Love fudge: ปรุงใจใส่จานรัก บทที่ ๒/๑

กระทู้สนทนา
บทที่ ๑ http://pantip.com/topic/31030845

มัชฌิมาก้าวลงจากรถประจำทางอย่างรีบเร่ง การนำกล้องไปไว้ที่ร้านซ่อมเปลืองเวลามากกว่าที่คิด อุบัติเหตุรถยนต์ชนประสานงาตรงสี่แยกใหญ่ทำให้การจราจรบริเวณนั้นเป็นอัมพาตติดขัดไปร่วมชั่วโมง เธอยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาที่พี่ชายซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อสามปีที่แล้ว ตัวเลขดิจิตอลบนหน้าปัดบอกเวลาเกือบสิบเอ็ดโมง


จากจุดจอดรถต้องเดินเท้าเลียบบาทวิถีไปอีกราวหกสิบเมตรจึงจะถึงตึกสำนักพิมพ์เอชคิว ร่างเจ้าเนื้อทว่าสมส่วนก้าวฉับๆ ฝ่าเปลวแดดจัดจ้า กระเป๋าเป้ที่หลังพร้อมทั้งปิ่นโตเถาเขื่องในมือไม่ได้ฉุดรั้งให้จังหวะการจ้ำเท้าของเธอช้าลงแม้แต่น้อย หญิงสาวเป็นคนกระฉับกระเฉงมาแต่ไหนแต่ไร การแต่งกายเน้นความสุภาพแบบทะมัดทะแมงเข้าว่า เช่นในวันนี้ที่สวมเสื้อเชิ้ตสีพื้นคลุมทับด้วยแจ็คเกตสูทใส่คู่กับกางเกงยีนส์สีเข้มจนเกือบดำและรองเท้าหนังหัวมนส้นเตี้ย พร้อมสมบุกสมบันขึ้นรถลงเรือไปทุกที่หากมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน หรือถ้าต้องติดต่อธุระปะปังเข้าพบผู้หลักผู้ใหญ่ก็ไปได้ทันทีไม่มีเคอะเขินอีกเช่นกัน


เมื่อสองเท้าก้าวถึงหน้าประตูสำนักพิมพ์ เพื่อนร่วมงานหอบสัมภาระพะรุงพะรังสวนพรวดออกมา ครั้นเห็นมัชฌิมาเข้าก็ฉีกยิ้มแฉ่ง ร้องทักเร็วปรื๋อดีอกดีใจ


คอลัมนิสต์อาหารทักตอบเสียงใส ใบหน้ากลมระบายยิ้มเรื่อ  


“โชคดีจ้ะ แล้วเจอกัน” เธอโบกมือส่งคนที่มีคิวออกไปสัมภาษณ์ศิลปินวัยรุ่นชื่อดัง ดวงตาสีนิลประกายทอดตามหลังเพื่อนสาวไปจนกระทั่งถึงรถเก๋งของสำนักพิมพ์ที่จอดอยู่ข้างตึก


“หนูเตยจ๋า…หันมาทางนี้หน่อยเร้ว!” แว่วเสียงห้าวปนทะเล้นมาจากทางด้านในพร้อมเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังรัว


หญิงสาวจำเจ้าของเสียงได้แม่น ขณะหันไปหมายทักทายประสาคนคุ้นเคย ใบหน้าเกลื่อนยิ้มช่วงกำลังจะเอื้อนเอ่ยก็ถูกช่างภาพมือหนึ่งลอบบันทึกไว้ในหน่วยความจำของกล้องตัวใหญ่สีดำเมี่ยม


“อื้อ ถ่ายรูปขึ้นเหมือนกันนะเราเนี่ย” ทแกล้วปราดเข้ากระแซะหญิงสาว มือใหญ่ขนยุบยั่บเอียงหน้าจอกล้องให้ดูผลงานจากการลั่นชัตเตอร์เมื่อครู่


“ขึ้นอืดรึเปล่าคะน้าแก้ว” คนถูกแอบถ่ายชิงดักคอ หัวเราะคิก มัชฌิมาจ้องภาพใบหน้าตนเองในจอสี่เหลี่ยมเล็กแล้วเขินอย่างไรชอบกล ครั้นลองนึกดู...คนถ่ายฝีมือเทพซ้ำกล้องที่ใช้ก็ประสิทธิภาพระดับเซียน ฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ภาพเธอจะดูมีชีวิตชีวาราศีจับเกินตัวจริง


“ขึ้นองขึ้นอืดอาไร้!” เจ้าของกล้องหลิ่วตา ค้านเสียงสูง “ไซส์อย่างหนูเตยเนี่ยเขาเรียกว่าจ้ำม่ำ มีน้ำมีนวล เห็นแล้วมันเขี้ยว!” ทแกล้วครางฮื่อ มือไวบีบต้นแขนนุ่มนิ่มของหญิงสาวหมับ ไม่ยอมปล่อย


มัชฌิมาผวาหนี ยกปิ่นโตขึ้นเป็นเกราะบังกาย ทว่าคนทะเล้นทำทีเล่นทีจริง ยิ้มกรุ้มกริ่ม ตั้งท่าจะจู่โจมคลุกวงในอีกรอบ


“ไอ้หมาแก้ว!! ออกมาห่างๆ ลูกสาวฉัน!!” คำสบถกร้าวแผดราวฟ้าผ่า รอนกรากเข้ามาทางด้านหลัง ทึ้งผมยาวหยิกของทแกล้วจนหน้าหงาย ร่างยักษ์ถอยกรูดตามแรงฉุดกระชากชนิดไม่ปรานีปราศรัย


“โอ๊ย! ป๋า...เบาหน่อย ผมไม่อยากหัวล้าน...” ทแกล้วร้องอู้ เจ็บหัวก็เจ็บ ห่วงกล้องในมือก็ห่วง จะขัดขืนดิ้นรนท่าไหนก็ไม่ถนัด กว่าจะสำนึกตัวว่ากระตุกหนวดเสือรอนไปหลายเส้นก็สายเกินแก้ นับแต่รู้จักกันมามีอยู่เพียงสองเรื่องเท่านั้นที่ใครบังอาจแตะแล้วองค์เจ้าแม่กาลีจะลงประทับร่างหนุ่มใหญ่ผู้สุขุมนุ่มลึกในฉับพลัน หนึ่งคือผู้ชายหน้าตาดี สองคือแม่สาวแก้มป่องตาใสแจ๋วชื่อมัชฌิมา และเผอิญว่าวันนี้เขาเล่นแตะครบทั้งสองอย่างเลยด้วยซี บิงโก!


“ปากว่ารักเหมือนลูกเหมือนหลาน แต่เผลอเป็นไม่ได้! ตอดเล็กตอดน้อยอยู่เรื่อย!!” พ่อทูนหัวคำรามฉุนเฉียว


คนหน้าเถื่อนยกมือยอมจำนน ปากละล่ำละลักรับคำเป็นมั่นเหมาะ “ยอมแล้วคร้าบ...ยอมแล้ว แก้วไม่ทำอีกแล้วคร้าบป๋า...แค่คิดก็ไม่กล้าคร้าบ ไม่เอาแล้วจริงๆ”


จนเมื่อฟังคำสัญญิงสัญญาจนพอใจแล้วนั่นแหละ มือแข็งปานคีมเหล็กที่ขยุ้มจิกกลางกบาลช่างภาพหนุ่มจึงถอนออก ผมหยิกหยาบร่วงผล็อยลงพื้นหลายเส้น เจ้าของเห็นแล้วได้แต่สูดปากมองตามตาปริบ ทั้งเจ็บทั้งเสียดาย


“จำใส่กะโหลกหนาๆ ของแกไว้ไอ้แก้ว ห้ามแกมาเกาะแกะแทะโลมลูกสาวฉันอีกเป็นอันขาด!” รอนขยับยืนประจันหน้าหนุ่มรุ่นน้อง มือข้างหนึ่งเท้าเอว ข้างหนึ่งยกชี้หน้าย้ำเคร่งครัด “ดูแต่ตา มืออย่าต้อง เข้าใจมั้ย! ถ้าเกิดหื่นนักละก็ มาลวนลามฉันแทนนี่...มา ตรงไหนยังไงก็ได้ ฉันไม่ถือ!” คำหลังกึ่งประชดกึ่งเอาจริงเสียจนทแกล้วขนลุกเกรียว


“โหย พวกเดียวกันยังไม่เว้นเนาะ กินไม่เลือก ระวังท้องเสีย” ชายเคราดกช้อนตามองหวั่นๆ ท้วงอุบอิบในลำคอ ทว่าอีกฝ่ายเดาความได้ทะลุปรุโปร่ง มะเหงกจึงลอยหวือใส่ยอดหน้าเป๊กใหญ่


เสียงแตรแหลมยาวดังขึ้นราวระฆังหมดยก รถเก๋งสีบรอนซ์กลางเก่ากลางใหม่แล่นปราดมาเทียบเชิงบันได สาวร่างผอมเลื่อนกระจกลง ชะโงกหน้ากวักมือเรียกทแกล้วล้งเล้ง


“ผมไปทำงานละป๋า...น้าไปก่อนนะจ๊ะหนูเตยจ๋า เทคแคร์จ้า จุ๊บๆ” คนตัวใหญ่เอ่ยลารุ่นพี่แกนๆ ครั้นหันไปทางมัชฌิมาหน้าตาพลันระรื่น สำเนียงลาหวานจ๋อย ไม่เหลือเค้าคนสำนึกผิดอยู่หลัดๆ แม้สักธุลีเดียว


รอนถลึงตาเขียวปั้ดใส่แผ่นหลังเทอะทะ ใจอยากจะด่าส่งให้สมแค้น ครั้นเหลียวไปเจอตากลมแป๋ว ยิ้มละมุนละไมของหญิงสาวเข้าอารมณ์ก็เปลี่ยนกะทันหัน ความหงุดหงิดงุ่นง่านมลายหายไปสิ้น


“ไม่เจอลูกสาวตั้งหลายวัน ป๋าคิดถึงจะแย่” ความรักใคร่เอ็นดูแผ่ซ่านไปทั่วทั้งใบหน้าและกระแสเสียงของหนุ่มใหญ่ ความรู้สึกขาดจากการที่เขาไม่อาจมีแต่งงานมีลูกเต้าเฉกเช่นคู่สามีภรรยาปกติถูกเติมเต็มนับแต่ได้เจอ ‘ลูกสาว’ คนนี้ เขาชื่นชมทุกสิ่งอย่างที่หล่อหลอมขึ้นเป็นมัชฌิมา นิสัยใจคออ่อนโยน ห่วงใยใส่ใจคนรอบข้าง ขยันขันแข็งไม่เคยเกี่ยงงาน ยามมองดวงตาใสซื่อและรอยยิ้มจริงใจคล้ายว่าจะเผื่อแผ่ความสุขให้คนทั้งโลกได้นั่น ไม่ว่าเขาจะกำลังท้อแท้ผิดหวังหรือหัวเสียเป็นบ้าเป็นหลัง อะไรที่มันปั่นป่วนกวนใจจะถูกสะกดให้สงบนิ่งอย่างน่าประหลาด


“เตยก็คิดถึงป๋ารอนเหมือนกันค่ะ นี่...วันนี้เตยมีข้าวผัดสูตรใหม่มาให้ป๋าลองชิมด้วยนะ” หญิงสาวชูเสบียงอวดตรงหน้า รอนจึงฉวยปิ่นโตหนักอึ้งไปถือไว้เสียเอง เพราะหากเอ่ยปากขอช่วยล่ะก็มัชฌิมาคงปฏิเสธอีกตามเคย


“เอาวางไว้ในห้องกินข้าวก่อนก็ได้นะคะป๋า หนักออก เดี๋ยวเตยขอเอาของขึ้นไปเก็บที่โต๊ะแป๊บนึง”


“โอ๊ย ไม่ได้หรอก ขืนวางทิ้งไว้ มีหวังพวกแร้งได้รุมทึ้งไม่เหลือซากกันพอดีน่ะสิ” รอนพูดติดตลก บุ้ยหน้าไปทางกลุ่มพนักงานท้องยุ้งพุงกระสอบที่สุมหัวอยู่ในห้องรับประทานอาหาร มัชฌิมามักจะมีขนมอร่อยๆ ติดปิ่นโตมาแจกจ่ายให้เพื่อนร่วมงานกินแกล้มน้ำชากาแฟไม่เคยขาด ถ้าหากต้องฝากปิ่นโตไว้กับแก๊งสวาปามพวกนั้น ขนมนมเนยกองกลางเป็นได้หายวับไปในชั่วพริบตา ไม่มีเหลือรอดถึงปากท้องคนอื่นแน่เชียว


“หนักแค่นี้เองป๋าถือได้ สบายมาก ไปเถอะ...ป๋าก็ต้องขึ้นข้างบนด้วยเหมือนกัน ลืมมือถือไว้” เขาย้ำกึ่งเร่ง


ร่างอวบอิ่มของคอลัมนิสต์สาวก้าวนำรอนขึ้นไปยังห้องทำงานชั้นสอง ทว่าไม่ทันไรเสียงร้องขอทางก็ไล่จี้ตามหลัง มัชฌิมาชะงักฝีเท้า ยืนชิดมุมบันไดด้านหนึ่ง ปล่อยให้ขบวนชายชุดฟ้าลำเลียงกระถางต้นไม้และภาพติดผนังขนาดใหญ่เคลื่อนพ้นไปหมดเสียก่อน แล้วจึงค่อยขยับตามไปห่างๆ ในระยะปลอดภัย


สภาพห้องทำงานที่ปรากฏแก่สายตาสร้างความตื่นตะลึงให้หญิงสาวมากทีเดียว แสงแดดแจ่มจ้าส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามาภายในได้โดยสะดวก ห้องหับที่เคยคับแคบแออัดวันนี้กลับโปร่งโล่ง แสสว่างไสวสบายตา ผนังเบาสี่ด้านซึ่งเปรียบเหมือนพรมแดนทะมึนระหว่างเจ้านายลูกน้องถูกรื้อถอนออก ชุดโซฟาและของประดับโอ่อ่าราคาแพงระยับก็ถูกขนย้ายไปจนเลี่ยน เหลือไว้เพียงแต่โต๊ะทำงานและเก้าอี้ชุดเดียวเท่านั้น


ลักษณะการตกแต่งห้องมักบ่งบอกตัวตนผู้เป็นเจ้าของได้หลายอย่าง ดังเช่นคุณสุรัตน์ บรรณาธิการบริหารคนก่อน รายนั้นค่อนข้างไว้ตัว แต่ละวันเมื่อสั่งงานเสร็จเธอจะขังตัวเองอยู่ในอาณาจักรส่วนตัวที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ไม่สุงสิงกับใคร หากอารมณ์ไม่ดีหรือมีอะไรไม่ได้ดั่งใจนั่นแหละจึงจะออกมาเอ็ดตะโรลั่นเสียทีหนึ่ง เรียกได้ว่าคุณสุรัตน์ย่างกรายไปทางฝ่ายไหน ฝ่ายนั้นได้เงียบกริบราวป่าช้าคืนเดือนดับ มวลความกดดันมหาศาลแผ่ปกคลุมทั่วทุกตารางนิ้ว พื้นที่ทำงานซึ่งมีจำกัดจำเขี่ยอยู่แล้วยิ่งแน่นขนัดชวนอึดอัดเป็นทบเท่า


มัชฌิมาหันมองรอบๆ อย่างพินิจพิเคราะห์ ชายชุดฟ้าหลายคนกำลังช่วยกันขยับขยายเครื่องใช้สำนักงานออกมาจากมุมอับและจัดการเดินสายไฟเสียใหม่ พื้นที่เปล่าดายตามเหลี่ยมมุมต่างๆ ได้รับการแต่งแต้มสีสันจากไม้ประดับหลากขนาดหลายรูปทรง สร้างความสดชื่นกระชุ่มกระชวยให้ห้องทำงานได้ดียิ่ง ดวงตาดำขลับจับจ้องโต๊ะทำงานเดี่ยวที่ตั้งเด่นอยู่กลางห้องแน่วนิ่ง รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างห้ามไม่ได้ หญิงสาวนึกอยากพบบรรณาธิการบริหารคนใหม่ขึ้นมาครามครัน...อยากรู้จริงว่าเขาจะเป็นแบบที่เธอคาดเดาไว้ไหมหนอ


“ป๋าคะ เจ้านายคนใหม่จะมาวันไหนเหรอ” หญิงสาวพ่ายแก่ความสงสัย สะกิดถามพี่ใหญ่ผู้กว้างขวางรอบรู้ประจำสำนักพิมพ์


ทว่ารอนส่ายหน้าดิก เรื่องนี้กระทั่งคนหูตาเป็นสับปะรดอย่างเขายังจนด้วยเกล้า เล่นเอาเสียเหลี่ยมมิใช่น้อย


“ป๋าเองก็ยังไม่รู้ ต้องรอเลขาฯ คุณภารณีแจ้งมาอย่างเดียว” เขาผ่อนลมหายใจแผ่วยาว หยุดคิดนิดหนึ่งก่อนจะรำพึงออกมาเชิงปรับทุกข์ “เรื่องลูกชายคุณภารณีไม่ค่อยมีใครรู้เลย ไฮโซโลว์โปรไฟล์ของแท้ล่ะคนนี้ ก็อย่างว่าน่ะนะ เตยคงเคยได้ยินข่าวซุบซิบมาบ้างใช่ไหม...”


หนุ่มใหญ่ละคำไว้ในฐานที่รู้กัน เรื่องที่คุณภารณี ปรัชวิภู นางสิงห์ทรงอำนาจแห่ง ‘ไฮโวลเทจ พับลิชชิ่ง’ เป็นคุณแม่ใบเลี้ยงเดี่ยว บุตรชายเพียงคนเดียวถูกส่งไปต่างประเทศตั้งแต่เยาว์วัย หลังจากนั้นก็ไม่มีใครทราบข่าวคราวความเคลื่อนไหวใดๆ อีก ทั้งที่คุณภารณีเป็นสาวสังคมชั้นสูงที่ทุกคนคอยจับตามองแทบทุกฝีก้าว ราวกับมีใครจงใจปกป้อง...ไม่ก็ต้องการปกปิดเรื่องของทายาทปรัชวิภูไม่ให้คนนอกได้รับรู้


คอลัมนิสต์สาวหวนนึกถึงเรื่องซุบซิบที่เคยได้ยินผ่านหูพลางพยักหน้ารับเบาๆ คนมั่งมีมหาศาลใช่จะสมบูรณ์พูนสุขไปเสียทุกด้าน เธอสำนึกว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่มีครอบครัวอบอุ่นพร้อมหน้า ถึงไม่ร่ำรวยล้นฟ้า แต่ทุกวันก็มีความสุขเรียบง่ายตามอัตภาพ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับชีวิตคนๆ หนึ่ง

.
.
.

(บทที่ ๒ ขอแบ่งเป็นสองส่วนนะคะ ท่อนจบเจอกันช่วงกลางๆ เดือนค่ะ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่