ที่มา: หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556
ชงออก "การ์ดคุมกำเนิด" วัยโจ๋พกติดตัว รูดปื๊ด หญิงรับฟรียาคุมฉุกเฉิน ชายรับถุงยางอนามัย เลียนแบบอังกฤษ ลดปัญหาท้องในวัยรุ่น นำร่องเด็กอาชีวะ ขอ สปสช. หนุนงบ 5 ล้านบาท
พญ.ภัทรวลัย ตลึงจิตร คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล (มม.) นำเสนอโครงร่างงานวิจัยการศึกษามาตรการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นสำหรับไทยว่า การป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นและการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ต้องให้ความรู้แก่เด็กและเยาวชน และเพิ่มการเข้าถึงบริการการคุมกำเนิดอย่างปลอดภัย ซึ่งควรทำเป็นแบบแพ็กเกจตามช่วงอายุ วัยรุ่นตอนต้น อายุ 10-13 ปี เน้นเรื่องการอย่ามีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร สอนทักษะการใช้ชีวิต และรู้จักการปฏิเสธ กลุ่มวัยรุ่นอายุ 15-19 ปี ที่มีข้อมูลว่า เด็กวัยนี้ครึ่งหนึ่งมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ต้องเน้นการให้ความรู้เรื่องการมีเพศสัมพันธ์อย่างไรให้ปลอดภัย รู้จักป้องกันตัวเองและมีการคุมกำเนิดอย่างถูกต้อง
"การเพิ่มการเข้าถึงบริการคุมกำเนิดแบบปลอดภัย อยากให้ทำการ์ดวัยรุ่น ประยุกต์มาจากประเทศอังกฤษที่ทำยูการ์ด (U-Card) ให้วัยรุ่นหญิงใช้ขอรับบริการยาคุมฉุกเฉินฟรี และซีการ์ด (C-Card) ให้วัยรุ่นชายอายุน้อยกว่า 24 ปีขอรับบริการถุงยางอนามัยฟรี ซึ่งเห็นผลชัดเจนว่า ช่วยลดการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น โดยไทยจะทำเป็นการ์ดใบเดียวให้วัยรุ่นนำไปขอรับบริการตามสถานที่ต่างๆ เช่น ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา ด้ายการสแกนบาร์โคดบนการ์ดเพื่อส่งข้อมูลกลับไปยังฐานข้อมูล จะทำให้ทราบว่ามีเด็กขอใช้บริการกี่ราย และจ่ายอุปกรณ์คุมกำเนิดไปจำนวนเท่าไร" พญ.ภัทรวลัย กล่าว
พญ.ภัทรวลัย กล่าวต่อว่า หากไทยเดินหน้าตามโครงร่างนี้ จะนำร่องในกลุ่มเด็กอาชีวะ เพราะมีปัญหาเรื่องการตั้งครรภ์สูงมาก ขณะเดียวกัน เป็นสถานศึกษาที่เปิดกว้าง เมื่อนักเรียนคลอด กลับมาเรียนต่อได้ โดยคณะผู้วิจัยจะเข้าไปดำเนินการอบรมให้แก่นักเรียนก่อน จะให้นักเรียนมาขอรับการ์ดตามความสมัครใจ ซึ่งต้องกรอกแบบสอบถามเพื่อดูว่ามีความเข้าใจที่ถูกต้องหรือไม่ และให้กรอกที่อยู่ที่สะดวกในการจัดส่ง เพราะเด็กบางรายอาจไม่ต้องการให้ที่บ้านรับรู้ หรือบางรายอาจลงทะเบียนขอรับการ์ดผ่านอินเทอร์เน็ต มีการกรอกแบบสอบถามและที่อยู่เช่นกัน โครงร่างนี้จะใช้เวลา 2 ปี งบประมาณสูงสุดอยู่ที่ 5 ล้านบาท เพื่อเก็บข้อมูลและติดตามผลว่าช่วยลดปัญหาได้หรือไม่ อยากให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เข้ามาสนับสนุน
"คาดว่าอาจจะมีแรงต้านจากสังคมพอสมควร เพราะเหมือนเป็นการส่งเสริมการมีเพศสัมพันธ์แบบเสรี แต่ก็ควรต้องเดินหน้า เพื่อให้ไทยได้ข้อมูลการคุมกำเนิด สามารถวัดผลได้ว่าการท้องในวัยรุ่นและการทำแท้งลดลงหรือไม่ หากดำเนินการแล้วพบว่าไม่สามารถแก้ปัญหาในบริบทของไทยได้เหมือนในประเทศอังกฤษ จึงจะหามาตรการอื่น ดีกว่าไม่ได้ดำเนินการอะไรเพื่อแก้ปัญหา" พญ.ภัทรวลัย กล่าว
'การ์ดคุมกำเนิด' วัยโจ๋พกติดตัว รูดปื๊ด ชายรับถุงยาง หญิงรับฟรียาคุม นำร่องเด็กอาชีวะ
ชงออก "การ์ดคุมกำเนิด" วัยโจ๋พกติดตัว รูดปื๊ด หญิงรับฟรียาคุมฉุกเฉิน ชายรับถุงยางอนามัย เลียนแบบอังกฤษ ลดปัญหาท้องในวัยรุ่น นำร่องเด็กอาชีวะ ขอ สปสช. หนุนงบ 5 ล้านบาท
พญ.ภัทรวลัย ตลึงจิตร คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล (มม.) นำเสนอโครงร่างงานวิจัยการศึกษามาตรการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นสำหรับไทยว่า การป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นและการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ต้องให้ความรู้แก่เด็กและเยาวชน และเพิ่มการเข้าถึงบริการการคุมกำเนิดอย่างปลอดภัย ซึ่งควรทำเป็นแบบแพ็กเกจตามช่วงอายุ วัยรุ่นตอนต้น อายุ 10-13 ปี เน้นเรื่องการอย่ามีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร สอนทักษะการใช้ชีวิต และรู้จักการปฏิเสธ กลุ่มวัยรุ่นอายุ 15-19 ปี ที่มีข้อมูลว่า เด็กวัยนี้ครึ่งหนึ่งมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ต้องเน้นการให้ความรู้เรื่องการมีเพศสัมพันธ์อย่างไรให้ปลอดภัย รู้จักป้องกันตัวเองและมีการคุมกำเนิดอย่างถูกต้อง
"การเพิ่มการเข้าถึงบริการคุมกำเนิดแบบปลอดภัย อยากให้ทำการ์ดวัยรุ่น ประยุกต์มาจากประเทศอังกฤษที่ทำยูการ์ด (U-Card) ให้วัยรุ่นหญิงใช้ขอรับบริการยาคุมฉุกเฉินฟรี และซีการ์ด (C-Card) ให้วัยรุ่นชายอายุน้อยกว่า 24 ปีขอรับบริการถุงยางอนามัยฟรี ซึ่งเห็นผลชัดเจนว่า ช่วยลดการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น โดยไทยจะทำเป็นการ์ดใบเดียวให้วัยรุ่นนำไปขอรับบริการตามสถานที่ต่างๆ เช่น ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา ด้ายการสแกนบาร์โคดบนการ์ดเพื่อส่งข้อมูลกลับไปยังฐานข้อมูล จะทำให้ทราบว่ามีเด็กขอใช้บริการกี่ราย และจ่ายอุปกรณ์คุมกำเนิดไปจำนวนเท่าไร" พญ.ภัทรวลัย กล่าว
พญ.ภัทรวลัย กล่าวต่อว่า หากไทยเดินหน้าตามโครงร่างนี้ จะนำร่องในกลุ่มเด็กอาชีวะ เพราะมีปัญหาเรื่องการตั้งครรภ์สูงมาก ขณะเดียวกัน เป็นสถานศึกษาที่เปิดกว้าง เมื่อนักเรียนคลอด กลับมาเรียนต่อได้ โดยคณะผู้วิจัยจะเข้าไปดำเนินการอบรมให้แก่นักเรียนก่อน จะให้นักเรียนมาขอรับการ์ดตามความสมัครใจ ซึ่งต้องกรอกแบบสอบถามเพื่อดูว่ามีความเข้าใจที่ถูกต้องหรือไม่ และให้กรอกที่อยู่ที่สะดวกในการจัดส่ง เพราะเด็กบางรายอาจไม่ต้องการให้ที่บ้านรับรู้ หรือบางรายอาจลงทะเบียนขอรับการ์ดผ่านอินเทอร์เน็ต มีการกรอกแบบสอบถามและที่อยู่เช่นกัน โครงร่างนี้จะใช้เวลา 2 ปี งบประมาณสูงสุดอยู่ที่ 5 ล้านบาท เพื่อเก็บข้อมูลและติดตามผลว่าช่วยลดปัญหาได้หรือไม่ อยากให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เข้ามาสนับสนุน
"คาดว่าอาจจะมีแรงต้านจากสังคมพอสมควร เพราะเหมือนเป็นการส่งเสริมการมีเพศสัมพันธ์แบบเสรี แต่ก็ควรต้องเดินหน้า เพื่อให้ไทยได้ข้อมูลการคุมกำเนิด สามารถวัดผลได้ว่าการท้องในวัยรุ่นและการทำแท้งลดลงหรือไม่ หากดำเนินการแล้วพบว่าไม่สามารถแก้ปัญหาในบริบทของไทยได้เหมือนในประเทศอังกฤษ จึงจะหามาตรการอื่น ดีกว่าไม่ได้ดำเนินการอะไรเพื่อแก้ปัญหา" พญ.ภัทรวลัย กล่าว