เรื่องสั้น สามสิบเจ็ดบาท

กระทู้สนทนา
เรื่องสั้น  “สามสิบเจ็ดบาท”
โดย บุญมี  เหลาธรรม
**************************************************************
วันศุกร์ที่สิบเอ็ดสิงหาคม  เวลาประมาณห้าโมงเย็น  ผมไปถึงสถานีขนส่งหนองบัวลำภูด้วยรถสองแถวที่โบกขึ้นมาจากบ้านซึ่งห่างออกไปประมาณสามสิบกิโลเมตร  ผมกำลังจะเดินทางไปเชียงใหม่ในช่วงวันหยุดยาวสามวัน เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ
                  พอลงจากรถ และจ่ายค่าโดยสารเรียบร้อย ผมก็ตรงไปซื้อตั๋วที่ช่องขายตั๋วทันที  ผมเลือกซื้อตั๋วรถปรับอากาศชั้นสอง  เที่ยวสองทุ่มครึ่ง  เพราะราคาถูกกว่ารถปรับอากาศชั้นหนึ่งอยู่หลายบาท  ประหยัดกว่า  แต่ไปถึงที่หมายเหมือนกัน  อีกอย่างรถเที่ยวนี้ถึงเชียงใหม่ประมาณแปดโมงกว่า ๆ ไม่เช้าไม่สายเกินไป สะดวกต่อคนมารับ
             เมื่อผมได้ตั๋วและเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงเรียบร้อยแล้ว ก็หาที่นั่งเหมาะ ๆ เพื่อนั่งรอ  อีกหลายชั่วโมงกว่ารถจะมา  หยิบหนังสือที่ยืมจากห้องสมุดโรงเรียนออกมาจากเป้ เปิดอ่านฆ่าเวลา  ไม่มีวิธีใดที่จะฆ่าเวลาได้ดีเท่าวิธีนี้อีกแล้ว
               หนองบัวลำภูเป็นจังหวัดเล็ก ๆ ไม่มีห้างสรรพสินค้า  หรือตลาดใหญ่ ๆ ไว้ให้เดินเที่ยวเล่นฆ่าเวลา เหมือนจังหวัดอื่น ๆ   แต่ถึงจะมีผมก็ไม่ไปเดินหรอก  เพราะเงินในกระเป๋าของผมตอนนี้เหลืออยู่เพียงสี่สิบบาทไม่ขาดไม่เกิน
          ให้ตายเถอะ!…มีเงินเหลือเพียงเท่านี้ยังจะกล้าเดินทางไกล ๆ อีก  หลายคนอาจจะคิดอย่างนั้น  แต่ผมเดินทางกับเงินเพียงเท่านี้จนชินเสียแล้วล่ะ  มันไม่มีอะไรต้องจ่ายนี่ครับ ข้าวก็อัดมาจนเต็มท้องจากบ้าน น้ำก็กรอกใส่ขวดยัดใส่เป้เรียบร้อย  พอขึ้นรถแล้วก็หลับ  ตื่นลงไปฉี่สักครั้ง  ขึ้นรถมาหลับต่อแล้วก็ถึงเชียงใหม่ ลงจากรถก็มีแฟนมารับ ไม่เห็นต้องได้ใช้เงินเลย ของฝากก็ไม่ต้องซื้อ เพราะแฟนผมไม่ชอบของฝาก ชอบเก็บเงินอย่างเดียว
           พกไปมากก็ใช้ในสิ่งที่ไม่จำเป็นมาก  มีเงินอยู่ในกระเป๋าเยอะ  ความอยากก็เยอะตามไปด้วย  ทั้งที่สิ่งที่เราซื้อนั้นบางทีก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลยก็มี  อีกอย่างพกไปมาก ๆ เดี๋ยวก็โดนปล้น โดนชิงไปอีก  อันตราย ผู้คนสมัยนี้ไว้ใจกันได้ที่ไหน  สู้เอาเงินเก็บไว้ในธนาคารดีกว่า  ปลอดภัย  ไม่หนีหายไปไหน  ถ้าอยากได้อะไรที่มันจำเป็นจริง ๆ ค่อยไปถอนมาซื้อเป็นอย่าง ๆ ไป จะได้ไม่ฟุ่มเฟือย
                 เพราะเหตุผลนี้เอง เวลาไปไหนมาไหนผมจึงพกเงินน้อยจนเป็นนิสัย กะเอาไปพอใช้สำหรับการนั้นจริง ๆ  ประเภทกลับถึงบ้าน เงินในกระเป๋าก็หมดพอดี  
เพื่อนครูที่โรงเรียนต่างหาว่าผมเป็นคนขี้เหนียวสุด ๆ … เปล่าหรอก ผมเป็นคนรู้จักคุณค่าของเงินต่างหาก…
แล้วการพกเงินไปไหนแบบพอดีเป๊ะนี่ มันไม่เคยเกิดเหตุไม่คาดฝันที่ทำให้เงินไม่พอจ่ายบ้างเหรอ…จริง ๆ แล้ว มันทำให้ผมเสียวอยู่หลายครั้งเหมือนกัน  แต่ก็รอดมาได้ทุกครั้ง  

               มีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นรู้สึกว่าผมจะเทียวไปอบรมที่ สปจ.หนองบัวลำภู   สปจ. คือ สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดในอดีต   ต่อมายุบรวมกับสำนักงานสามัญศึกษาจังหวัด  และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด  กลายเป็นสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในปัจจุบัน  
วันนั้นหลังจากเลิกจากการอบรม ผมก็มานั่งรอรถสองแถวที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร เพื่อกลับบ้านเหมือนทุกวัน  ในกระเป๋ามีเงินอยู่ยี่สิบบาท  เพียงพอสำหรับค่ารถสองแถว สิบแปดบาท  
ในขณะที่นั่งดูผู้คนเพลิน ๆ  รอรถอยู่นั้น ผมก็ได้พบกับสาวหมู่บ้านเดียวกัน  เธอเพิ่งจะได้เป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลหนองบัวลำภู เธอมารอรถสองแถวเพื่อกลับบ้านเหมือนผม  เธอไม่สวย  และไม่อยู่ในข่ายที่ผมต้องหลีด้วย  
เธอมานั่งคุยกับผมอย่างสนิทสนม  ถ้าไม่หลงตัวเองจนเกินไป  ผมว่าเธอจีบผมแน่ ๆ  นั่งคุยกันได้สักพักก็มีหนุ่มรุ่นน้องบ้านเดียวกันอีกคนเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย  ไอ้หนุ่มคนนี้ว่าตามจริงหล่อสู้ผมไม่ได้หรอก  ผมเท่ห์กว่าเยอะ…
เราสามคนคุยกันด้วยความสนุกสนาน  ตามประสาคนบ้านเดียวกัน ผมแอบเห็นไอ้หนุ่มนั่นจ้องเธอไม่วางตา  แต่ดูเธอไม่สนใจ  เธอสนใจผมต่างหาก  แต่ผมเฉย  ๆ  เพราะผมมีแฟนแล้ว สวยกว่าเธอสิบเท่า  ตอนนั้นเธอกับไอ้หนุ่นนั่นยังไม่รู้ว่าผมมีแฟน
คุยกันได้สักพักเธอก็บอกผมว่าหิวน้ำ  อยากดื่มโค้กเย็น ๆ สักกระป๋องให้ชื่นใจ  แล้วก็ส่งสายตาอ้อนวอนให้ผมไปซื้อมาให้  ผมกำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน  เพราะเงินในกระเป๋ามีเพียงยี่สิบบาท ถ้าซื้อน้ำอัดลมให้เธอแล้ว จะเอาเงินที่ไหนเป็นค่ารถกลับบ้าน
อึกอักอยู่ครู่หนึ่ง  ก็ทำบุ้ยใบ้ให้ไอ้หนุ่มรุ่นน้อง  ทำนองว่าเปิดโอกาสให้มันได้แสดงความเป็นสุภาพบุรุษต่อหน้าสาวพยาบาลที่มันหมายปองอย่างเต็มที่  
ไอ้น้องนั่นไม่รอช้า รีบบอกกับเธอทันทีว่า  เดี๋ยวจะไปซื้อให้  สักพักก็กลับมาพร้อมโค้กสามกระป๋อง  ให้เธอหนึ่งกระป๋อง  ให้ตัวเองหนึ่งกระป๋อง  และยื่นให้ผมอีกหนึ่งกระป๋อง ผมรีบคว้าหมับ และกล่าวขอบคุณถึงความใจดีของมัน…ถ้าไม่มีมันในเย็นนั้น  ผมคงต้องสวมบทผู้ชายหน้าด้านเก็บเงินจากเธอ  เพื่อเอาไปซื้อโค้กมาให้เธอดื่มเป็นแน่
ยังมีความเสียวเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเหตุการณ์ทำนองนี้อีกหลายครั้ง  แต่ผมไม่เข็ดหรอก  ผมยังคงปฏิบัติตัวเช่นเดิม  และเพราะการปฏิบัติตัวเช่นนี้เอง ที่ทำให้รายได้จากเงินเดือนครูอันน้อยนิดของผมสูงกว่ารายจ่ายในแต่ละเดือน  ทำให้ไม่ต้องลำบากลำบน ชักหน้าไม่ถึงหลัง  แม้จะถูกเพื่อนมองด้วยความตำหนิ ปนรังเกียจนิด ๆ ว่าเป็นคนขี้เหนียวสุด ๆ ก็ตาม…
นาฬิกาบนผนังบอกเวลาหนึ่งทุ่มสามสิบหกนาที  เหลืออีกหนึ่งชั่วโมงผมก็จะได้ล่องลอยไปหาเธอ…เธอ… คนที่ทำให้ผมไม่ยอมสนใจหญิงใดอีกเลย  เธอ…คนที่ทำให้ผมรู้จักเก็บหอมรอมริบเพื่ออนาคตข้างหน้า
        ผมคบเธอเป็นแฟน ตั้งแต่เรียนอยู่ปีสามที่ราชภัฏเชียงใหม่  เราเรียนเอกเดียวกัน  พอจบออกมาผมได้บรรจุเป็นครูอยู่ที่หนองบัวลำภู บ้านเกิด  ส่วนเธอได้บรรจุอยู่ที่เชียงใหม่ บ้านเกิดเช่นเดียวกัน
แม้จะอยู่ไกลกันสักเพียงใด  แต่ผมกับเธอก็ไม่เคยร้างห่างกัน  ยังคงไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ  ผมมีแผนการณ์จะแต่งงานกับเธอต้นปีหน้า  เธอคงภูมิใจไม่น้อยที่ได้แฟนเป็นคนประหยัด  รู้จักเก็บเงิน เก็บทองอย่างผม
นั่งเหม่อถึงเธอได้สักพัก  ก็ก้มลงอ่านเรื่องสั้นของวินทร์  เลียววาริณ  ในหนังสือชื่อสมุดปกดำกับใบไม้สีแดงต่อ  กำลังน่าสนุกทีเดียว…
        สองทุ่มสิบห้านาที  ผมเก็บหนังสือใส่เป้  เช็คตั๋วในกระเป๋ากางเกงว่ายังอยู่ดีหรือเปล่า  แล้วลุกขึ้นไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนขึ้นรถ  เพราะรถปรับอากาศชั้นสอง ไม่มีห้องน้ำบนรถ  
จ่ายค่าเข้าห้องน้ำสามบาท  เหลือสามสิบเจ็ดบาทพอดิบพอดี  ทำธุระเรียบร้อย ก็กลับไปนั่งที่เดิม คอยชะเง้อชะแง้รอรถคันที่จะนำพาผมไปสู่เชียงใหม่ด้วยใจจดจ่อ
         รอแล้วรอเล่า  จนเวลาเลยสองทุ่มครึ่งมาหลายนาที  ก็ยังไม่มีวี่แววว่ารถจะมา  ตามปกติรถเที่ยวนี้ออกมาจากสถานีต้นทางที่อุดรธานี เวลาประมาณทุ่มครึ่ง  ใช้เวลาวิ่งมาถึงหนองบัวลำภูไม่ถึงชั่วโมง  แต่นี่เกือบสามทุ่มแล้วมันยังไม่มา  คิดว่ามันน่าจะรอเอาผู้โดยสารให้ได้มากที่สุด  ถึงได้ออกมาช้า  
             หรือว่ารถมันจะเสียกลางทาง  ตัดสินใจเดินไปถามคนขายตั๋วที่ช่องขายตั๋ว  ได้รับคำตอบว่าให้รออีกสักครู่  เดี๋ยวก็มา…
        ผมชักไม่มั่นใจ  เริ่มกระสับกระส่าย  และนึกกลัวไปต่าง ๆ นานา  ยิ่งดึก ผู้คนก็ยิ่งบางตาลงไปทุกขณะ  รถไปกรุงเทพฯ เที่ยวสามทุ่ม  ซึ่งเป็นเที่ยวสุดท้ายกำลังจะออก  หมายความว่าบรรยากาศภายในสถานีจะเงียบเหงาลงอีกมาก  เพราะผู้โดยสารส่วนใหญ่เดินทางลงกรุงเทพฯ มากกว่าขึ้นเหนือ วันนั้นมีผมคนเดียวที่ขึ้นเหนือ  ผมกำลังจะถูกทิ้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวหรืออย่างไรกันนี่…
             ถ้ารถมันไม่มาจริง ๆ ผมจะทำอย่างไรดี  เงินในกระเป๋าสามสิบเจ็ดบาท จะช่วยให้ผมรอดในคืนนี้ได้หรือเปล่า  ตู้เอทีเอ็มแถวนี้ก็ไม่มี  รถสามล้อ มอเตอร์ไซค์รับจ้างก็หายไปเรื่อย ๆ   เหลืออยู่ไม่กี่คัน
            แต่ในที่สุด   รถคันที่รอก็วิ่งเข้ามาจอดชานชาลาจนได้  หลังจากที่ผมเทียวไปถามคนขายตั๋วอีกสามรอบ จนถูกตะคอกใส่ด้วยถ้อยคำบาดหู   ผมรีบก้าวขึ้นรถด้วยความโล่งอก  เลือกที่นั่งว่าง ๆ ตามใจชอบ  ไม่มีเด็กรถมาคอยวุ่นวายจัดให้นั่งตรงนั้นตรงนี้  คงเป็นเพราะที่นั่งว่างเยอะ  เขาจึงปล่อยให้ได้เลือกนั่งตามสบาย
         เมื่อเอาเป้ยัดไว้บนชั้นวางของเหนือศีรษะ และนั่งเรียบร้อย ไม่กี่อึดใจ รถก็บึ่งออกจากสถานีขนส่ง  มุ่งไปสู่จุดหมายปลายทางข้างหน้า
             ผมเอามือล้วงกระเป๋า แบ๊งค์ยี่สิบหนึ่งใบ  กับเงินเหรียญอีกสิบเจ็ดบาท ยังคงสงบนิ่งอยู่กับตั๋วที่ถูกเด็กรถฉีกไปครึ่งหนึ่งก่อนขึ้นรถ  ยิ้มให้กับตัวเอง  เป็นอีกคราวหนึ่งที่ได้เสียว  จากนั้นใจผมก็ล่องลอยไปหาเธอ  คิดถึงแก้มนุ่ม ๆ เนื้ออุ่น ๆ แล้วอยากไปให้ถึงเชียงใหม่ให้เร็วที่สุด…
         ผมหลับไปเมื่อใดไม่ทราบได้  มางัวเงียตื่นเมื่อไฟในรถสว่างขึ้น  และมีเสียงคนเอะอะโวยวาย  ผมพบว่ารถจอดอยู่ข้างถนน  กลางดอยเปลี่ยว
          “นี่คือการปล้น  ขอให้ทุกคนนั่งอยู่กับที่อย่างสงบ  ห้ามตุกติกถ้าไม่อยากตาย  ให้เอาทรัพย์สินทั้งหมดออกมา  แล้วยกมือขึ้นไว้บนหัว  เร็ว!…”  สิ้นคำพวกมันหกคน ในชุดลายพราง และสวมหมวกไหมพรมปิดหน้า ก็กระจายไปทั่วรถ
          ผมหายงัวเงียเป็นปลิดทิ้ง  รีบเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง  หยิบเงินทั้งหมดในมือมากำไว้อย่างใจหาย แล้วยกมือทั้งสองขึ้นไว้บนหัวตามคำบัญชาของพวกมันด้วยความสั่นกลัว
          พวกมันเดินเก็บทรัพย์สินจากผู้โดยสารใส่ลงกระเป๋าอย่างเร่งรีบ  มาถึงผม  ผมยื่นเงินในมือให้มัน  มันยื่นมือมารับ  เสียงเหรียญตกลงพื้นรถดังกรุ๋งกริ๋ง  มันก้มลงมองพื้น  ดูเงินในมือ  แล้วเงยหน้ามองผม
           “เห็นกูเป็นขอทานหรือไงวะ  ”   มันเอาปากกระบอกปืนกดลงบนหัวผม
“ผะ…ผะ…ผม มีเท่านี้จริง ๆ อย่าทำผมเลย  ผมกลัวแล้ว  ผมมีเท่านี้จริง ๆ ไม่ได้โกหก”  ผมละล่ำละลักด้วยความกลัวสุดขีด
          “เอ๊ย!…หยามกู”……
******************************************************
         ผมยืนงง ๆ อยู่กับกลุ่มคนโดยสาร  ซึ่งรวมกลุ่มกันอยู่มุมหนึ่งของที่เกิดเหตุ  ต่างคนต่างคุยกันถึงเหตุการณ์ระทึกที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่  รถตำรวจ รถกู้ภัย และรถไทยมุงจอดเรียงอยู่ข้างถนนหลายคัน  แสงสีแดงจากสัญญาณไฟฉุกเฉินหมุนวูบวาบไปทั่วบริเวณ  
           ตำรวจต่างทำงานกันขะมักเขม้น  อาสาสมัครกู้ภัยสี่ห้าคนช่วยกันแบกร่างในห่อผ้าสีขาวลงมาจากรถ  ลักษณะการห่อ  บอกให้รู้ว่าเป็นศพ  ผมกระซิบถามชายคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยความสงสัยว่า
                “เขาตายยังไงครับ”
        ชายคนนั้นหันมาตอบด้วยความหงุดหงิดว่า
              “นี่คุณไม่รู้อะไรเลยเหรอ…เขาโดนโจรจ่อยิงที่หัวด้วยความโกรธ  เพราะยื่นเศษเงินให้โจร ไม่น่าเลย ตายเพราะความงกแท้ ๆ”
******************************************************************************
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่