นทุกข์ ค่ะ
และนี่คือ ข้อแตกต่างระหว่างศาสนาพุทธ และศาสนา อื่นๆ ค่ะ
---
ปล. ที่เล่ามาทั้งหมดเนี่ย ไม่ได้เล่าละเอียดนะคะ บางอย่างก็ข้ามไป หรือสรุปสั้นๆ เพราะเล่าละเอียดไม่ได้ คำถามของคุณ จขกท. เป็นคำถามที่ ต้องตอบทีละประเด็น และยาวค่ะ .. (ตอนแรกว่าจะไม่ตอบแระ.. --') อันนี้ที่ตอบก็เผื่อว่า จะช่วยอะไรได้บ้าง ใครเข้ามาอ่าน เผื่อช่วยได้บ้าง..
ถ้าพูดอะไรที่ทำให้ใครรู้สึกไม่สบายใจ ก็ ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ด้วยค่ะ _/|\_ ^^
จากคุณ : mooesha
เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 15:31:26
______________________________________________________________
ใครไม่เชื่อเรื่อง บุญ บาป ลองเข้ามาอ่านดูครับ
______________________________________________________________________________
โลกนี้ จักรวาลนี้ เป็นสิ่งทับซ้อนและลวงตาค่ะ มีการพิสูจน์ทั้งทางวิทยาศาสตร์(ไม่เล่าละเอียดนะ ไม่งั้นยาว)และทางความเป็นจริง
พวกเรา เป็นเหมือน จิตวิญญาณที่มีตัวรู้ มาถือกำเนิดในร่างกายมนุษย์ ที่ถูกกรองเอาความสามารถออก เช่น...
เมื่อเราเข้ามาอยู่ในร่างกายมนุษย์แล้ว เราจะมีขีดจำกัดในการมองเห็น คือมองเห็นได้แค่ ระยะกลางๆ(ไม่ใกล้เกินไป ไม่ไกลเกินไป) มองเห็นได้แค่ สิ่งที่มีขนาดกลางๆ(คือ ไม่เล็กเกินไป ไม่ใหญ่เกินไป) เราได้ยินเสียงที่ความถี่ 20-20,000 Hz ถ้าต่ำหรือสูงกว่านี้ เราก็ไม่ได้ยิน เราสัมผัสได้แต่เพียง สิ่งที่เราเรียกว่า วัตถุธาตุ 3 มิติ ถ้ามันอยู่นอกเหนือมิติที่ 3 เราก็ไม่สามารถสัมผัสได้(เช่น เราไม่สามารถย้อนไปอดีต หรืออนาคตได้)
ตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือแม้แต่ใจ(ในขณะที่อยู่ในร่างมนุษย์) จะถูกจำกัดความสามารถไว้ที่ ระดับหนึ่ง (ดิฉันชอบเรียกว่า ระดับความสามารถในการรับรู้และเข้าใจในแบบของมนุษย์) คือ ถ้าเป็นพวกสัตว์ก็จะถูกจำกัดอีกแบบหนึ่ง ในขณะที่พวกเรา มองเห็นว่า โลกนี้เป็นทรงกลม และหมุนรอบดวงอาทิตย์ แต่พวกสัตว์อื่นๆ มันก็จะมองเห็นอีกแบบหนึ่ง
แล้วถามว่าแบบไหนถูก? ไม่มีค่ะ ไม่มีแบบไหนถูก เพราะนี่ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด.. มันเป็นแค่ ความจริงที่เราสามารถรับรู้ได้ด้วยระดับความสามารถในการรับรู้ในแบบของมนุษ์ เท่านั้น
เรื่องนี้ ดูเหมือนวิทยาศาสตร์ เริ่มจะเข้าใกล้เข้ามาแล้ว จากการศึกษาเรื่อง ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ ที่สะเทือนวงการวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก(ไปหาอ่านเองนะ ถ้าให้อธิบายทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษที่นี่ คงไม่ไหว ยาวมาก)
ทฤษฎีทางวิทยาศาสร์ ได้ยืนยันกับคนทั้งโลกว่า.. เวลาและระยะทาง เป็นสิ่งที่ ยืดหด ได้..
นี่คือ ระดับที่วิทยาศาสตร์ของโลก 3 มิติ เข้าใจนะคะ.. แต่ถ้าในมุมมองของโลกอื่นๆ เวลาและระยทาง ไม่มีอยู่จริงด้วยซ้ำ เป็นแค่ เครื่องพรางตา
พูดให้ฟังง่ายๆก็คือ(คุณอาจไม่เข้าใจเท่าไหร่) ตอนนี้.. หลายๆมิติ หลายๆสิ่งในจักรวาล มันกำลังทับซ้อนกันอยู่ค่ะ ที่จุดๆเดียว เวลาเดียว.. ไม่มีอดีต ไม่มีปัจจุบัน ไม่มีระยะทาง
(ถ้าอยากให้เข้าใจง่าย ลองนึกถึง Computer 3D อ่ะ โลกใน Computer มีระยะทาง มีกาลเวลา แต่พวกเราที่นั่งอยู่หน้าคอมฯ มองดูที่หน้าจอ เห็นชัดๆว่า มันไม่มีอะไร มันเป็นแค่ electron ของ Liquid crystal display กำลังวิ่งไปมา เมื่อเรา shut down เครื่อง โลกในคอมฯ ก็หายไป) คล้ายๆอย่างงี้ แต่ไม่เหมือนเด๊ะ เพราะโลกความเป็นจริง ไม่มีใครนั่งอยู่หน้าจอ
พวกเรากำลังถูกหลอก ด้วยสิ่งๆหนึ่ง(ยังไม่บอกว่าอะไร เดี๋วจะยาว)
เมื่อจิตวิญญาณมาอยู่ในร่างกายมนุษย์ มันก็ถูกจำกัดให้มองเห็น ได้ยิน สัมผัส ได้เพียงเท่านี้ๆ
แต่พอมันออกจากร่างมนุษย์(ตอนตาย) มันไม่ได้เป็นสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ มันเป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงกันไปมาไม่สิ้นสุด
นรก สวรรค์ ของคนๆหนึ่ง ถูกสร้างขึ้นมา ตามความเชื่อของคนๆนั้น..
มีกรณีที่ คนๆนั้นไม่เชื่อในศาสนาไหนเลย เมื่อเขาตายไป เขาก็สร้างนรกเป็นคุกขังตัวเอง เพราะตอนยังมีชีวิตอยู่ เขาเชื่อว่า คนทำผิดต้องเข้าคุก..
บางคน ไม่เชื่ออะไรเลย ทำผิดก็ไม่เชื่อว่าจะต้องเข้าคุก พวกนี้ พอตายไป ก็จะอยู่ในที่มืดๆ มองเห็นผู้อื่น แต่ไม่มีใครมองเห็นเขา (คือ เป็นพวก คิดไม่ดี มีจิตด้านมืดมาตั้งแต่ตอนยังมีชีวิต)
จิตก่อนตาย จะคล้ายๆตอนพวกเรานอนหลับกำลังจะฝันค่ะ.. แต่จะต่างกันที่ ก่อนต่าย จิตดวงนั้นจะคิดถึงสิ่งที่ทำผ่านมาตลอดทั้งชีวิต.. ทำให้จิตดวงนั้น ไปสร้างโลกเสมือน ตามสิ่งที่ตัวเองได้กระทำไว้
นี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมนรกสวรรค์ของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน. เพราะจิตดวงนี้มีกำลัง ที่จะสร้างโลกเสมือนขึ้นมาได้อย่าง ไม่จำกัด (นึกคิดดูตอนที่เรากำลังฝันสิ่ นั่นแหละ คล้ายๆกัน เราสามารถสร้างโลกความฝันได้ไม่จำกัด กว้างใหญ่ไพาศาล)
-------
ส่วนเรื่อง บาปกรรม หรือ กฎแห่งกรรม มีจริงไหม..
ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ สิ่งที่มันมีอยู่จริง มันก็มีอยู่ของมันอย่างนั้นค่ะ
เมื่อเราได้กระทำสิ่งหนึ่งลงไป เราจะได้รับผลของการกระทำตามความเหมาะสม ตามช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ผลกรรมที่ได้รับ จะเป็นช่วงเวลาไหน จะเป็นอะไร และเมื่อไหร่ ก็ได้ ที่ธรรมชาติได้มองเห็นว่า เหมาะสมที่สุด
บางทีคุณทำกรรมี้ไว้.. คุณยังไม่ได้รับผลของการกระทำ เพราะมันยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่คุณจะได้รับค่ะ
โลกนี้เป็นโลกที่ Perfect ค่ะ ทุกเหตุการณ์เกี่ยวเนื่องกันอย่าง "สมบูรณ์แบบที่สุด" ไม่มีการกระทำใดๆที่จะถูกเพิกเฉยๆโดยกฎแห่งกรรม
และไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาอะไร คุณก็ได้รับผลของการกระทำ ด้วยกันทั้งนั้น
--------
ส่วนเรื่อง ศาสนา..
ทำไมคนที่นับถือพุทธ(แบบจริงจัง) ถึงไม่นิยมเรียกศาสนาพุทธว่าเป็นความเชื่อ
เพราะ...
ศาสดาของพวกเรา ไม่ได้คินค้นความเชื่อขึ้นมา แล้วเอามาให้คนนับถือค่ะ
ท่านนั่งสมาธิ(คุณลองไปนั่งสมาธิดูนะ แล้วจะได้รู้ได้เห็นอะไรที่กว้างกว่านี้ ความคิดจะได้เปิดกว้างด้วย)
เมื่อศาสดาของเรา ตระหนักถึง ความเป็นจริงของธรรมชาติ ที่มนุษย์เรา สักวันหนึ่งก็ต้องล้มป่วย สักวันหนึ่งก็ต้องตาย แล้วทรัพย์สมบัติเงินทองก็นำติดตัวไปด้วยไม่ได้.. ท่านก็ได้มองเห็นว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง
เมื่อท่านไปนั่งสมาธิใต้ต้นโพธิ์(อันนี้ ดิฉันไม่ค่อยแม่นในพุทธประวัตินะคะ จะเล่าคร่าวๆ)
เมื่อท่านนั่งสมาธิ ท่านจึงได้รู้ว่า อ้อ.. จริงๆแล้ว ร่างกายเรา มันไม่ได้มีแต่เนื้อหนังมังสานะ มันยังมีสิ่งที่เรียกว่า "จิตวิญญาณ" อยู่ด้วย
เมื่อนั่งไปเรื่อย.. พระองค์ก็สามารถ มองเห็นความเป็นจริงทั้งหมด ที่ไม่ได้ถูกขวางกั้นด้วยเครื่องพรางตา
พระองค์มองเห็นโครงสร้างจักรวาล โครงสร้างของสรรพสิ่ง ที่มาที่ไป อดีต ปัจจุบัน อนาคต..
เมื่อเห็นเช่นนั้น พระองค์ก็ยังไม่ได้หยุดหย่อน ยังคงทำสมาธิต่อไป แล้ววันหนึ่ง พระองค์ก็ ตรัสรู้
(เมื่อก่อน ดิฉันเคยเชื่อแต่วิทยาศาสตร์นะคะ ไม่เคยเชื่อเรื่องวิญญาณ เวลาเรียนวิชาพระพุทธศาสนาเนี่ย ก็ชอบอ่านแบบท่องจำว่า พระพุทธเจ้าท่าน ตรัสรู้ แต่ไม่เคยรู้เลยว่า ท่านตรัสรู้อะไร)
พระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้ รู้แจ้งแทงตลอด รู้ในสิ่งที่พวกเราไม่รู้ค่ะ..
ท่านมองเห็นและเข้าใจ โครงสร้างของกฎแห่งกรรม โครงสร้างของสรรพสิ่ง และท่านก็รู้ด้วยว่า มนุษย์เรานี่นะ โดนหลอกนะ โดย อวิชชา ความอยาก กิเลส ตัณหา ราคะ ฯลฯ
พระองค์จึงได้ ชี้แนะแนวทางแห่งการหลุดพ้นไว้ให้กับมนุษย์โลกยังไงล่ะคะ ^_^
นอกจาก หนทางแห่งการพ้นทุกข์ ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก... พระองค์ก็ได้ทิ้งคำสั่งสอน เกี่ยวกับการปล่อยวาง การบรรเทาทุกข์
คือ ถ้าเรารู้ต้นเหตุแห่งทุกข์ ว่าทำไมถึงทุกข์ เราก็จะไม่ทุขก์ค่ะ
เช่น ถ้ารถยนต์คนข้างบ้านหาย ถามว่าเราทุกข์ไหม.. (ตอบ ไม่ทุกข์ค่ะ เพราะรถไม่ใช่ของเรา)
แต่ถ้า รถยนต์ของเราหาย ถามว่าคนข้างบ้านทุกข์ไหม.. (ตอบ ไม่ทุกข์ค่ะ เราทุกข์ เพราะรถเรา ไม่ใช่รถเขา เขาเลยไม่ทุกข์)
แล้วถามว่า.. ตั้งแต่เราเกิดมาเนี่ย เรามีอะไรติดตัวมาด้วยไหม...(ตอบ ไม่มี มาแต่ตัว)
ตอนตาย เราเอารถยนต์ไปด้วยไหม(ตอบ ไม่.. แม้แต่ร่างกาย ยังไม่ได้เอาไปด้วยเลย จะเอารถยนต์ไปด้วยได้อย่างไร)
แล้วที่เราทุกข์เนี่ย.. เพราะอะไร???
ตอบ: เพราะเรา ยึดมั่นถือมั่น ว่าสิ่งนี้สิ่งนั้น เป็นของๆเรา ทั้งๆที่จริงๆแล้ว มันไม่มีอะไรเป็นของๆเราเลย..
----
บางคนอาจจะว่า "รถหายไม่ให้เสียใจก็บ้าแล้ว.."
ถ้าเราทำของหาย เราเสียใจได้ค่ะ แต่เสียใจแล้ว ร้องไห้แล้ว อย่าจมอยู่กับความทุกข์ ความเสียดาย ให้ปล่อยวาง แล้วทำปัจจุบันให้ดีที่สุดค่ะ.. ถือเสียว่า ถ้าเราไม่เสียรถไปตอนนี้ สักวันหนึ่งเราก็เสียไปอยู่ดี
ความอยาก ความยึดมั่นถือมั่น กิเลสตัณหา เหล่านี้ ล้วนก่อให้เกิดทุกข์
---
และนี่คือ ที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนมาค่ะ...
สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน "ไม่ใช่ความเชื่อ" แต่เป็น "ความจริง" และเป็น "การปฏิบัติ" เพื่อให้พ้นทุกข์ ค่ะ
และนี่คือ ข้อแตกต่างระหว่างศาสนาพุทธ และศาสนา อื่นๆ ค่ะ
---
ปล. ที่เล่ามาทั้งหมดเนี่ย ไม่ได้เล่าละเอียดนะคะ บางอย่างก็ข้ามไป หรือสรุปสั้นๆ เพราะเล่าละเอียดไม่ได้ คำถามของคุณ จขกท. เป็นคำถามที่ ต้องตอบทีละประเด็น และยาวค่ะ .. (ตอนแรกว่าจะไม่ตอบแระ.. --') อันนี้ที่ตอบก็เผื่อว่า จะช่วยอะไรได้บ้าง ใครเข้ามาอ่าน เผื่อช่วยได้บ้าง..
ถ้าพูดอะไรที่ทำให้ใครรู้สึกไม่สบายใจ ก็ ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ด้วยค่ะ _/|\_ ^^
จากคุณ : mooesha
เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 15:31:26
______________________________________________________________