เรื่องสั้น “สามสิบเจ็ดบาท”
โดย บุญมี เหลาธรรม
**************************************************************
วันศุกร์ที่สิบเอ็ดสิงหาคม เวลาประมาณห้าโมงเย็น ผมไปถึงสถานีขนส่งหนองบัวลำภูด้วยรถสองแถวที่โบกขึ้นมาจากบ้านซึ่งห่างออกไปประมาณสามสิบกิโลเมตร ผมกำลังจะเดินทางไปเชียงใหม่ในช่วงวันหยุดยาวสามวัน เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ
พอลงจากรถ และจ่ายค่าโดยสารเรียบร้อย ผมก็ตรงไปซื้อตั๋วที่ช่องขายตั๋วทันที ผมเลือกซื้อตั๋วรถปรับอากาศชั้นสอง เที่ยวสองทุ่มครึ่ง เพราะราคาถูกกว่ารถปรับอากาศชั้นหนึ่งอยู่หลายบาท ประหยัดกว่า แต่ไปถึงที่หมายเหมือนกัน อีกอย่างรถเที่ยวนี้ถึงเชียงใหม่ประมาณแปดโมงกว่า ๆ ไม่เช้าไม่สายเกินไป สะดวกต่อคนมารับ
เมื่อผมได้ตั๋วและเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงเรียบร้อยแล้ว ก็หาที่นั่งเหมาะ ๆ เพื่อนั่งรอ อีกหลายชั่วโมงกว่ารถจะมา หยิบหนังสือที่ยืมจากห้องสมุดโรงเรียนออกมาจากเป้ เปิดอ่านฆ่าเวลา ไม่มีวิธีใดที่จะฆ่าเวลาได้ดีเท่าวิธีนี้อีกแล้ว
หนองบัวลำภูเป็นจังหวัดเล็ก ๆ ไม่มีห้างสรรพสินค้า หรือตลาดใหญ่ ๆ ไว้ให้เดินเที่ยวเล่นฆ่าเวลา เหมือนจังหวัดอื่น ๆ แต่ถึงจะมีผมก็ไม่ไปเดินหรอก เพราะเงินในกระเป๋าของผมตอนนี้เหลืออยู่เพียงสี่สิบบาทไม่ขาดไม่เกิน
ให้ตายเถอะ!…มีเงินเหลือเพียงเท่านี้ยังจะกล้าเดินทางไกล ๆ อีก หลายคนอาจจะคิดอย่างนั้น แต่ผมเดินทางกับเงินเพียงเท่านี้จนชินเสียแล้วล่ะ มันไม่มีอะไรต้องจ่ายนี่ครับ ข้าวก็อัดมาจนเต็มท้องจากบ้าน น้ำก็กรอกใส่ขวดยัดใส่เป้เรียบร้อย พอขึ้นรถแล้วก็หลับ ตื่นลงไปฉี่สักครั้ง ขึ้นรถมาหลับต่อแล้วก็ถึงเชียงใหม่ ลงจากรถก็มีแฟนมารับ ไม่เห็นต้องได้ใช้เงินเลย ของฝากก็ไม่ต้องซื้อ เพราะแฟนผมไม่ชอบของฝาก ชอบเก็บเงินอย่างเดียว
พกไปมากก็ใช้ในสิ่งที่ไม่จำเป็นมาก มีเงินอยู่ในกระเป๋าเยอะ ความอยากก็เยอะตามไปด้วย ทั้งที่สิ่งที่เราซื้อนั้นบางทีก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลยก็มี อีกอย่างพกไปมาก ๆ เดี๋ยวก็โดนปล้น โดนชิงไปอีก อันตราย ผู้คนสมัยนี้ไว้ใจกันได้ที่ไหน สู้เอาเงินเก็บไว้ในธนาคารดีกว่า ปลอดภัย ไม่หนีหายไปไหน ถ้าอยากได้อะไรที่มันจำเป็นจริง ๆ ค่อยไปถอนมาซื้อเป็นอย่าง ๆ ไป จะได้ไม่ฟุ่มเฟือย
เพราะเหตุผลนี้เอง เวลาไปไหนมาไหนผมจึงพกเงินน้อยจนเป็นนิสัย กะเอาไปพอใช้สำหรับการนั้นจริง ๆ ประเภทกลับถึงบ้าน เงินในกระเป๋าก็หมดพอดี
เพื่อนครูที่โรงเรียนต่างหาว่าผมเป็นคนขี้เหนียวสุด ๆ … เปล่าหรอก ผมเป็นคนรู้จักคุณค่าของเงินต่างหาก…
แล้วการพกเงินไปไหนแบบพอดีเป๊ะนี่ มันไม่เคยเกิดเหตุไม่คาดฝันที่ทำให้เงินไม่พอจ่ายบ้างเหรอ…จริง ๆ แล้ว มันทำให้ผมเสียวอยู่หลายครั้งเหมือนกัน แต่ก็รอดมาได้ทุกครั้ง
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นรู้สึกว่าผมจะเทียวไปอบรมที่ สปจ.หนองบัวลำภู สปจ. คือ สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดในอดีต ต่อมายุบรวมกับสำนักงานสามัญศึกษาจังหวัด และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด กลายเป็นสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในปัจจุบัน
วันนั้นหลังจากเลิกจากการอบรม ผมก็มานั่งรอรถสองแถวที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร เพื่อกลับบ้านเหมือนทุกวัน ในกระเป๋ามีเงินอยู่ยี่สิบบาท เพียงพอสำหรับค่ารถสองแถว สิบแปดบาท
ในขณะที่นั่งดูผู้คนเพลิน ๆ รอรถอยู่นั้น ผมก็ได้พบกับสาวหมู่บ้านเดียวกัน เธอเพิ่งจะได้เป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลหนองบัวลำภู เธอมารอรถสองแถวเพื่อกลับบ้านเหมือนผม เธอไม่สวย และไม่อยู่ในข่ายที่ผมต้องหลีด้วย
เธอมานั่งคุยกับผมอย่างสนิทสนม ถ้าไม่หลงตัวเองจนเกินไป ผมว่าเธอจีบผมแน่ ๆ นั่งคุยกันได้สักพักก็มีหนุ่มรุ่นน้องบ้านเดียวกันอีกคนเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย ไอ้หนุ่มคนนี้ว่าตามจริงหล่อสู้ผมไม่ได้หรอก ผมเท่ห์กว่าเยอะ…
เราสามคนคุยกันด้วยความสนุกสนาน ตามประสาคนบ้านเดียวกัน ผมแอบเห็นไอ้หนุ่มนั่นจ้องเธอไม่วางตา แต่ดูเธอไม่สนใจ เธอสนใจผมต่างหาก แต่ผมเฉย ๆ เพราะผมมีแฟนแล้ว สวยกว่าเธอสิบเท่า ตอนนั้นเธอกับไอ้หนุ่นนั่นยังไม่รู้ว่าผมมีแฟน
คุยกันได้สักพักเธอก็บอกผมว่าหิวน้ำ อยากดื่มโค้กเย็น ๆ สักกระป๋องให้ชื่นใจ แล้วก็ส่งสายตาอ้อนวอนให้ผมไปซื้อมาให้ ผมกำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน เพราะเงินในกระเป๋ามีเพียงยี่สิบบาท ถ้าซื้อน้ำอัดลมให้เธอแล้ว จะเอาเงินที่ไหนเป็นค่ารถกลับบ้าน
อึกอักอยู่ครู่หนึ่ง ก็ทำบุ้ยใบ้ให้ไอ้หนุ่มรุ่นน้อง ทำนองว่าเปิดโอกาสให้มันได้แสดงความเป็นสุภาพบุรุษต่อหน้าสาวพยาบาลที่มันหมายปองอย่างเต็มที่
ไอ้น้องนั่นไม่รอช้า รีบบอกกับเธอทันทีว่า เดี๋ยวจะไปซื้อให้ สักพักก็กลับมาพร้อมโค้กสามกระป๋อง ให้เธอหนึ่งกระป๋อง ให้ตัวเองหนึ่งกระป๋อง และยื่นให้ผมอีกหนึ่งกระป๋อง ผมรีบคว้าหมับ และกล่าวขอบคุณถึงความใจดีของมัน…ถ้าไม่มีมันในเย็นนั้น ผมคงต้องสวมบทผู้ชายหน้าด้านเก็บเงินจากเธอ เพื่อเอาไปซื้อโค้กมาให้เธอดื่มเป็นแน่
ยังมีความเสียวเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเหตุการณ์ทำนองนี้อีกหลายครั้ง แต่ผมไม่เข็ดหรอก ผมยังคงปฏิบัติตัวเช่นเดิม และเพราะการปฏิบัติตัวเช่นนี้เอง ที่ทำให้รายได้จากเงินเดือนครูอันน้อยนิดของผมสูงกว่ารายจ่ายในแต่ละเดือน ทำให้ไม่ต้องลำบากลำบน ชักหน้าไม่ถึงหลัง แม้จะถูกเพื่อนมองด้วยความตำหนิ ปนรังเกียจนิด ๆ ว่าเป็นคนขี้เหนียวสุด ๆ ก็ตาม…
นาฬิกาบนผนังบอกเวลาหนึ่งทุ่มสามสิบหกนาที เหลืออีกหนึ่งชั่วโมงผมก็จะได้ล่องลอยไปหาเธอ…เธอ… คนที่ทำให้ผมไม่ยอมสนใจหญิงใดอีกเลย เธอ…คนที่ทำให้ผมรู้จักเก็บหอมรอมริบเพื่ออนาคตข้างหน้า
ผมคบเธอเป็นแฟน ตั้งแต่เรียนอยู่ปีสามที่ราชภัฏเชียงใหม่ เราเรียนเอกเดียวกัน พอจบออกมาผมได้บรรจุเป็นครูอยู่ที่หนองบัวลำภู บ้านเกิด ส่วนเธอได้บรรจุอยู่ที่เชียงใหม่ บ้านเกิดเช่นเดียวกัน
แม้จะอยู่ไกลกันสักเพียงใด แต่ผมกับเธอก็ไม่เคยร้างห่างกัน ยังคงไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ผมมีแผนการณ์จะแต่งงานกับเธอต้นปีหน้า เธอคงภูมิใจไม่น้อยที่ได้แฟนเป็นคนประหยัด รู้จักเก็บเงิน เก็บทองอย่างผม
นั่งเหม่อถึงเธอได้สักพัก ก็ก้มลงอ่านเรื่องสั้นของวินทร์ เลียววาริณ ในหนังสือชื่อสมุดปกดำกับใบไม้สีแดงต่อ กำลังน่าสนุกทีเดียว…
สองทุ่มสิบห้านาที ผมเก็บหนังสือใส่เป้ เช็คตั๋วในกระเป๋ากางเกงว่ายังอยู่ดีหรือเปล่า แล้วลุกขึ้นไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนขึ้นรถ เพราะรถปรับอากาศชั้นสอง ไม่มีห้องน้ำบนรถ
จ่ายค่าเข้าห้องน้ำสามบาท เหลือสามสิบเจ็ดบาทพอดิบพอดี ทำธุระเรียบร้อย ก็กลับไปนั่งที่เดิม คอยชะเง้อชะแง้รอรถคันที่จะนำพาผมไปสู่เชียงใหม่ด้วยใจจดจ่อ
รอแล้วรอเล่า จนเวลาเลยสองทุ่มครึ่งมาหลายนาที ก็ยังไม่มีวี่แววว่ารถจะมา ตามปกติรถเที่ยวนี้ออกมาจากสถานีต้นทางที่อุดรธานี เวลาประมาณทุ่มครึ่ง ใช้เวลาวิ่งมาถึงหนองบัวลำภูไม่ถึงชั่วโมง แต่นี่เกือบสามทุ่มแล้วมันยังไม่มา คิดว่ามันน่าจะรอเอาผู้โดยสารให้ได้มากที่สุด ถึงได้ออกมาช้า
หรือว่ารถมันจะเสียกลางทาง ตัดสินใจเดินไปถามคนขายตั๋วที่ช่องขายตั๋ว ได้รับคำตอบว่าให้รออีกสักครู่ เดี๋ยวก็มา…
ผมชักไม่มั่นใจ เริ่มกระสับกระส่าย และนึกกลัวไปต่าง ๆ นานา ยิ่งดึก ผู้คนก็ยิ่งบางตาลงไปทุกขณะ รถไปกรุงเทพฯ เที่ยวสามทุ่ม ซึ่งเป็นเที่ยวสุดท้ายกำลังจะออก หมายความว่าบรรยากาศภายในสถานีจะเงียบเหงาลงอีกมาก เพราะผู้โดยสารส่วนใหญ่เดินทางลงกรุงเทพฯ มากกว่าขึ้นเหนือ วันนั้นมีผมคนเดียวที่ขึ้นเหนือ ผมกำลังจะถูกทิ้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวหรืออย่างไรกันนี่…
ถ้ารถมันไม่มาจริง ๆ ผมจะทำอย่างไรดี เงินในกระเป๋าสามสิบเจ็ดบาท จะช่วยให้ผมรอดในคืนนี้ได้หรือเปล่า ตู้เอทีเอ็มแถวนี้ก็ไม่มี รถสามล้อ มอเตอร์ไซค์รับจ้างก็หายไปเรื่อย ๆ เหลืออยู่ไม่กี่คัน
แต่ในที่สุด รถคันที่รอก็วิ่งเข้ามาจอดชานชาลาจนได้ หลังจากที่ผมเทียวไปถามคนขายตั๋วอีกสามรอบ จนถูกตะคอกใส่ด้วยถ้อยคำบาดหู ผมรีบก้าวขึ้นรถด้วยความโล่งอก เลือกที่นั่งว่าง ๆ ตามใจชอบ ไม่มีเด็กรถมาคอยวุ่นวายจัดให้นั่งตรงนั้นตรงนี้ คงเป็นเพราะที่นั่งว่างเยอะ เขาจึงปล่อยให้ได้เลือกนั่งตามสบาย
เมื่อเอาเป้ยัดไว้บนชั้นวางของเหนือศีรษะ และนั่งเรียบร้อย ไม่กี่อึดใจ รถก็บึ่งออกจากสถานีขนส่ง มุ่งไปสู่จุดหมายปลายทางข้างหน้า
ผมเอามือล้วงกระเป๋า แบ๊งค์ยี่สิบหนึ่งใบ กับเงินเหรียญอีกสิบเจ็ดบาท ยังคงสงบนิ่งอยู่กับตั๋วที่ถูกเด็กรถฉีกไปครึ่งหนึ่งก่อนขึ้นรถ ยิ้มให้กับตัวเอง เป็นอีกคราวหนึ่งที่ได้เสียว จากนั้นใจผมก็ล่องลอยไปหาเธอ คิดถึงแก้มนุ่ม ๆ เนื้ออุ่น ๆ แล้วอยากไปให้ถึงเชียงใหม่ให้เร็วที่สุด…
ผมหลับไปเมื่อใดไม่ทราบได้ มางัวเงียตื่นเมื่อไฟในรถสว่างขึ้น และมีเสียงคนเอะอะโวยวาย ผมพบว่ารถจอดอยู่ข้างถนน กลางดอยเปลี่ยว
“นี่คือการปล้น ขอให้ทุกคนนั่งอยู่กับที่อย่างสงบ ห้ามตุกติกถ้าไม่อยากตาย ให้เอาทรัพย์สินทั้งหมดออกมา แล้วยกมือขึ้นไว้บนหัว เร็ว!…” สิ้นคำพวกมันหกคน ในชุดลายพราง และสวมหมวกไหมพรมปิดหน้า ก็กระจายไปทั่วรถ
ผมหายงัวเงียเป็นปลิดทิ้ง รีบเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบเงินทั้งหมดในมือมากำไว้อย่างใจหาย แล้วยกมือทั้งสองขึ้นไว้บนหัวตามคำบัญชาของพวกมันด้วยความสั่นกลัว
พวกมันเดินเก็บทรัพย์สินจากผู้โดยสารใส่ลงกระเป๋าอย่างเร่งรีบ มาถึงผม ผมยื่นเงินในมือให้มัน มันยื่นมือมารับ เสียงเหรียญตกลงพื้นรถดังกรุ๋งกริ๋ง มันก้มลงมองพื้น ดูเงินในมือ แล้วเงยหน้ามองผม
“เห็นกูเป็นขอทานหรือไงวะ ” มันเอาปากกระบอกปืนกดลงบนหัวผม
“ผะ…ผะ…ผม มีเท่านี้จริง ๆ อย่าทำผมเลย ผมกลัวแล้ว ผมมีเท่านี้จริง ๆ ไม่ได้โกหก” ผมละล่ำละลักด้วยความกลัวสุดขีด
“เอ๊ย!…หยามกู”……
******************************************************
ผมยืนงง ๆ อยู่กับกลุ่มคนโดยสาร ซึ่งรวมกลุ่มกันอยู่มุมหนึ่งของที่เกิดเหตุ ต่างคนต่างคุยกันถึงเหตุการณ์ระทึกที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ รถตำรวจ รถกู้ภัย และรถไทยมุงจอดเรียงอยู่ข้างถนนหลายคัน แสงสีแดงจากสัญญาณไฟฉุกเฉินหมุนวูบวาบไปทั่วบริเวณ
ตำรวจต่างทำงานกันขะมักเขม้น อาสาสมัครกู้ภัยสี่ห้าคนช่วยกันแบกร่างในห่อผ้าสีขาวลงมาจากรถ ลักษณะการห่อ บอกให้รู้ว่าเป็นศพ ผมกระซิบถามชายคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยความสงสัยว่า
“เขาตายยังไงครับ”
ชายคนนั้นหันมาตอบด้วยความหงุดหงิดว่า
“นี่คุณไม่รู้อะไรเลยเหรอ…เขาโดนโจรจ่อยิงที่หัวด้วยความโกรธ เพราะยื่นเศษเงินให้โจร ไม่น่าเลย ตายเพราะความงกแท้ ๆ”
******************************************************************************
เรื่องสั้น สามสิบเจ็ดบาท
โดย บุญมี เหลาธรรม
**************************************************************
วันศุกร์ที่สิบเอ็ดสิงหาคม เวลาประมาณห้าโมงเย็น ผมไปถึงสถานีขนส่งหนองบัวลำภูด้วยรถสองแถวที่โบกขึ้นมาจากบ้านซึ่งห่างออกไปประมาณสามสิบกิโลเมตร ผมกำลังจะเดินทางไปเชียงใหม่ในช่วงวันหยุดยาวสามวัน เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ
พอลงจากรถ และจ่ายค่าโดยสารเรียบร้อย ผมก็ตรงไปซื้อตั๋วที่ช่องขายตั๋วทันที ผมเลือกซื้อตั๋วรถปรับอากาศชั้นสอง เที่ยวสองทุ่มครึ่ง เพราะราคาถูกกว่ารถปรับอากาศชั้นหนึ่งอยู่หลายบาท ประหยัดกว่า แต่ไปถึงที่หมายเหมือนกัน อีกอย่างรถเที่ยวนี้ถึงเชียงใหม่ประมาณแปดโมงกว่า ๆ ไม่เช้าไม่สายเกินไป สะดวกต่อคนมารับ
เมื่อผมได้ตั๋วและเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงเรียบร้อยแล้ว ก็หาที่นั่งเหมาะ ๆ เพื่อนั่งรอ อีกหลายชั่วโมงกว่ารถจะมา หยิบหนังสือที่ยืมจากห้องสมุดโรงเรียนออกมาจากเป้ เปิดอ่านฆ่าเวลา ไม่มีวิธีใดที่จะฆ่าเวลาได้ดีเท่าวิธีนี้อีกแล้ว
หนองบัวลำภูเป็นจังหวัดเล็ก ๆ ไม่มีห้างสรรพสินค้า หรือตลาดใหญ่ ๆ ไว้ให้เดินเที่ยวเล่นฆ่าเวลา เหมือนจังหวัดอื่น ๆ แต่ถึงจะมีผมก็ไม่ไปเดินหรอก เพราะเงินในกระเป๋าของผมตอนนี้เหลืออยู่เพียงสี่สิบบาทไม่ขาดไม่เกิน
ให้ตายเถอะ!…มีเงินเหลือเพียงเท่านี้ยังจะกล้าเดินทางไกล ๆ อีก หลายคนอาจจะคิดอย่างนั้น แต่ผมเดินทางกับเงินเพียงเท่านี้จนชินเสียแล้วล่ะ มันไม่มีอะไรต้องจ่ายนี่ครับ ข้าวก็อัดมาจนเต็มท้องจากบ้าน น้ำก็กรอกใส่ขวดยัดใส่เป้เรียบร้อย พอขึ้นรถแล้วก็หลับ ตื่นลงไปฉี่สักครั้ง ขึ้นรถมาหลับต่อแล้วก็ถึงเชียงใหม่ ลงจากรถก็มีแฟนมารับ ไม่เห็นต้องได้ใช้เงินเลย ของฝากก็ไม่ต้องซื้อ เพราะแฟนผมไม่ชอบของฝาก ชอบเก็บเงินอย่างเดียว
พกไปมากก็ใช้ในสิ่งที่ไม่จำเป็นมาก มีเงินอยู่ในกระเป๋าเยอะ ความอยากก็เยอะตามไปด้วย ทั้งที่สิ่งที่เราซื้อนั้นบางทีก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลยก็มี อีกอย่างพกไปมาก ๆ เดี๋ยวก็โดนปล้น โดนชิงไปอีก อันตราย ผู้คนสมัยนี้ไว้ใจกันได้ที่ไหน สู้เอาเงินเก็บไว้ในธนาคารดีกว่า ปลอดภัย ไม่หนีหายไปไหน ถ้าอยากได้อะไรที่มันจำเป็นจริง ๆ ค่อยไปถอนมาซื้อเป็นอย่าง ๆ ไป จะได้ไม่ฟุ่มเฟือย
เพราะเหตุผลนี้เอง เวลาไปไหนมาไหนผมจึงพกเงินน้อยจนเป็นนิสัย กะเอาไปพอใช้สำหรับการนั้นจริง ๆ ประเภทกลับถึงบ้าน เงินในกระเป๋าก็หมดพอดี
เพื่อนครูที่โรงเรียนต่างหาว่าผมเป็นคนขี้เหนียวสุด ๆ … เปล่าหรอก ผมเป็นคนรู้จักคุณค่าของเงินต่างหาก…
แล้วการพกเงินไปไหนแบบพอดีเป๊ะนี่ มันไม่เคยเกิดเหตุไม่คาดฝันที่ทำให้เงินไม่พอจ่ายบ้างเหรอ…จริง ๆ แล้ว มันทำให้ผมเสียวอยู่หลายครั้งเหมือนกัน แต่ก็รอดมาได้ทุกครั้ง
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นรู้สึกว่าผมจะเทียวไปอบรมที่ สปจ.หนองบัวลำภู สปจ. คือ สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดในอดีต ต่อมายุบรวมกับสำนักงานสามัญศึกษาจังหวัด และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด กลายเป็นสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในปัจจุบัน
วันนั้นหลังจากเลิกจากการอบรม ผมก็มานั่งรอรถสองแถวที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร เพื่อกลับบ้านเหมือนทุกวัน ในกระเป๋ามีเงินอยู่ยี่สิบบาท เพียงพอสำหรับค่ารถสองแถว สิบแปดบาท
ในขณะที่นั่งดูผู้คนเพลิน ๆ รอรถอยู่นั้น ผมก็ได้พบกับสาวหมู่บ้านเดียวกัน เธอเพิ่งจะได้เป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลหนองบัวลำภู เธอมารอรถสองแถวเพื่อกลับบ้านเหมือนผม เธอไม่สวย และไม่อยู่ในข่ายที่ผมต้องหลีด้วย
เธอมานั่งคุยกับผมอย่างสนิทสนม ถ้าไม่หลงตัวเองจนเกินไป ผมว่าเธอจีบผมแน่ ๆ นั่งคุยกันได้สักพักก็มีหนุ่มรุ่นน้องบ้านเดียวกันอีกคนเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย ไอ้หนุ่มคนนี้ว่าตามจริงหล่อสู้ผมไม่ได้หรอก ผมเท่ห์กว่าเยอะ…
เราสามคนคุยกันด้วยความสนุกสนาน ตามประสาคนบ้านเดียวกัน ผมแอบเห็นไอ้หนุ่มนั่นจ้องเธอไม่วางตา แต่ดูเธอไม่สนใจ เธอสนใจผมต่างหาก แต่ผมเฉย ๆ เพราะผมมีแฟนแล้ว สวยกว่าเธอสิบเท่า ตอนนั้นเธอกับไอ้หนุ่นนั่นยังไม่รู้ว่าผมมีแฟน
คุยกันได้สักพักเธอก็บอกผมว่าหิวน้ำ อยากดื่มโค้กเย็น ๆ สักกระป๋องให้ชื่นใจ แล้วก็ส่งสายตาอ้อนวอนให้ผมไปซื้อมาให้ ผมกำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน เพราะเงินในกระเป๋ามีเพียงยี่สิบบาท ถ้าซื้อน้ำอัดลมให้เธอแล้ว จะเอาเงินที่ไหนเป็นค่ารถกลับบ้าน
อึกอักอยู่ครู่หนึ่ง ก็ทำบุ้ยใบ้ให้ไอ้หนุ่มรุ่นน้อง ทำนองว่าเปิดโอกาสให้มันได้แสดงความเป็นสุภาพบุรุษต่อหน้าสาวพยาบาลที่มันหมายปองอย่างเต็มที่
ไอ้น้องนั่นไม่รอช้า รีบบอกกับเธอทันทีว่า เดี๋ยวจะไปซื้อให้ สักพักก็กลับมาพร้อมโค้กสามกระป๋อง ให้เธอหนึ่งกระป๋อง ให้ตัวเองหนึ่งกระป๋อง และยื่นให้ผมอีกหนึ่งกระป๋อง ผมรีบคว้าหมับ และกล่าวขอบคุณถึงความใจดีของมัน…ถ้าไม่มีมันในเย็นนั้น ผมคงต้องสวมบทผู้ชายหน้าด้านเก็บเงินจากเธอ เพื่อเอาไปซื้อโค้กมาให้เธอดื่มเป็นแน่
ยังมีความเสียวเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเหตุการณ์ทำนองนี้อีกหลายครั้ง แต่ผมไม่เข็ดหรอก ผมยังคงปฏิบัติตัวเช่นเดิม และเพราะการปฏิบัติตัวเช่นนี้เอง ที่ทำให้รายได้จากเงินเดือนครูอันน้อยนิดของผมสูงกว่ารายจ่ายในแต่ละเดือน ทำให้ไม่ต้องลำบากลำบน ชักหน้าไม่ถึงหลัง แม้จะถูกเพื่อนมองด้วยความตำหนิ ปนรังเกียจนิด ๆ ว่าเป็นคนขี้เหนียวสุด ๆ ก็ตาม…
นาฬิกาบนผนังบอกเวลาหนึ่งทุ่มสามสิบหกนาที เหลืออีกหนึ่งชั่วโมงผมก็จะได้ล่องลอยไปหาเธอ…เธอ… คนที่ทำให้ผมไม่ยอมสนใจหญิงใดอีกเลย เธอ…คนที่ทำให้ผมรู้จักเก็บหอมรอมริบเพื่ออนาคตข้างหน้า
ผมคบเธอเป็นแฟน ตั้งแต่เรียนอยู่ปีสามที่ราชภัฏเชียงใหม่ เราเรียนเอกเดียวกัน พอจบออกมาผมได้บรรจุเป็นครูอยู่ที่หนองบัวลำภู บ้านเกิด ส่วนเธอได้บรรจุอยู่ที่เชียงใหม่ บ้านเกิดเช่นเดียวกัน
แม้จะอยู่ไกลกันสักเพียงใด แต่ผมกับเธอก็ไม่เคยร้างห่างกัน ยังคงไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ผมมีแผนการณ์จะแต่งงานกับเธอต้นปีหน้า เธอคงภูมิใจไม่น้อยที่ได้แฟนเป็นคนประหยัด รู้จักเก็บเงิน เก็บทองอย่างผม
นั่งเหม่อถึงเธอได้สักพัก ก็ก้มลงอ่านเรื่องสั้นของวินทร์ เลียววาริณ ในหนังสือชื่อสมุดปกดำกับใบไม้สีแดงต่อ กำลังน่าสนุกทีเดียว…
สองทุ่มสิบห้านาที ผมเก็บหนังสือใส่เป้ เช็คตั๋วในกระเป๋ากางเกงว่ายังอยู่ดีหรือเปล่า แล้วลุกขึ้นไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนขึ้นรถ เพราะรถปรับอากาศชั้นสอง ไม่มีห้องน้ำบนรถ
จ่ายค่าเข้าห้องน้ำสามบาท เหลือสามสิบเจ็ดบาทพอดิบพอดี ทำธุระเรียบร้อย ก็กลับไปนั่งที่เดิม คอยชะเง้อชะแง้รอรถคันที่จะนำพาผมไปสู่เชียงใหม่ด้วยใจจดจ่อ
รอแล้วรอเล่า จนเวลาเลยสองทุ่มครึ่งมาหลายนาที ก็ยังไม่มีวี่แววว่ารถจะมา ตามปกติรถเที่ยวนี้ออกมาจากสถานีต้นทางที่อุดรธานี เวลาประมาณทุ่มครึ่ง ใช้เวลาวิ่งมาถึงหนองบัวลำภูไม่ถึงชั่วโมง แต่นี่เกือบสามทุ่มแล้วมันยังไม่มา คิดว่ามันน่าจะรอเอาผู้โดยสารให้ได้มากที่สุด ถึงได้ออกมาช้า
หรือว่ารถมันจะเสียกลางทาง ตัดสินใจเดินไปถามคนขายตั๋วที่ช่องขายตั๋ว ได้รับคำตอบว่าให้รออีกสักครู่ เดี๋ยวก็มา…
ผมชักไม่มั่นใจ เริ่มกระสับกระส่าย และนึกกลัวไปต่าง ๆ นานา ยิ่งดึก ผู้คนก็ยิ่งบางตาลงไปทุกขณะ รถไปกรุงเทพฯ เที่ยวสามทุ่ม ซึ่งเป็นเที่ยวสุดท้ายกำลังจะออก หมายความว่าบรรยากาศภายในสถานีจะเงียบเหงาลงอีกมาก เพราะผู้โดยสารส่วนใหญ่เดินทางลงกรุงเทพฯ มากกว่าขึ้นเหนือ วันนั้นมีผมคนเดียวที่ขึ้นเหนือ ผมกำลังจะถูกทิ้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวหรืออย่างไรกันนี่…
ถ้ารถมันไม่มาจริง ๆ ผมจะทำอย่างไรดี เงินในกระเป๋าสามสิบเจ็ดบาท จะช่วยให้ผมรอดในคืนนี้ได้หรือเปล่า ตู้เอทีเอ็มแถวนี้ก็ไม่มี รถสามล้อ มอเตอร์ไซค์รับจ้างก็หายไปเรื่อย ๆ เหลืออยู่ไม่กี่คัน
แต่ในที่สุด รถคันที่รอก็วิ่งเข้ามาจอดชานชาลาจนได้ หลังจากที่ผมเทียวไปถามคนขายตั๋วอีกสามรอบ จนถูกตะคอกใส่ด้วยถ้อยคำบาดหู ผมรีบก้าวขึ้นรถด้วยความโล่งอก เลือกที่นั่งว่าง ๆ ตามใจชอบ ไม่มีเด็กรถมาคอยวุ่นวายจัดให้นั่งตรงนั้นตรงนี้ คงเป็นเพราะที่นั่งว่างเยอะ เขาจึงปล่อยให้ได้เลือกนั่งตามสบาย
เมื่อเอาเป้ยัดไว้บนชั้นวางของเหนือศีรษะ และนั่งเรียบร้อย ไม่กี่อึดใจ รถก็บึ่งออกจากสถานีขนส่ง มุ่งไปสู่จุดหมายปลายทางข้างหน้า
ผมเอามือล้วงกระเป๋า แบ๊งค์ยี่สิบหนึ่งใบ กับเงินเหรียญอีกสิบเจ็ดบาท ยังคงสงบนิ่งอยู่กับตั๋วที่ถูกเด็กรถฉีกไปครึ่งหนึ่งก่อนขึ้นรถ ยิ้มให้กับตัวเอง เป็นอีกคราวหนึ่งที่ได้เสียว จากนั้นใจผมก็ล่องลอยไปหาเธอ คิดถึงแก้มนุ่ม ๆ เนื้ออุ่น ๆ แล้วอยากไปให้ถึงเชียงใหม่ให้เร็วที่สุด…
ผมหลับไปเมื่อใดไม่ทราบได้ มางัวเงียตื่นเมื่อไฟในรถสว่างขึ้น และมีเสียงคนเอะอะโวยวาย ผมพบว่ารถจอดอยู่ข้างถนน กลางดอยเปลี่ยว
“นี่คือการปล้น ขอให้ทุกคนนั่งอยู่กับที่อย่างสงบ ห้ามตุกติกถ้าไม่อยากตาย ให้เอาทรัพย์สินทั้งหมดออกมา แล้วยกมือขึ้นไว้บนหัว เร็ว!…” สิ้นคำพวกมันหกคน ในชุดลายพราง และสวมหมวกไหมพรมปิดหน้า ก็กระจายไปทั่วรถ
ผมหายงัวเงียเป็นปลิดทิ้ง รีบเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบเงินทั้งหมดในมือมากำไว้อย่างใจหาย แล้วยกมือทั้งสองขึ้นไว้บนหัวตามคำบัญชาของพวกมันด้วยความสั่นกลัว
พวกมันเดินเก็บทรัพย์สินจากผู้โดยสารใส่ลงกระเป๋าอย่างเร่งรีบ มาถึงผม ผมยื่นเงินในมือให้มัน มันยื่นมือมารับ เสียงเหรียญตกลงพื้นรถดังกรุ๋งกริ๋ง มันก้มลงมองพื้น ดูเงินในมือ แล้วเงยหน้ามองผม
“เห็นกูเป็นขอทานหรือไงวะ ” มันเอาปากกระบอกปืนกดลงบนหัวผม
“ผะ…ผะ…ผม มีเท่านี้จริง ๆ อย่าทำผมเลย ผมกลัวแล้ว ผมมีเท่านี้จริง ๆ ไม่ได้โกหก” ผมละล่ำละลักด้วยความกลัวสุดขีด
“เอ๊ย!…หยามกู”……
******************************************************
ผมยืนงง ๆ อยู่กับกลุ่มคนโดยสาร ซึ่งรวมกลุ่มกันอยู่มุมหนึ่งของที่เกิดเหตุ ต่างคนต่างคุยกันถึงเหตุการณ์ระทึกที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ รถตำรวจ รถกู้ภัย และรถไทยมุงจอดเรียงอยู่ข้างถนนหลายคัน แสงสีแดงจากสัญญาณไฟฉุกเฉินหมุนวูบวาบไปทั่วบริเวณ
ตำรวจต่างทำงานกันขะมักเขม้น อาสาสมัครกู้ภัยสี่ห้าคนช่วยกันแบกร่างในห่อผ้าสีขาวลงมาจากรถ ลักษณะการห่อ บอกให้รู้ว่าเป็นศพ ผมกระซิบถามชายคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยความสงสัยว่า
“เขาตายยังไงครับ”
ชายคนนั้นหันมาตอบด้วยความหงุดหงิดว่า
“นี่คุณไม่รู้อะไรเลยเหรอ…เขาโดนโจรจ่อยิงที่หัวด้วยความโกรธ เพราะยื่นเศษเงินให้โจร ไม่น่าเลย ตายเพราะความงกแท้ ๆ”
******************************************************************************