สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 18
***
ขอยกเรื่องสติงเรย์ที่ตอบไว้ในกระทู้นี้มาเล่าซ้ำอีกทีครับ
เพิ่งรู้นะเนี่ยไทยเรา เกือบ...ได้สร้างรถถังใช้เอง
http://pantip.com/topic/30028943
***
มันมีเหตุผลอยู่หลายประการครับที่กองทัพบกเราไม่เจาะจงเลือกรถถังรุ่นนี้ไม่ใช่อะไรก็ค่าคอมหรือใต้โต๊ะกันอย่างเดียว โดยถ้าจะว่ากันแล้วต้องย้อนความไปในช่วงเกือบๆจะ30ปีที่แล้วซึ่งตอนนั้นสงครามเย็นยังคุกกรุ่นอยู่ และกองทัพบกของเราก็มีความคิดที่จะปรับปรุงพัฒนากองพลยานเกราะให้ทันสมัย ซึ่งหนึ่งในโครงการดังกล่าวก็คือการจัดหา "รถถังเบา" รุ่นใหม่ซึ่งมีความคล่องตัวและขีดความสามารถเหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศในแถบนี้ และเมื่อกองทัพมีความต้องการเช่นนี้จึงมีบริษัทที่เข้ามาสนองความประสงค์อยู่หลายเจ้า แต่ที่โดดเด่นและได้รับการจับตามากที่สุดคือ "คาดิลแลคเกจ" ของมะริกันซึ่งมาพร้อมเจ้า "กระเบนธง" หรือ "รถถังเบาแบบคอมแมนโด-สตริงเรย์" (เริ่มจะคุ้นๆกันแล้วใช่ไหม)
กับอีกบริษัทที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือ "ทิซเซ่น-เฮนเซิล" ของเยอรมันตะวันตกที่มาพร้อมรถถัง "TH-301" (ตอนนั้นโซเวียตยังไม่แตกและเยอรมนียังไม่รวมประเทศ) แต่ความแตกต่างและจุดแข็งของสองบริษัทนี้มันอยู่ตรงที่ในห้วงเวลานั้น "แคดิแลคเกจ" มีชื่อเสียงจากการผลิตยุทโธปกรณ์ต่างๆให้กองทัพมะริกันอยู่ (ไม่ต้องบอกทุกท่านก็น่าจะทราบว่าห้วงนั้นเราโปรมะริกันมากแค่ไหน) และบริษัทก็มาพร้อมความคิดขายฝันที่ว่าบริษัทของไอได้นำเสนอโครงการ "สตริงเรย์" พร้อมรถถังต้นแบบให้กองทัพมะริกันเริ่มทดสอบแล้ว ดังนั้นกองทัพยูจงมั่นใจได้เลยว่าจะได้ใช้รถถังเบารุ่นเดียวกับที่กองทัพมะริกันกำลังจะนำเข้าประจำการในเร็วๆนี้นั่นแหละ

ส่วนบริษัท "ทิซเซ่น-เฮนเซิล" เองก็ไม่ไ่ด้น้อยหน้าเพราะมีชื่อเสียงจากการผลิตยุทโธปกรณ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งยานเกราะหนักเบาประเภทต่างๆมาแล้ว อีกทั้งไม่กี่ปีก่อนหน้านั้นบริษัทยังสร้างชื่อด้วยการไปเสนอโครงการทำนองเดียวกันนี้ให้กับกองทัพอาร์เจนติน่าเพื่อให้อาร์เจนติน่าผลิตรถถังหลัก "Tam" ขึ้นมาใช้เองในประเทศภายใต้การควมคุมดูแลคุณภาพจากเยอรมันตะวันตกเป็นจำนวนหลายร้อยคัน ซึ่งแนวคิดของ "ทิซเซ่น-เฮนเซิล" ก็คือจะเข้ามาถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตรถถังเบาแบบ "TH-301" ให้ประเทศไทยจนเราสามารถสร้างรถถังขึ้นมาได้เองภายใต้การดูแลคุณภาพของเยอรมัน แต่ทว่าสิ่งหนึ่งที่แน่นอนยิ่งกว่าแช่แป้งก็คือค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อของมะริกันพร้อมบริการหลังการขายกับการซื้อรถถังต้นแบบและเทคโนโลยีมาผลิตเองนั้นมันต่างกันมากอยู่ เพราะถ้าเราเลือกของเยอรมันตะวันตกมันจะมีค่าใช้จ่ายในการตั้งโรงงานและวางสายการผลิตอยู่ด้วย

และเมื่อบวกกับการที่ตอนนั้นบริษัท "คาดิลแลคเกจ" ใช้มุกเด็ดคือรถถังเบาของตัวเองกำลังจะมีโอกาสได้เข้าประจำการในกองทัพมะริกันอยู่รอมร่อแล้ว ทำให้กองทัพเราเห็นว่าจะมีโอกาสได้ใช้รถถังเบามือหนึ่งคุณภาพดีในเวลาไล่เลี่ยกันกับชาติมหาอำนาจ ดังนั้นเมื่อบวกกับลมปากอันสนาะหูของผู้หลักผู้ใหญ่บางท่าน ในทีุ่สุดหวยจึงมาออกที่โครงการ "สตริงเรย์คอมแมนโด" ของคาดิลแลคเกจที่เป็นผู้ชนะไป พร้อมด้วยยอดการสั่งซื้อรถถังรุ่นดังกล่าวเข้ามาในกองทัพบกของราชอาณาัจักรไทยจำนวน 106 คันพอดีไม่ขาดไม่เกินพร้อมอะไหล่ ทำให้โครงการของ "ทิซเซ่น-เฮนเซิล" ที่จะให้ไทยสร้างรถถังใช้เองแบบอาร์เจนติน่าต้องกลายเป็นหมันตั้งแต่ยังไม่ทันจะไ่ด้ปฏิสนธิด้วยซ้ำ
แต่ทว่าในเวลาต่อมาเรื่องตลกร้ายอย่างหนึ่งก็บังเกิดขึ้นเมื่อกองทัพมะริกันซึ่งทางบริษัท "คาดิลแลคเกจ" หมายมั่นปั้นมือว่าจะเป็นลูกค้ารายใหญ่ของเจ้า "กระเบนธง" กลับไม่ชอบพอในรถถังรุ่นดังกล่าวโดยมีสาเหตุหลายประการด้วยกัน ซึ่งสาเหตุใหญ่ๆคือแรกเริ่มเดิมทีมะริกันนั้นต้องการหารถถังเบารุ่นใหม่มาแทนเจ้า "เชอริแดน" ที่ใช้มาอย่างยาวนาน ซึ่งรถถังรุ่นดังกล่าวต้องมีขีดความสามารถที่จะบรรทุกไปกับเครื่อง "C-130" และทิ้งร่มมาจากกลางอากาศเพื่อสนับสนุนหน่วยพลร่มและทหารราบในการรบภาคพื้นดินได้ แต่ไปๆมาๆดันกลายเป็นว่าเจ้า "สตริงเรย์" นั้นไม่เหมาะที่จะบรรทุกไปกับ "C-130" และบวกกับตอนนั้นมะริกันเองก็เริ่มที่จะไม่นิยมหลักการใช้รถถังเบากันแล้ว เพราะเทคโนโลยีของยานเกราะล้อยา่งเริ่มพัฒนาไปมากจนเริ่มมีประสิทธิภาพเกือบๆจะนำมาใช้แทนรถถังเบาได้ ประจวบกับเทคโนโลยีของรถถังหนักเองก็พัฒนาไปอย่างมากมายเช่นกัน จึงทำให้กองทัพมะริกันยกเลิกโครงการ "สตริงเรย์" และหันไปพัฒนาปรับปรุงเจ้า "เชอริแดน" ที่มีอยู่ให้ทันสมัยกว่าแทน พร้อมเพิ่มจำนวนประจำการของเจ้ารถถังหลักตัวเก่งรุ่นใหม่ล่าสุด(ในห้วงนั้น)อย่างเจ้า "M1-Abram" อย่างมากมาย ซึ่งอีกไม่กี่ปีต่อมาเจ้า "Abram" ก็ได้มีโอกาสเข้าร่วมสงครามใหญ่ซึ่งสร้างชื่อให้กับกองทัพมะริกันนั่นคือสงคราม "อ่าวเปอร์เซัย" อันลือลั่นนั่นเอง ส่วนกองทัพไทยเราก็ได้รับการจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์การทหารโลกด้วยการเป็นเพียงผู้เดียวที่ใช้ "รถถังสตริงเรย์" อยู่จนถึงปัจจุบัน

ป.ล. ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้มิใช่จะบอกว่าผมไม่ชอบ "สตริงเรย์" นะครับ ตามความเห็นผม "เจ้ากระเบนธง" นั้นมีความเหมาะสมกับกองทัพเราและมีความคุ้มค่าอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยที่สุดแล้ว แม้ในช่วงแรกๆจะเกิดปัญหาจากการทดสอบบ้างแต่ทาง "คาดิลแลคเกจ" ก็เข้ามาปรับปรุงซ่อมแซมแก้ไขให้จนเรียบร้อยดี
(May the Spoil be with you)
ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน
ขอยกเรื่องสติงเรย์ที่ตอบไว้ในกระทู้นี้มาเล่าซ้ำอีกทีครับ
เพิ่งรู้นะเนี่ยไทยเรา เกือบ...ได้สร้างรถถังใช้เอง
http://pantip.com/topic/30028943
***
มันมีเหตุผลอยู่หลายประการครับที่กองทัพบกเราไม่เจาะจงเลือกรถถังรุ่นนี้ไม่ใช่อะไรก็ค่าคอมหรือใต้โต๊ะกันอย่างเดียว โดยถ้าจะว่ากันแล้วต้องย้อนความไปในช่วงเกือบๆจะ30ปีที่แล้วซึ่งตอนนั้นสงครามเย็นยังคุกกรุ่นอยู่ และกองทัพบกของเราก็มีความคิดที่จะปรับปรุงพัฒนากองพลยานเกราะให้ทันสมัย ซึ่งหนึ่งในโครงการดังกล่าวก็คือการจัดหา "รถถังเบา" รุ่นใหม่ซึ่งมีความคล่องตัวและขีดความสามารถเหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศในแถบนี้ และเมื่อกองทัพมีความต้องการเช่นนี้จึงมีบริษัทที่เข้ามาสนองความประสงค์อยู่หลายเจ้า แต่ที่โดดเด่นและได้รับการจับตามากที่สุดคือ "คาดิลแลคเกจ" ของมะริกันซึ่งมาพร้อมเจ้า "กระเบนธง" หรือ "รถถังเบาแบบคอมแมนโด-สตริงเรย์" (เริ่มจะคุ้นๆกันแล้วใช่ไหม)
กับอีกบริษัทที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือ "ทิซเซ่น-เฮนเซิล" ของเยอรมันตะวันตกที่มาพร้อมรถถัง "TH-301" (ตอนนั้นโซเวียตยังไม่แตกและเยอรมนียังไม่รวมประเทศ) แต่ความแตกต่างและจุดแข็งของสองบริษัทนี้มันอยู่ตรงที่ในห้วงเวลานั้น "แคดิแลคเกจ" มีชื่อเสียงจากการผลิตยุทโธปกรณ์ต่างๆให้กองทัพมะริกันอยู่ (ไม่ต้องบอกทุกท่านก็น่าจะทราบว่าห้วงนั้นเราโปรมะริกันมากแค่ไหน) และบริษัทก็มาพร้อมความคิดขายฝันที่ว่าบริษัทของไอได้นำเสนอโครงการ "สตริงเรย์" พร้อมรถถังต้นแบบให้กองทัพมะริกันเริ่มทดสอบแล้ว ดังนั้นกองทัพยูจงมั่นใจได้เลยว่าจะได้ใช้รถถังเบารุ่นเดียวกับที่กองทัพมะริกันกำลังจะนำเข้าประจำการในเร็วๆนี้นั่นแหละ
รถถังเบาแบบ คอมแมนโดสตริงเรย์ ของกองทัพไทย

ส่วนบริษัท "ทิซเซ่น-เฮนเซิล" เองก็ไม่ไ่ด้น้อยหน้าเพราะมีชื่อเสียงจากการผลิตยุทโธปกรณ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งยานเกราะหนักเบาประเภทต่างๆมาแล้ว อีกทั้งไม่กี่ปีก่อนหน้านั้นบริษัทยังสร้างชื่อด้วยการไปเสนอโครงการทำนองเดียวกันนี้ให้กับกองทัพอาร์เจนติน่าเพื่อให้อาร์เจนติน่าผลิตรถถังหลัก "Tam" ขึ้นมาใช้เองในประเทศภายใต้การควมคุมดูแลคุณภาพจากเยอรมันตะวันตกเป็นจำนวนหลายร้อยคัน ซึ่งแนวคิดของ "ทิซเซ่น-เฮนเซิล" ก็คือจะเข้ามาถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตรถถังเบาแบบ "TH-301" ให้ประเทศไทยจนเราสามารถสร้างรถถังขึ้นมาได้เองภายใต้การดูแลคุณภาพของเยอรมัน แต่ทว่าสิ่งหนึ่งที่แน่นอนยิ่งกว่าแช่แป้งก็คือค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อของมะริกันพร้อมบริการหลังการขายกับการซื้อรถถังต้นแบบและเทคโนโลยีมาผลิตเองนั้นมันต่างกันมากอยู่ เพราะถ้าเราเลือกของเยอรมันตะวันตกมันจะมีค่าใช้จ่ายในการตั้งโรงงานและวางสายการผลิตอยู่ด้วย
รถถังหลักแบบ "TAM" ที่บริษัท"ทิซเซ่น-เฮนเซิล" ร่วมกับกองทัพอาร์เจนติน่าในการผลิตขึ้นมา โดยกองทัพอาร์เจนติน่ายังประจำการรถรุ่นนี้มาจนถึงปัจจุบันและมีการอัพเกรดระบบต่างๆให้ทันสมัยขึ้น

และเมื่อบวกกับการที่ตอนนั้นบริษัท "คาดิลแลคเกจ" ใช้มุกเด็ดคือรถถังเบาของตัวเองกำลังจะมีโอกาสได้เข้าประจำการในกองทัพมะริกันอยู่รอมร่อแล้ว ทำให้กองทัพเราเห็นว่าจะมีโอกาสได้ใช้รถถังเบามือหนึ่งคุณภาพดีในเวลาไล่เลี่ยกันกับชาติมหาอำนาจ ดังนั้นเมื่อบวกกับลมปากอันสนาะหูของผู้หลักผู้ใหญ่บางท่าน ในทีุ่สุดหวยจึงมาออกที่โครงการ "สตริงเรย์คอมแมนโด" ของคาดิลแลคเกจที่เป็นผู้ชนะไป พร้อมด้วยยอดการสั่งซื้อรถถังรุ่นดังกล่าวเข้ามาในกองทัพบกของราชอาณาัจักรไทยจำนวน 106 คันพอดีไม่ขาดไม่เกินพร้อมอะไหล่ ทำให้โครงการของ "ทิซเซ่น-เฮนเซิล" ที่จะให้ไทยสร้างรถถังใช้เองแบบอาร์เจนติน่าต้องกลายเป็นหมันตั้งแต่ยังไม่ทันจะไ่ด้ปฏิสนธิด้วยซ้ำ
คลิปการทิ้งร่มรถถังเบาแบบ "เชอริแดน" ของมะริกันด้วยวิธีส่งทางอากาศ (เดี๋ยวจะกล่าวต่อไปว่ามันเกี่ยวข้องกันยังไง)
แต่ทว่าในเวลาต่อมาเรื่องตลกร้ายอย่างหนึ่งก็บังเกิดขึ้นเมื่อกองทัพมะริกันซึ่งทางบริษัท "คาดิลแลคเกจ" หมายมั่นปั้นมือว่าจะเป็นลูกค้ารายใหญ่ของเจ้า "กระเบนธง" กลับไม่ชอบพอในรถถังรุ่นดังกล่าวโดยมีสาเหตุหลายประการด้วยกัน ซึ่งสาเหตุใหญ่ๆคือแรกเริ่มเดิมทีมะริกันนั้นต้องการหารถถังเบารุ่นใหม่มาแทนเจ้า "เชอริแดน" ที่ใช้มาอย่างยาวนาน ซึ่งรถถังรุ่นดังกล่าวต้องมีขีดความสามารถที่จะบรรทุกไปกับเครื่อง "C-130" และทิ้งร่มมาจากกลางอากาศเพื่อสนับสนุนหน่วยพลร่มและทหารราบในการรบภาคพื้นดินได้ แต่ไปๆมาๆดันกลายเป็นว่าเจ้า "สตริงเรย์" นั้นไม่เหมาะที่จะบรรทุกไปกับ "C-130" และบวกกับตอนนั้นมะริกันเองก็เริ่มที่จะไม่นิยมหลักการใช้รถถังเบากันแล้ว เพราะเทคโนโลยีของยานเกราะล้อยา่งเริ่มพัฒนาไปมากจนเริ่มมีประสิทธิภาพเกือบๆจะนำมาใช้แทนรถถังเบาได้ ประจวบกับเทคโนโลยีของรถถังหนักเองก็พัฒนาไปอย่างมากมายเช่นกัน จึงทำให้กองทัพมะริกันยกเลิกโครงการ "สตริงเรย์" และหันไปพัฒนาปรับปรุงเจ้า "เชอริแดน" ที่มีอยู่ให้ทันสมัยกว่าแทน พร้อมเพิ่มจำนวนประจำการของเจ้ารถถังหลักตัวเก่งรุ่นใหม่ล่าสุด(ในห้วงนั้น)อย่างเจ้า "M1-Abram" อย่างมากมาย ซึ่งอีกไม่กี่ปีต่อมาเจ้า "Abram" ก็ได้มีโอกาสเข้าร่วมสงครามใหญ่ซึ่งสร้างชื่อให้กับกองทัพมะริกันนั่นคือสงคราม "อ่าวเปอร์เซัย" อันลือลั่นนั่นเอง ส่วนกองทัพไทยเราก็ได้รับการจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์การทหารโลกด้วยการเป็นเพียงผู้เดียวที่ใช้ "รถถังสตริงเรย์" อยู่จนถึงปัจจุบัน
M1-Abram ระหว่างปฏิบัติการพายุทะเลทราย

ป.ล. ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้มิใช่จะบอกว่าผมไม่ชอบ "สตริงเรย์" นะครับ ตามความเห็นผม "เจ้ากระเบนธง" นั้นมีความเหมาะสมกับกองทัพเราและมีความคุ้มค่าอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยที่สุดแล้ว แม้ในช่วงแรกๆจะเกิดปัญหาจากการทดสอบบ้างแต่ทาง "คาดิลแลคเกจ" ก็เข้ามาปรับปรุงซ่อมแซมแก้ไขให้จนเรียบร้อยดี
(May the Spoil be with you)
ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน
ความคิดเห็นที่ 19
***
เรื่องของไอ้หมูป่า "A-10" ที่เคยตอบไว้
เรื่องความเร็วต่ำนั้นไม่ใช่ปัญหาครับเพราะเจ้าหมูป่าเขี้ยวตันนั้นถูกออกแบบมาให้เป็นเครื่องบินสนับสนุนการโจมตีภาคพื้นดินครับ ดังนั้นถ้ามันมีความเร็วพอๆกับเครื่องบินขับไล่นักบินคงไม่ทันเล็งหรือยิงกเป้าหมายกันซักเท่าไหร่เพราะบินแป๊ปเดียวก้เลยหัวเป้าหมายไปแล้ว โดยเจ้าหมูป่าเขี้ยวตันนี้ถูกพัฒนามาตั้งแต่ชวงปลายยุคสงครามเย็นเพื่อนำมาใช้ทดแทนเจ้า "A-1 Skyraider" ซึ่งเป็นเครื่องบินใบพัดซึ่งใข้ในภารกิจสนับสนุนและโจมตีเป้าหมายทางภาคพื้นดินซึ่งใช้กันมาตั้งแต่ช่วงสงครามเกาหลีครับ

และเมื่อ "เจ้าหมูป่าเขี้ยวตัน" เข้าประจำการอย่างเต็มตัวนั้นหน้าที่หลักๆของมันคือการเป็นเครื่องมือต่อกรกับกองพลรถถังจำนวนมหาศาลของโซเวียตในยุโรปตะวันออกครับ ทว่าตั้งแต่ประจำการมาจนกระทั่งสงครามเย็นเกือบจะสิ้นสุดนั้นเจ้าหมูป่าแทบไม่เคยได้ออกปฏิบัติการให้คุ้มค่าตัวของมันเลย เพราะโซเวียตทำเพียงแค่ขนรถถังมาูขู่ชาติตะวันตกให้สะดุ้งเล่นๆแต่ก็ไม่เคยบุกข้ามพรมแดนเยอรมันมาซักที กระทั่งกองทัพมะริกันเริ่มเข้าประจำการ "เอฟ-16" ซึ่งเป็นเครื่องบินรบแบบมัลติโรลจึงมีความคิดจะปลดระวางเจ้า "หมูป่าเขี้ยวตัน" ไป และหวยก็มาออกที่ประเทศไทยของเราซึ่งในช่วงปลายยุค80'นั้นกองทัพอากาศของเรามีความคิดจะจัดหาเครื่องบินรุ่นใหม่มาเพิ่มเติมพอดี ซึ่งมะริกันเสนอทั้ง "เอฟ-16" และ "เจ้าหมูป่าเขี้ยวตัน" แต่กองทัพเราในเวลานั้นไม่ได้มีภัยคุกคามจากยานเกราะภาคพื้นดินจนถึงขั้นต้องเอาเจ้านี่มาใช้ อีกทั้งเครื่องรุ่นใหม่อย่าง "เอฟ-16" ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างหลากหลายนั้นน่าสนใจกว่าดังนั้นเจ้าหมูป่าจึงต้องดองตัวเองอยู่ในโกดังต่อไป

กระทั่งในช่วงต้นยุค90' "ซัดดัม ฮุสเซน" ผู้นำเผด็จการแห่งอิรักเกิดเกรียนแตกยกทัพบุก "คูเวต" โดยไม่ยอมฟังคำเตือนของมะริกันและสหประชาชาติ "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" จึงระเบิดขึ้น และในสงครามนี้เองมะริกันได้มีการนำเจ้า "หมูป่าเขี้ยวตัน" ไปร่วมรบกับเขาด้วยโดยกะไว้ว่าพอจบสมรภูมิก็อาจจะปลดประจำการไป และในการรบที่ทะเลทรายอันร้อนระอุนี่เองความสามารถของมันถูกโชว์ให้ปรากฏเมื่อหน่วยบินที่ใช้เจ้าหมูป่านั้นสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกระเทียมดอง ด้วยการไล่สอยรถถังอิรักอย่างสนุกสนานเพลิดเพลินจำเริญใจไปเกือบพันคันรวมถึงยานเกราะต่างๆอีกหลายพันคัน เรียกได้ว่าครั้งนี้เจ้าหมูป่าได้โชว์ฺฝีมือของมันอย่างคุ้มค่าตัวที่สุดทำให้กองทัพมะริกันตัดสินใจที่จะประจำการเจ้าหมูป่าไว้ต่อไปพร้อมปรังปรุงระบบอำนวยการรบต่างๆให้ทันสมัยยิ่งขึ้น และจากข่าวล่าสุดถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดกองทัพมะริกันได้เริ่มโครงการปรับปรุงเจ้าหมูป่าอีกครั้งโดยมีแผนจะยืดอายุการประจำการของมันไปจนถึงปี ค.ศ. 2040 เลยทีเดียวครับ

(May the Spoil be with you)
ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน
เรื่องของไอ้หมูป่า "A-10" ที่เคยตอบไว้
เรื่องความเร็วต่ำนั้นไม่ใช่ปัญหาครับเพราะเจ้าหมูป่าเขี้ยวตันนั้นถูกออกแบบมาให้เป็นเครื่องบินสนับสนุนการโจมตีภาคพื้นดินครับ ดังนั้นถ้ามันมีความเร็วพอๆกับเครื่องบินขับไล่นักบินคงไม่ทันเล็งหรือยิงกเป้าหมายกันซักเท่าไหร่เพราะบินแป๊ปเดียวก้เลยหัวเป้าหมายไปแล้ว โดยเจ้าหมูป่าเขี้ยวตันนี้ถูกพัฒนามาตั้งแต่ชวงปลายยุคสงครามเย็นเพื่อนำมาใช้ทดแทนเจ้า "A-1 Skyraider" ซึ่งเป็นเครื่องบินใบพัดซึ่งใข้ในภารกิจสนับสนุนและโจมตีเป้าหมายทางภาคพื้นดินซึ่งใช้กันมาตั้งแต่ช่วงสงครามเกาหลีครับ
รูปของ "A-1 Skyraider" เครื่องบินสนับสนุนการโจมตีภาคพื้นดินซึ่งเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของกองทัพมะริกันตั้งแต่สงครามเกาหลีจนถึงเวียดนาม ในสงครามเกาหลีนั้นทหารราบจะรู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่ได้ยินเสียงของมันเพราะนั่นแสดงว่าพระเอกขี่ม้าขาวได้มาถึงสนามรบแล้ว

และเมื่อ "เจ้าหมูป่าเขี้ยวตัน" เข้าประจำการอย่างเต็มตัวนั้นหน้าที่หลักๆของมันคือการเป็นเครื่องมือต่อกรกับกองพลรถถังจำนวนมหาศาลของโซเวียตในยุโรปตะวันออกครับ ทว่าตั้งแต่ประจำการมาจนกระทั่งสงครามเย็นเกือบจะสิ้นสุดนั้นเจ้าหมูป่าแทบไม่เคยได้ออกปฏิบัติการให้คุ้มค่าตัวของมันเลย เพราะโซเวียตทำเพียงแค่ขนรถถังมาูขู่ชาติตะวันตกให้สะดุ้งเล่นๆแต่ก็ไม่เคยบุกข้ามพรมแดนเยอรมันมาซักที กระทั่งกองทัพมะริกันเริ่มเข้าประจำการ "เอฟ-16" ซึ่งเป็นเครื่องบินรบแบบมัลติโรลจึงมีความคิดจะปลดระวางเจ้า "หมูป่าเขี้ยวตัน" ไป และหวยก็มาออกที่ประเทศไทยของเราซึ่งในช่วงปลายยุค80'นั้นกองทัพอากาศของเรามีความคิดจะจัดหาเครื่องบินรุ่นใหม่มาเพิ่มเติมพอดี ซึ่งมะริกันเสนอทั้ง "เอฟ-16" และ "เจ้าหมูป่าเขี้ยวตัน" แต่กองทัพเราในเวลานั้นไม่ได้มีภัยคุกคามจากยานเกราะภาคพื้นดินจนถึงขั้นต้องเอาเจ้านี่มาใช้ อีกทั้งเครื่องรุ่นใหม่อย่าง "เอฟ-16" ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างหลากหลายนั้นน่าสนใจกว่าดังนั้นเจ้าหมูป่าจึงต้องดองตัวเองอยู่ในโกดังต่อไป
รูปของ "Soviet Big-7" ซึ่งเป็นจักรกลสงคราม7ชนิดที่ถือเป็นภัยคุกคามยุโรปตะวันตกในช่วงยุค80' โดยช่วงปลายสงครามเย็นนั้นโซเวียตมีรถถังหลักประจำการมากถึง 55,000 คัน ยานเกราะภาคพื้นดินชนิดต่างๆรวมกันเป็นแสนคัน กระทั่งเมื่อโซเวียตล่มสลายไปอาวุธยุทโธปกรณ์เหล่านี้ส่วนหนึ่งจึงตกไปอยู่ในมือของอดีตประเทศบริวาร ซึ่งมักจะถูกปล่อยทิ้งให้ผุพังกลายเป็นเศษเหล็กหรือนำไปขายให้พวกพ่อค้าอาวุธและบรรดาประเทศในโลกที่3เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ยูเครน" ซึ่งได้รับมรดกจักรกลสงครามพวกนี้จากโซเวียตไปมากที่สุดรวมถึงหัวรบนิวเคลียร์ด้วย

กระทั่งในช่วงต้นยุค90' "ซัดดัม ฮุสเซน" ผู้นำเผด็จการแห่งอิรักเกิดเกรียนแตกยกทัพบุก "คูเวต" โดยไม่ยอมฟังคำเตือนของมะริกันและสหประชาชาติ "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" จึงระเบิดขึ้น และในสงครามนี้เองมะริกันได้มีการนำเจ้า "หมูป่าเขี้ยวตัน" ไปร่วมรบกับเขาด้วยโดยกะไว้ว่าพอจบสมรภูมิก็อาจจะปลดประจำการไป และในการรบที่ทะเลทรายอันร้อนระอุนี่เองความสามารถของมันถูกโชว์ให้ปรากฏเมื่อหน่วยบินที่ใช้เจ้าหมูป่านั้นสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกระเทียมดอง ด้วยการไล่สอยรถถังอิรักอย่างสนุกสนานเพลิดเพลินจำเริญใจไปเกือบพันคันรวมถึงยานเกราะต่างๆอีกหลายพันคัน เรียกได้ว่าครั้งนี้เจ้าหมูป่าได้โชว์ฺฝีมือของมันอย่างคุ้มค่าตัวที่สุดทำให้กองทัพมะริกันตัดสินใจที่จะประจำการเจ้าหมูป่าไว้ต่อไปพร้อมปรังปรุงระบบอำนวยการรบต่างๆให้ทันสมัยยิ่งขึ้น และจากข่าวล่าสุดถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดกองทัพมะริกันได้เริ่มโครงการปรับปรุงเจ้าหมูป่าอีกครั้งโดยมีแผนจะยืดอายุการประจำการของมันไปจนถึงปี ค.ศ. 2040 เลยทีเดียวครับ
รูปของ "สุสานรถถัง" กลางทะเลทรายในประเทศคูเวต ซึ่งเต็มไปด้วยรถถังและยานเกราะของอิรักที่ถูกมะริกันและพันธมิตรทำลายลงในช่วงสงครามอ่าวฯครั้งแรก โดยปัจจุบันมีสุสานแบบนี้จำนวนมากกระจายตัวอยู่กลางทะเลทรายของอิรักและคูเวต เป็นเสมือนเครื่องเตือนใจให้รำลึกถึงความเกรียงไกรของกองทัพที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเยินยอให้มีความยิ่งใหญ่ติดอันดับต้นๆของโลก

(May the Spoil be with you)
ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน

ความคิดเห็นที่ 20
ข้อมูล M1 เมื่อเจอปืน 2A46 125 mm gun KE rounds
ข้อ 20 โดนยิง 3 ครั้ง

รายงานการซ่อมบำรุง

ประเด็นคือ
M1 โดยยิง 3ครั้ง ด้วยปืน 2A46 125 mm gun KE rounds เกิดความเสียหายไม่มาก
**ถ้า T72 ลดสเปค แล้วใช้ ปืนอะไรยิง อยากรู้ครับ
ปืน 2A46 125 mm มีความเกี่ยวข้องกับ KBA-3
คำถาม KBA-3 พัฒนามาจาก 2A46 มากแค่ไหน ในแง่ประสิทธิภาพ ผมยังหาข้อมูล armor penetration ของ KBA-3 ไม่ได้
แต่มีข้อมูล ปืน Al-Khalid ที่พัฒนามาจากKBA-3 ว่ายิง DU round (Naiza 125 mm DU round ) ได้ armor penetration: 550 mm in RHA at 2 km
ข้อสงสัยต่อมา คือ ปืน KBA-3 สามารถเจาะ เกราะ M1 เข้าหรือไม่ (940–960 mm (37–38 in) เมื่อเจอ kinetic energy penetrators)
จากคลิปการทดสอบเกราะ ของ Oplot ก่อนหน้านั้น ที่มีประเด็นมากมาย ผมไม่กล่าวถึงอีก แต่สงสัย ผู้ผลิต น่าจะมีการทดสอบจริง ที่ได้มาตรฐานจริงๆ เพราะ การทดสอบเล่นๆ ก็ทำแล้ว น่าจะมีการทดสอบจริง ด้วย
http://en.wikipedia.org/wiki/Al-Khalid_tank
http://en.wikipedia.org/wiki/2A46_125_mm_gun
http://en.wikipedia.org/wiki/M1_Abrams#cite_note-49
http://en.wikipedia.org/wiki/History_of_the_M1_Abrams
http://www.morozov.com.ua/eng/body/kba3.php
ข้อ 20 โดนยิง 3 ครั้ง

รายงานการซ่อมบำรุง

ประเด็นคือ
M1 โดยยิง 3ครั้ง ด้วยปืน 2A46 125 mm gun KE rounds เกิดความเสียหายไม่มาก
**ถ้า T72 ลดสเปค แล้วใช้ ปืนอะไรยิง อยากรู้ครับ
ปืน 2A46 125 mm มีความเกี่ยวข้องกับ KBA-3
คำถาม KBA-3 พัฒนามาจาก 2A46 มากแค่ไหน ในแง่ประสิทธิภาพ ผมยังหาข้อมูล armor penetration ของ KBA-3 ไม่ได้
แต่มีข้อมูล ปืน Al-Khalid ที่พัฒนามาจากKBA-3 ว่ายิง DU round (Naiza 125 mm DU round ) ได้ armor penetration: 550 mm in RHA at 2 km
ข้อสงสัยต่อมา คือ ปืน KBA-3 สามารถเจาะ เกราะ M1 เข้าหรือไม่ (940–960 mm (37–38 in) เมื่อเจอ kinetic energy penetrators)
จากคลิปการทดสอบเกราะ ของ Oplot ก่อนหน้านั้น ที่มีประเด็นมากมาย ผมไม่กล่าวถึงอีก แต่สงสัย ผู้ผลิต น่าจะมีการทดสอบจริง ที่ได้มาตรฐานจริงๆ เพราะ การทดสอบเล่นๆ ก็ทำแล้ว น่าจะมีการทดสอบจริง ด้วย
http://en.wikipedia.org/wiki/Al-Khalid_tank
http://en.wikipedia.org/wiki/2A46_125_mm_gun
http://en.wikipedia.org/wiki/M1_Abrams#cite_note-49
http://en.wikipedia.org/wiki/History_of_the_M1_Abrams
http://www.morozov.com.ua/eng/body/kba3.php
แสดงความคิดเห็น
รถถัง Oplot ที่ไทยซื้อมาเเจกยูเครนสารารถสู้กับ m1 Abrams ได้ป่าวครับ
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/b/b9/Abrams-transparent.png
เเต่ทำไมไทยไม่ซื้อ m1 abrams เหรอเพราะอะไร
ราคา ?