ประวัติความเป็นมาของอาคารเก่าแก่หลังนี้
เกิดควบคู่มาพร้อมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครในปัจจุบันก็ว่าได้
สถาบันแห่งนี้ได้รับการสถาปนาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สถาบันขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๓๕ ในนาม “โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์” สังกัดกรมศึกษาธิการ กระทรวงธรรมการ บทบาทและหน้าที่ของโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ในครั้งนั้นเป็นการผลิตครูเพื่อรองรับการขยายตัวของระบบราชการแบบใหม่ โดยตั้งอยู่ในบริเวณโรงเลี้ยงเด็กตำบลสวนมะลิ ถนนบำรุงเมือง และเปิดทำการสอนเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๓๕ โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์มีภารกิจในการฝึกหัดครูเพื่อรองรับระบบการศึกษาตามแนวอารยะธรรมตะวันตก นับเป็นโรงเรียนฝึกหัดครูแห่งแรกของประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๔๙ โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์เทพศิรินทร์ได้ย้ายไปรวมกับโรงเรียนฝึกหัดครูฝั่งตะวันตกและยังคงสังกัดกระทรวงธรรมการ แต่เปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ฝั่งตะวันตก” ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๖ โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ได้รวมเข้าเป็นแผนกคุรุศึกษาและยังคงอยู่ในสังกัดกระทรวงธรรมการ
พ.ศ. ๒๔๕๘ โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ ได้ย้ายนักเรียนที่วังใหม่ตำบลปทุมวัน (กรีฑาสถานแห่งชาติในปัจจุบัน) ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ ณ วังใหม่ ตำบลปทุมวัน จึงเป็นแผนกคุรุศึกษาของจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยและในปี พ.ศ. ๒๔๖๐ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนากรมมหาวิทยาลัยขึ้น แล้วรวมโรงเรียนข้าราชการพลเรือนทุกแผนกมาขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัย กระทรวงธรรมการจึงย้ายโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ไปสังกัดกรมศึกษาธิการแผนกวิชาสามัญศึกษา
พ.ศ. ๒๔๖๑ โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนฝึกหัดครู”
พ.ศ. ๒๔๖๑ โรงเรียนฝึกหัดครูได้ย้ายไปทำการสอนรวมกับโรงเรียนมัธยมและแยกการฝึกหัดครูออกเป็น ๓ หลักสูตร กล่าวคือ หลักสูตรประกาศนียบัตรครูประถม (ป.ป.) และหลักสูตรประกาศนียบัตรครูมูล และสอนรวมอยู่กับมัธยมวัด- บวรนิเวศ ส่วนหลักสูตรมัธยมส่งไปเรียนสมทบกับโรงเรียนสวนกูหลลาบวิทยาลัย โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์และโรงเรียนมัธยมวัดปทุมคงคา
พ.ศ. ๒๔๗๕ โรงเรียนฝึกหัดครูวัดบวรนิเวศย้ายไปตั้งที่พระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม เรียกว่า “โรงเรียนฝึกหัดครูประถม พระราชวังสนามจันทร์” ภายในบริเวณพระราชวังสนามจันทร์มีศาลพระพิฆเนศวร์มาเป็นตราและสัญลักษณ์ของโรงเรียน
พ.ศ. ๒๔๗๗ โรงเรียนฝึกหัดครูประถม พระราชวังสนามจันทร์ได้ย้ายจากพระราชวังสนามจันทร์มาตั้งที่กองพันทหารราบที่ ๖ ถนนศรีอยุธยาหลังวังปารุสกวัน (ปัจจุบันคือ กองพลที่ ๑ รักษาพรระองค์) เรียกว่า “โรงเรียนฝึกหัดครูประถมพระนคร"
พ.ศ. ๒๔๘๕ โรงเรียนฝึกหัดครูประถมพระนคร ได้ถูกเบียดที่ตั้งอีกครั้งหนึ่ง โดยกระทรวงอุตสาหกรรม โรงเรียนจึงถูกย้ายจากสถานที่ตั้งเดิมถนนศรีอยุธยามาอยู่ที่วังจันทร์เกษม ถนนประชาธิปไตยและช่วงปี พ.ศ. ๒๔๘๖ ซึ่งสงครามมหาเอเชียบูรพากำลังรุนแรง กระทรวงศึกษาธิการจึงได้สั่งย้ายโรงเรียนฝึกหักครูประถมพระนครไปเปิดเรียนที่อาศัยชั่วคราวจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อหลบภัยสงครามทางอากาศและหลังจากภัยสงครามผ่านพ้นไปแล้ว โรงเรียนก็กลับมาทำการสอน ณ วังจันทร์เกษมดังเดิม และในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ได้เปลี่ยนชื่อจาก “โรงเรียนฝึกหัดครูประถมพระนคร” เป็น “โรงเรียนฝึกหัดครูพระนคร”
ภาพทุ่งบางเขนในอดีตเมื่อ 60 ปีที่แล้ว ที่แห่งนี้ได้ถูกใช้เป็นที่ก่อสร้าง “โรงเรียนฝึกหัดครูพระนคร” ขึ้น
จนกระทั้งปีพ.ศ. ๒๔๙๙ กระทรวงศึกษาธิการได้ย้ายโรงเรียนฝึกหัดครูพระนครมาอยู่ ณ เลขที่ ๓ หมู่ที่ ๖ ตำบลอนุสาวรีย์ อำเภอบางเขน จังหวัดพระนคร อาจจะพูดได้ว่า สถาบันแห่งนี้ได้ทำการย้ายที่อยู่มาอย่างต่อเนื่อง และ ณ ทุ่งบางเขนนี้เองที่ทำให้เราได้ยั้งรากลึก เติบโตขึ้น จาก “โรงเรียนฝึกหัดครูพระนคร” จนปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร อาคารเก่าแก่หลังนี้ยังคงตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัย ทามกลางความเจริญเติบโตของยุคสมัย รายล้อมด้วยตึกรูปทรงสมัยใหม่ ที่ถูกสร้างขึ้นภายหลัง....
ลักษณะสถาปัตยกรรมของอาคาร 5 และอาคาร 6
ภาพถ่ายนักศึกษาและอาจารย์ หน้าอาคาร 6
ภาพอาคารในปัจจุบัน
การคัดค้านการทุบทำลายอาคารดังกล่าวเกิดขึ้นจากกลุ่มนักศึกษาศิลปกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน รวมไปถึงกลุ่มบุคคลทั่วไปส่วนหนึ่งที่เล็งเห็นความสำคัญของสถาปัตยกรรมในอดีต
ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากทางมหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร จัดตั้งงบประมาณเพื่อก่อสร้างอาคารเรียนขึ้นภายในมหาวิทยาลัย โดยมีนโยบายรื้อถอนตำแหน่งที่ตั้งอาคาร 6 (อาคารในภาพด้านบน) อาคารที่มีอายุเก่าแก่ กว่าครึ่งศตวรรษ และยังเป็นหนึ่งในอาคารเก่า 3 หลัง ที่เปรียบเสมือน “รากเหง้า” ของมหาวิทยาลัย เป็นกลุ่มอาคารที่สร้างขึ้นเป็นหลังแรกๆ ก่อนที่มหาวิทยาลัย (“โรงเรียนฝึกหัดครูพระนคร”ในครั้งนั้น) จะย้ายที่ทำการมาจาก วังจันทร์เกษม ในวันที่ 1 มิถุนายน 2499 จากการสืบค้นประวัติของอาคาร 6 (หอพัก 2 ในอดีต) ได้ใจความว่า หลังจากแล้วเสร็จจากการก่อสร้างอาคารหอพัก 1 (อาคาร 5) ในปี 2496 ในปี พ.ศ.2497 (ยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม) รัฐบาลได้จัดงบประมาณในการก่อสร้างอาคารหอพัก2 (อาคาร6) ดังนั้นรูปทรงและโครงสร้างของตัวอาคารทั้งสองจึงมีความคล้ายคลึงกัน เปรียบเสมือนอาคารพี่ อาคารน้อง ส่วนความเป็นเอกลักษณ์ อีกประการหนึ่ง ก็คือ “ทางเดินเชื่อมระหว่างตัวอาคาร” ที่โดดเด่นเป็นสง่า อาคารสองหลังนี้ อยู่คู่กันมานาน ด้วยรูปทรงที่มีความเป็นเอกลักษณ์ท้องถิ่น ซึ่งนั่นหมายถึงอีกหนึ่งนโยบายในการออกแบบการก่อสร้าง อาคารบ้านเรือน หรือสถานที่ราชการในสมัยนั้น กล่าวคือ เน้นเอกลักษณ์ของชาติ จึงปรากฏงานสถาปัตยกรรมทางราชการ เป็นแบบไทยประยุกต์อย่างง่ายๆ
ทางเดินเชื่อมระหว่างอาคาร
และด้วยโครงสร้างของอาคาร 5 และ อาคาร 6 ด้านล่างเป็นปูนยกพื้นสูงจากพื้นดิน เพื่อให้มีทางระบายน้ำด้านล่าง ปูพื้นด้วยไม้สักอย่างดี ซึ่งเป็นไม้ที่ปลวกไม่สามารถทำลายกัดกินได้ จึงเห็นได้ว่าในการออกแบบของสถาปนิกในสมัยนั้นคำนึงถึงความมั่นคงของตัวอาคารเผื่อต่อไปในอนาคต ทางคณะทำงานศิษย์เก่าศิลปกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร ล้วนมีเจตนาและความคิดเห็นตรงกันว่า ควรอนุรักษ์ อาคารทั้งสองหลังให้ดำรงอยู่คู่สถาบันแห่งนี้ เพื่อเชื่อมโยงเรื่องราวจากอดีตสู่ปัจจุบัน อาคารทั้งสองหลังนี้มีมาก่อนการก่อตั้งมหาวิทยาลัย เพราะไม่มีการระบุ ปี พ.ศ.ที่สร้าง มีเพียงแค่การกล่าวถึง ว่าเคยเป็นอาคารนอนเก่า แต่เดิมเมื่อครั้งโรงเรียนฝึกหัดครู ย้ายมาจากวังจันทร์เกษมเมื่อปี พ.ศ. 2499 ได้ใช้อาคารสองหลังนี้เป็นอาคารนอน และอาศัยพื้นที่โรงเรียนวัดพระศรีเพื่อทำการเรียนการสอน เพราะในตอนนั้นยังไม่มีอาคารทำการเรียนการสอนเป็นของตนเอง จึงสรุปได้ว่าอาคารทั้ง 2 หลังนี้ เป็นอาคารที่เกิดขึ้นในสมัยแรกๆ ช่วงการก่อตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูพระนคร จนเมื่อปี พ.ศ. 2500 จึงได้มีการสร้างอาคารเรียน (อาคาร 3) ขึ้นมารองรับนักเรียนของตนเอง
ภาพถ่ายมุมสูงมหาวิทยาลัยครูพระนคร
ภาพภายในของอาคาร 6 ในปัจจุบัน
อาจจะกล่าวได้ว่าอาคารนอนสองหลังของโรงเรียนฝึกหัดครูพระนคร เป็นอาคารนอนที่ทันสมัยที่สุด และเข้าใจว่ายังไม่มีอาคารนอนโรงเรียนฝึกหัดครูหรือวิทยาลัยครูแห่งใดสู้ได้ในสมัยนั้น ตามที่ อาจารย์น้อย ป้อสีได้กล่าวเอาไว้ในหนังสือ “ราชภัฎพระนครย้อนอดีต สู่ อนาคต”
ดังนั้นการคงอยู่ของอาคารเรียนสองหลังนี้ จะเพิ่มคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และเชื่อมโยงเรื่องราวในอดีตของมหาลัยราชภัฎพระนครได้เป็นอย่างดี ทำให้เรารำลึกนึกถึงความยากลำบากของครูอาจารย์ในสมัยก่อน ที่ต้องอยู่ด้วยความอดทนเป็นอย่างยิ่ง ใช้ชีวิตกินนอนกับนักศึกษาที่อาคารเรียน ที่ถูกสร้างขึ้นหลังจากสงครามกลางเมือง และเมื่อสงครามสงบ บริเวณท้องทุ่งบางเขนแห่งนี้ ได้มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์หลักสี่ (อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ) ต่อมาจึงสร้างวัดพระศรีมหาธาตุฯ (หรือวัดประชาธิปไตย ในสมัยนั้น) แล้วจึงก่อตั้งโรงเรียนสาธิตวัดพระศรีฯ หลังจากนั้นจึงเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร (โรงเรียนฝึกหัดครูพระนคร) ตามลำดับเหตุการณ์ ในอดีตมีวิทยาลัยครูเกิดขึ้นหลายแห่ง ในปี พ.ศ. 2494 ในประวัติของโรงเรียนศรีอยุธยากล่าวว่า “เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๔ กระทรวงศึกษาธิการมีโครงการสร้างโรงเรียนฝึกหัดครูอีกแห่งหนึ่งที่อำเภอบางเขน ปัจจุบัน คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร” ซึ่งตรงกับคำบอกเล่าของท่านอาจารย์เก่าแก่ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว ได้เล่าถึงประวัติของอาคารทั้งสองหลังนี้ สร้างขึ้นประมาณ ปี พ.ศ. 2494 เดิมสร้างเป็นอาคารหอพัก ต่อมาในปี 2496 จึงก่อสร้างอาคารเรียนโรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ (อาคารเรียน 1 หรือเรียกกันว่า ”ตึกเก่า” ) พร้อมทั้งสร้างโรงครัว, โรงอาหาร เพื่อรองรับการย้ายมาของคณะครูและนักเรียน โรงเรียนฝึกหัดครูพระนครในปั้น อาคารสองหลังดังกล่าว จึงใช้เป็นหอนอน ให้กับครูและนักเรียนที่เพิ่งย้ายมาจากวังจันทร์เกษม ตอนนั้นยังไม่มีการสร้างอาคารเรียน นับตั้งแต่ “โรงเรียนฝึกหัดครูพระนคร” ย้ายมาก่อตั้งในท้องทุ่งบางเขน ในวันที่ 1มิถุนายน พ.ศ. 2499
หลายต่อหลายรุ่นใช้อาคารหลังนี้สะสมความรู้
จากอดีตจนถึงปัจจุบันคืออาคารเรียนหลังนี้ใช้เพื่อทำการเรียนการสอนของเอกศิลปกรรม สาขาออกแบบนิเทศศิลป์ จากโปรแกรมวิชาครุศิลป์ จนเป็นศิลปกรรมออกแบบนิเทศศิลป์ ในปัจจุบัน เมื่ออดีตอาคารหลังนี้เปรียบเหมือนบ้านของนักเรียนที่ใช้อาคารหลังนี้เพื่อประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ เพื่อนำไปพัฒนาตนเอง พัฒนาผู้อื่น และพัฒนาประเทศชาติหลายต่อหลายรุ่น
ด้วยปี พ.ศ. และเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นช่วงสมัยสถาปัตยกรรมในยุคของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทางคณะทำงานจึงนำรูปทรงของอาคาร 6 มาเปรียบเทียบให้สื่อถึงความเรียบง่ายของ ตึกทรงไทยประยุกต์ในสมัยนั้น (เปรียบเทียบจากรูปด้านล่างรูปด้านซ้ายมือคือบ้านของท่านจอมพล ป. ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ จ.เชียงราย ส่วนรูปด้านขวาคืออาคาร6 ซึ่งเคยใช้เป็นเรือนนอนของนักศึกษาในช่วงก่อตั้งวิทยาลัยครูในอดีต และยังคงใช้ประโยชน์จากตัวอาคารดำเนินการเรียนการสอนจนกระทั่งทุกวันนี้)
บ้านของท่านจอมพล ป. ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ จ.เชียงราย ส่วนรูปด้านขวาคืออาคาร6
บ้านของท่านจอมพล ป. ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ จ.เชียงราย ส่วนรูปด้านขวาคืออาคาร6
อาคารเก่าแก่ที่เป็นเสมือน ประวัติของ ม.ราชภัฏพระนคร กำลังจะถูกทุบทิ้ง
ประวัติความเป็นมาของอาคารเก่าแก่หลังนี้
เกิดควบคู่มาพร้อมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครในปัจจุบันก็ว่าได้
สถาบันแห่งนี้ได้รับการสถาปนาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สถาบันขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๓๕ ในนาม “โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์” สังกัดกรมศึกษาธิการ กระทรวงธรรมการ บทบาทและหน้าที่ของโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ในครั้งนั้นเป็นการผลิตครูเพื่อรองรับการขยายตัวของระบบราชการแบบใหม่ โดยตั้งอยู่ในบริเวณโรงเลี้ยงเด็กตำบลสวนมะลิ ถนนบำรุงเมือง และเปิดทำการสอนเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๓๕ โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์มีภารกิจในการฝึกหัดครูเพื่อรองรับระบบการศึกษาตามแนวอารยะธรรมตะวันตก นับเป็นโรงเรียนฝึกหัดครูแห่งแรกของประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๔๙ โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์เทพศิรินทร์ได้ย้ายไปรวมกับโรงเรียนฝึกหัดครูฝั่งตะวันตกและยังคงสังกัดกระทรวงธรรมการ แต่เปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ฝั่งตะวันตก” ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๖ โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ได้รวมเข้าเป็นแผนกคุรุศึกษาและยังคงอยู่ในสังกัดกระทรวงธรรมการ
พ.ศ. ๒๔๕๘ โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ ได้ย้ายนักเรียนที่วังใหม่ตำบลปทุมวัน (กรีฑาสถานแห่งชาติในปัจจุบัน) ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ ณ วังใหม่ ตำบลปทุมวัน จึงเป็นแผนกคุรุศึกษาของจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยและในปี พ.ศ. ๒๔๖๐ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนากรมมหาวิทยาลัยขึ้น แล้วรวมโรงเรียนข้าราชการพลเรือนทุกแผนกมาขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัย กระทรวงธรรมการจึงย้ายโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ไปสังกัดกรมศึกษาธิการแผนกวิชาสามัญศึกษา
พ.ศ. ๒๔๖๑ โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนฝึกหัดครู”
พ.ศ. ๒๔๖๑ โรงเรียนฝึกหัดครูได้ย้ายไปทำการสอนรวมกับโรงเรียนมัธยมและแยกการฝึกหัดครูออกเป็น ๓ หลักสูตร กล่าวคือ หลักสูตรประกาศนียบัตรครูประถม (ป.ป.) และหลักสูตรประกาศนียบัตรครูมูล และสอนรวมอยู่กับมัธยมวัด- บวรนิเวศ ส่วนหลักสูตรมัธยมส่งไปเรียนสมทบกับโรงเรียนสวนกูหลลาบวิทยาลัย โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์และโรงเรียนมัธยมวัดปทุมคงคา
พ.ศ. ๒๔๗๕ โรงเรียนฝึกหัดครูวัดบวรนิเวศย้ายไปตั้งที่พระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม เรียกว่า “โรงเรียนฝึกหัดครูประถม พระราชวังสนามจันทร์” ภายในบริเวณพระราชวังสนามจันทร์มีศาลพระพิฆเนศวร์มาเป็นตราและสัญลักษณ์ของโรงเรียน
พ.ศ. ๒๔๗๗ โรงเรียนฝึกหัดครูประถม พระราชวังสนามจันทร์ได้ย้ายจากพระราชวังสนามจันทร์มาตั้งที่กองพันทหารราบที่ ๖ ถนนศรีอยุธยาหลังวังปารุสกวัน (ปัจจุบันคือ กองพลที่ ๑ รักษาพรระองค์) เรียกว่า “โรงเรียนฝึกหัดครูประถมพระนคร"
พ.ศ. ๒๔๘๕ โรงเรียนฝึกหัดครูประถมพระนคร ได้ถูกเบียดที่ตั้งอีกครั้งหนึ่ง โดยกระทรวงอุตสาหกรรม โรงเรียนจึงถูกย้ายจากสถานที่ตั้งเดิมถนนศรีอยุธยามาอยู่ที่วังจันทร์เกษม ถนนประชาธิปไตยและช่วงปี พ.ศ. ๒๔๘๖ ซึ่งสงครามมหาเอเชียบูรพากำลังรุนแรง กระทรวงศึกษาธิการจึงได้สั่งย้ายโรงเรียนฝึกหักครูประถมพระนครไปเปิดเรียนที่อาศัยชั่วคราวจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อหลบภัยสงครามทางอากาศและหลังจากภัยสงครามผ่านพ้นไปแล้ว โรงเรียนก็กลับมาทำการสอน ณ วังจันทร์เกษมดังเดิม และในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ได้เปลี่ยนชื่อจาก “โรงเรียนฝึกหัดครูประถมพระนคร” เป็น “โรงเรียนฝึกหัดครูพระนคร”
จนกระทั้งปีพ.ศ. ๒๔๙๙ กระทรวงศึกษาธิการได้ย้ายโรงเรียนฝึกหัดครูพระนครมาอยู่ ณ เลขที่ ๓ หมู่ที่ ๖ ตำบลอนุสาวรีย์ อำเภอบางเขน จังหวัดพระนคร อาจจะพูดได้ว่า สถาบันแห่งนี้ได้ทำการย้ายที่อยู่มาอย่างต่อเนื่อง และ ณ ทุ่งบางเขนนี้เองที่ทำให้เราได้ยั้งรากลึก เติบโตขึ้น จาก “โรงเรียนฝึกหัดครูพระนคร” จนปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร อาคารเก่าแก่หลังนี้ยังคงตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัย ทามกลางความเจริญเติบโตของยุคสมัย รายล้อมด้วยตึกรูปทรงสมัยใหม่ ที่ถูกสร้างขึ้นภายหลัง....
ลักษณะสถาปัตยกรรมของอาคาร 5 และอาคาร 6
ภาพถ่ายนักศึกษาและอาจารย์ หน้าอาคาร 6
ภาพอาคารในปัจจุบัน
การคัดค้านการทุบทำลายอาคารดังกล่าวเกิดขึ้นจากกลุ่มนักศึกษาศิลปกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน รวมไปถึงกลุ่มบุคคลทั่วไปส่วนหนึ่งที่เล็งเห็นความสำคัญของสถาปัตยกรรมในอดีต ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากทางมหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร จัดตั้งงบประมาณเพื่อก่อสร้างอาคารเรียนขึ้นภายในมหาวิทยาลัย โดยมีนโยบายรื้อถอนตำแหน่งที่ตั้งอาคาร 6 (อาคารในภาพด้านบน) อาคารที่มีอายุเก่าแก่ กว่าครึ่งศตวรรษ และยังเป็นหนึ่งในอาคารเก่า 3 หลัง ที่เปรียบเสมือน “รากเหง้า” ของมหาวิทยาลัย เป็นกลุ่มอาคารที่สร้างขึ้นเป็นหลังแรกๆ ก่อนที่มหาวิทยาลัย (“โรงเรียนฝึกหัดครูพระนคร”ในครั้งนั้น) จะย้ายที่ทำการมาจาก วังจันทร์เกษม ในวันที่ 1 มิถุนายน 2499 จากการสืบค้นประวัติของอาคาร 6 (หอพัก 2 ในอดีต) ได้ใจความว่า หลังจากแล้วเสร็จจากการก่อสร้างอาคารหอพัก 1 (อาคาร 5) ในปี 2496 ในปี พ.ศ.2497 (ยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม) รัฐบาลได้จัดงบประมาณในการก่อสร้างอาคารหอพัก2 (อาคาร6) ดังนั้นรูปทรงและโครงสร้างของตัวอาคารทั้งสองจึงมีความคล้ายคลึงกัน เปรียบเสมือนอาคารพี่ อาคารน้อง ส่วนความเป็นเอกลักษณ์ อีกประการหนึ่ง ก็คือ “ทางเดินเชื่อมระหว่างตัวอาคาร” ที่โดดเด่นเป็นสง่า อาคารสองหลังนี้ อยู่คู่กันมานาน ด้วยรูปทรงที่มีความเป็นเอกลักษณ์ท้องถิ่น ซึ่งนั่นหมายถึงอีกหนึ่งนโยบายในการออกแบบการก่อสร้าง อาคารบ้านเรือน หรือสถานที่ราชการในสมัยนั้น กล่าวคือ เน้นเอกลักษณ์ของชาติ จึงปรากฏงานสถาปัตยกรรมทางราชการ เป็นแบบไทยประยุกต์อย่างง่ายๆ
และด้วยโครงสร้างของอาคาร 5 และ อาคาร 6 ด้านล่างเป็นปูนยกพื้นสูงจากพื้นดิน เพื่อให้มีทางระบายน้ำด้านล่าง ปูพื้นด้วยไม้สักอย่างดี ซึ่งเป็นไม้ที่ปลวกไม่สามารถทำลายกัดกินได้ จึงเห็นได้ว่าในการออกแบบของสถาปนิกในสมัยนั้นคำนึงถึงความมั่นคงของตัวอาคารเผื่อต่อไปในอนาคต ทางคณะทำงานศิษย์เก่าศิลปกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร ล้วนมีเจตนาและความคิดเห็นตรงกันว่า ควรอนุรักษ์ อาคารทั้งสองหลังให้ดำรงอยู่คู่สถาบันแห่งนี้ เพื่อเชื่อมโยงเรื่องราวจากอดีตสู่ปัจจุบัน อาคารทั้งสองหลังนี้มีมาก่อนการก่อตั้งมหาวิทยาลัย เพราะไม่มีการระบุ ปี พ.ศ.ที่สร้าง มีเพียงแค่การกล่าวถึง ว่าเคยเป็นอาคารนอนเก่า แต่เดิมเมื่อครั้งโรงเรียนฝึกหัดครู ย้ายมาจากวังจันทร์เกษมเมื่อปี พ.ศ. 2499 ได้ใช้อาคารสองหลังนี้เป็นอาคารนอน และอาศัยพื้นที่โรงเรียนวัดพระศรีเพื่อทำการเรียนการสอน เพราะในตอนนั้นยังไม่มีอาคารทำการเรียนการสอนเป็นของตนเอง จึงสรุปได้ว่าอาคารทั้ง 2 หลังนี้ เป็นอาคารที่เกิดขึ้นในสมัยแรกๆ ช่วงการก่อตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูพระนคร จนเมื่อปี พ.ศ. 2500 จึงได้มีการสร้างอาคารเรียน (อาคาร 3) ขึ้นมารองรับนักเรียนของตนเอง
ภาพถ่ายมุมสูงมหาวิทยาลัยครูพระนคร
ภาพภายในของอาคาร 6 ในปัจจุบัน
อาจจะกล่าวได้ว่าอาคารนอนสองหลังของโรงเรียนฝึกหัดครูพระนคร เป็นอาคารนอนที่ทันสมัยที่สุด และเข้าใจว่ายังไม่มีอาคารนอนโรงเรียนฝึกหัดครูหรือวิทยาลัยครูแห่งใดสู้ได้ในสมัยนั้น ตามที่ อาจารย์น้อย ป้อสีได้กล่าวเอาไว้ในหนังสือ “ราชภัฎพระนครย้อนอดีต สู่ อนาคต”
ดังนั้นการคงอยู่ของอาคารเรียนสองหลังนี้ จะเพิ่มคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และเชื่อมโยงเรื่องราวในอดีตของมหาลัยราชภัฎพระนครได้เป็นอย่างดี ทำให้เรารำลึกนึกถึงความยากลำบากของครูอาจารย์ในสมัยก่อน ที่ต้องอยู่ด้วยความอดทนเป็นอย่างยิ่ง ใช้ชีวิตกินนอนกับนักศึกษาที่อาคารเรียน ที่ถูกสร้างขึ้นหลังจากสงครามกลางเมือง และเมื่อสงครามสงบ บริเวณท้องทุ่งบางเขนแห่งนี้ ได้มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์หลักสี่ (อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ) ต่อมาจึงสร้างวัดพระศรีมหาธาตุฯ (หรือวัดประชาธิปไตย ในสมัยนั้น) แล้วจึงก่อตั้งโรงเรียนสาธิตวัดพระศรีฯ หลังจากนั้นจึงเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร (โรงเรียนฝึกหัดครูพระนคร) ตามลำดับเหตุการณ์ ในอดีตมีวิทยาลัยครูเกิดขึ้นหลายแห่ง ในปี พ.ศ. 2494 ในประวัติของโรงเรียนศรีอยุธยากล่าวว่า “เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๔ กระทรวงศึกษาธิการมีโครงการสร้างโรงเรียนฝึกหัดครูอีกแห่งหนึ่งที่อำเภอบางเขน ปัจจุบัน คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร” ซึ่งตรงกับคำบอกเล่าของท่านอาจารย์เก่าแก่ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว ได้เล่าถึงประวัติของอาคารทั้งสองหลังนี้ สร้างขึ้นประมาณ ปี พ.ศ. 2494 เดิมสร้างเป็นอาคารหอพัก ต่อมาในปี 2496 จึงก่อสร้างอาคารเรียนโรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ (อาคารเรียน 1 หรือเรียกกันว่า ”ตึกเก่า” ) พร้อมทั้งสร้างโรงครัว, โรงอาหาร เพื่อรองรับการย้ายมาของคณะครูและนักเรียน โรงเรียนฝึกหัดครูพระนครในปั้น อาคารสองหลังดังกล่าว จึงใช้เป็นหอนอน ให้กับครูและนักเรียนที่เพิ่งย้ายมาจากวังจันทร์เกษม ตอนนั้นยังไม่มีการสร้างอาคารเรียน นับตั้งแต่ “โรงเรียนฝึกหัดครูพระนคร” ย้ายมาก่อตั้งในท้องทุ่งบางเขน ในวันที่ 1มิถุนายน พ.ศ. 2499
หลายต่อหลายรุ่นใช้อาคารหลังนี้สะสมความรู้
จากอดีตจนถึงปัจจุบันคืออาคารเรียนหลังนี้ใช้เพื่อทำการเรียนการสอนของเอกศิลปกรรม สาขาออกแบบนิเทศศิลป์ จากโปรแกรมวิชาครุศิลป์ จนเป็นศิลปกรรมออกแบบนิเทศศิลป์ ในปัจจุบัน เมื่ออดีตอาคารหลังนี้เปรียบเหมือนบ้านของนักเรียนที่ใช้อาคารหลังนี้เพื่อประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ เพื่อนำไปพัฒนาตนเอง พัฒนาผู้อื่น และพัฒนาประเทศชาติหลายต่อหลายรุ่น
ด้วยปี พ.ศ. และเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นช่วงสมัยสถาปัตยกรรมในยุคของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทางคณะทำงานจึงนำรูปทรงของอาคาร 6 มาเปรียบเทียบให้สื่อถึงความเรียบง่ายของ ตึกทรงไทยประยุกต์ในสมัยนั้น (เปรียบเทียบจากรูปด้านล่างรูปด้านซ้ายมือคือบ้านของท่านจอมพล ป. ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ จ.เชียงราย ส่วนรูปด้านขวาคืออาคาร6 ซึ่งเคยใช้เป็นเรือนนอนของนักศึกษาในช่วงก่อตั้งวิทยาลัยครูในอดีต และยังคงใช้ประโยชน์จากตัวอาคารดำเนินการเรียนการสอนจนกระทั่งทุกวันนี้)
บ้านของท่านจอมพล ป. ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ จ.เชียงราย ส่วนรูปด้านขวาคืออาคาร6
บ้านของท่านจอมพล ป. ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ จ.เชียงราย ส่วนรูปด้านขวาคืออาคาร6