เมื่อถามลูกว่าฝันอยากเป็นอะไร ลูกตอบว่าอยากเป็นคนธรรมดา (อาการของเด็กแอสเพอร์เกอร์ซินโดรมที่มีปัญหาในโรงเรียน)

นึกย้อนหลังไปไม่กี่เดือนก่อน จขกทเคยถามลูกสาววัย 7 ขวบว่าอยากเป็นอะไรก็ได้คำตอบว่า หนูอยากเป็นคนธรรมดา ในตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรก็ยังถามเค้ากลับว่าแล้วคนธรรมดาเป็นยังไง แล้วหนูไม่ฝันอยากเป็นอย่างอื่นเหรอ น้องก็ยังยืนยันว่าแค่อยากเป็นคนธรรมดา เราก็ยังแอบขำอยู่ว่าเค้าคิดแปลก

ครอบครัวเราอาศัยที่ต่างประเทศค่ะ น้องเป็นลูกครึ่งใช้ชีวิตส่วนใหญ่ที่ตปท แต่มีบางช่วงที่ได้ใช้ชีวิตที่เมืองไทยและเข้าโรงเรียนนานาชาติที่ไทยค่ะ  ช่วงสามขวบน้องเริ่มเข้าเรียนอนุบาลนานาชาติค่ะ น้องมีปัญหาในการแยกจากแม่ในตอนเช้าตลอดช่วงเวลาที่เรียนคือทุกเช้าต้องร้องไห้ตอนแยกจากแม่แต่หลังจากนั้นก็จะโอเค  ทุกครั้งที่มีงานแสดงที่โรงเรียนแล้วแม่ไปดูน้องแสดงแต่ะจะคอยห่วงมองหาแม่ทำให้แม่ต้องนั่งหลบ ๆ ไม่ให้น้องเห็นเวลาแสดงค่ะ  มีครั้งนึงในงานคริสต์มาสที่โรงเรียนแล้วน้องต้องแยกจากแม่หลังการแสดงเพื่อไปอยู่กับเพื่อน น้องร้องไห้ไม่หยุดแถมไม่ยอมให้คุณครูจับตัวคอยแต่จะหลบและหนีออกมาตามหาแม่  อาการเช่นนี้เมื่อจขกทมองย้อนกลับไปทำให้คิดว่าน้องน่าจะมีปัญหากับสิ่งกระตุ้นคือเสียงและสถานการณ์ที่วุ่นวายแปลกใหม่ในงานคริสต์มาสและเกิดอาการกังวลจนควบคุมตัวเองไม่ได้

ต่อมาน้องย้ายไปเข้าโรงเรียนเดียวกับพี่ชาย ช่วงปีแรกก่อนขึ้น ป1 น้องทำได้ค่อนข้างดีคือยังร้องไห้บ้างเวลาแยกจากแม่ตอนเช้าแต่ก็จะแค่แป๊บเดียว น้องฟังคำสั่งคุณครูได้และเล่นกับเพื่อนได้ดี น้องมีเพื่อนสนิทที่ตัวติดกันมากหนึ่งคนค่ะ ปีนี้น้องค่อนข้างแฮ๊ปปี้เพราะการเรียนการสอนเป็นแบบ Child center คือแบ่งเป็น station เล็ก ๆ และ ให้เด็ก rotate ไปเรื่อย ๆ ตามความสนใจ  

น้องเริ่มมีปัญหามากขึ้นที่โรงเรียนเมื่อเข้า year 1 เพราะการเรียนเริ่มเข้มข้นขึ้นและมี structure มากขึ้น ทุกคนต้องทำตามที่คุณครูสั่งให้ทำ น้องไม่ชอบเข้าแถวขึ้นห้องตอนเช้า การแยกจากแม่ในตอนเช้ายากขึ้นจนคุณครูต้องหาวิธีต่าง ๆ นานามาใช้เพื่อให้น้องเข้าห้องเรียนให้ได้ซึ่งก็จะมีการบังคับกันทุกเช้า  น้องเริ่มไม่ฟังคำสั่งคุณครูเวลาให้ทำงานต่าง ๆ ที่เค้าคิดว่ายาก ยกเว้นงานที่เค้าชอบเค้าก็จะทำได้ดี  คุณครูเรียกผปคไปพบและได้ใช้มาตรการทั้ง strict มากขึ้นที่บ้านและโรงเรียน และ reward คือให้รางวัลเป็นสติคเกอร์หรือของรางวัลต่าง ๆ เมื่อน้องเรียนและเชื่อฟังคำสั่งได้ดี  ทั้งครูและพ่อแม่คิดว่าน้องต้องการทดสอบผู้ใหญ่ว่าจะทำอย่างไรเวลาเค้าดื้อหรือไม่เชื่อฟัง ทำให้เราเริ่ม strict และจัดระบบให้รัดกุมขึ้นทั้งที่บ้านและโรงเรียน  เป็นช่วงเวลาที่เครียดมาก ๆ สำหรับพ่อแม่และที่โรงเรียนค่ะ  

จากเหตุการณ์ด้านบน เราเคยคิดว่าน้องตั้งใจทำเพื่อเทสต์พ่อแม่และครูว่าจะทำอย่างไรกับเค้าถ้าเค้าดื้อและไม่เชื่อฟัง  แต่เมื่อเราได้ศึกษาอาการของเด็กแอสเพอร์เกอร์แล้วเราคิดว่าลูกสาวเราเข้าข่ายมากและเสียใจที่เอะใจหรือรู้มาก่อนที่เค้าจะเป็นมากขึ้น

หลังจากนั้นครอบครัวเราย้ายไปอยู่ต่างประเทศค่ะ  ก่อนย้ายโรงเรียนเราเคยบอกลูกว่าให้ทิ้งทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นที่โรงเรียนเก่า ทั้งที่เค้าเคยทำหรือที่คุณครูเคย react กับสิ่งต่าง ๆ ที่เค้าทำไปซะ  เราไปโรงเรียนใหม่ เพื่อนใหม่ ไม่มีใครรู้จักหนู ครูและเพื่อนจะน่ารักกับหนูถ้าหนูเป็นเด็กดีและเชื่อฟัง  เค้าเข้าใจและพยายามทำดีที่สุด น้องผ่าน assessment ของโรงเรียนใหม่ได้สบายเพราะน้องไม่มีปัญหาในด้านการเรียน น้องเริ่มโรงเรียนใหม่วันแรกแบบที่พ่อแม่ภูมิใจที่สุดคือน้องเดินเข้าห้องตามเพื่อน ๆ ไปเองหลังกล่าวลาพ่อแม่แล้ว เรายังจำภาพนั้นได้ดี  น้องเรียนที่โรงเรียนนี้ได้ดีในสองเทอมแรก โดยพ่อแม่ให้ขึ้นรถโรงเรียนไปกับพี่ชายอายุ 11 ปีเพราะเห็นว่าทำให้การแยกจากพ่อแม่ในตอนเช้าง่ายขึ้นเมื่อน้องแยกจากพ่อแม่แล้วขึ้นรถโรงเรียนที่เงียบ ๆ ไม่วุ่นวายทำให้น้องได้มีเวลาสงบก่อนเข้าชั้นเรียน น้องทำได้ดีและเราสองคนพ่อแม่ก็เริ่มรู้สึกว่า nightmare คงจะจบลงแล้ว  แต่เมื่อขึ้น year 2 เทอมสอง น้องเริ่มมีอาการไม่อยากขึ้นรถโรงเรียน จนครูใหญ่ต้องเป็นคนมาเอาตัวลงจากรถ ซึ่งการเอาตัวน้องลงจากรถโรงเรียนนี่ยากมาก คือมีทั้งดิ้นทั้งเตะ ทำทุกอย่างเพื่อไม่ต้องเข้าโรงเรียน น้องเริ่มมีอาการไม่ฟังครูที่สอนไม่ทำงานที่ครูสั่งทั้ง ๆ ที่อาทิตย์ก่อนหน้าน้องเพิ่งได้รางวัลนักเรียนดีเด่นของสัปดาห์เพราะสามารถอ่านหนังสือได้เก่งขึ้นมาก  น้องเริ่มวิ่งออกจากห้องเรียนและใช้เวลาเดินไปเดินมารอบโรงเรียนโดยมี teaching assistant เป็นคนเดินตามเพราะกลัวน้องได้รับอันตราย น้องติด teaching assistant มากและไม่สามารถทำงานได้เองหากไม่มีคนช่วยตัวต่อตัว และงานที่น้องคิดว่ายากน้องก็จะปฎิเสธไม่ทำเลย น้องเริ่มมีอาการก้าวร้าวเวลาถูกบังคับมาก ๆ โดยเมื่อถูกบังคับให้กลับเข้าห้องหรือจับตัวไว้น้องจะเริ่มเตะและดิ้นให้หลุดแล้ววิ่งหนี  โรงเรียนเริ่มรับมือไม่ไหวเพราะ teaching assistant ต้องดูแลเด็กคนอื่นด้วย ตอนเช้าแม่ต้องไปส่งที่โรงเรียนเพราะน้องไม่ยอกขึ้นรถโรงเรียน และแม่ต้องอยู่โรงเรียนนานขึ้น ๆ ทุกวัน น้องไม่สามารถอยู่โรงเรียนได้โดยไม่มีแม่คอยอยู่ด้วยอีกแล้ว หากแม่กลับบ้านเราจะได้รับโทรศัพท์จากโรงเรียนในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมาให้มารับน้องกลับเพราะน้องไม่ response กับคำสั่งและวิ่งหนีออกนอกห้องตลอดเวลา เราตัดสินใจให้น้องออกจากโรงเรียนและทำโฮมสคูลเอง น้องเรียนกับแม่หนึ่งเทอมที่บ้านโดยใช้โปรแกรม K12 ของอเมริกาซึ่งน้องเรียนได้ดีมากและจากการที่เรามาสอนเองเรารู้ว่าน้องรู้น้อยกว่าความสามารถตัวเองมาก แต่ภายในหนึ่งเทอมที่สอนที่บ้านน้องสามารถ catch up ได้ตาม level และเชื่อฟังคำสั่งพ่อแม่ที่บ้านได้เป็นอย่างดี

จากการสังเกตพฤติกรรมน้องที่โรงเรียนเก่าทำให้เห็นว่าน้องเครียดมาก มีการแสดงออกแปลก ๆ เช่นมุดไปใต้โต๊ะหรือรบกวนครูเวลาสอนโดยเดินไปหาและกระตุกชายเสื้อให้ครูสนใจและเริ่มมีอาการก้าวร้าวหากโดนจับตัวเวลาวิ่งออกนอกห้อง ซึ่งเริ่มลามกลับมาที่บ้านด้วยเริ่มไม่เชื่อฟัง ทำให้เครียดไปตาม ๆ กัน แต่เมื่อน้องได้กลับมาทำ homeschool น้องนิ่งขึ้นและเชื่อฟังคำสั่งได้ดีขึ้น ทำให้พ่อแม่คิดว่าน้องน่าจะพร้อมกลับไปโรงเรียนได้แล้ว  เราจึงหาโรงเรียนที่เล็ก ๆ ดูอบอุ่น จำนวนเด็กต่อชั้นน้อย ๆ เพื่อให้เค้าไม่เครียด  

เมื่อเข้าเรียนที่ใหม่พร้อมกับความหวังมากมายทั้งตัวน้องเองและพ่อแม่ว่าน้องต้องทำได้  วันแรกเมื่อพ่อแม่กลับบ้านน้องก็เดินออกจากห้องเลย ไม่สามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมในห้องได้ จนโรงเรียนต้องโทรมาให้แม่ไปอยู่ด้วยสักพักน้องก็ดีขึ้นและให้แม่กลับบ้านได้  แต่ยิ่งเวลาผ่านไปยิ่งทำให้รู้ว่าน้องยังปรับตัวไม่ได้เลย ยิ่งนานวันยิ่งแย่ลงและอาการเก่า ๆ เหตุการณ์เก่า ๆ ก็กลับมา คือน้องหนีออกจากห้อง น้องไม่สามารถฟังคำสั่งได้ตลอดเวลา (ถ้าเวลาน้องไม่เครียดน้องเรียนได้ดีและ assessment ที่ครูประจำชั้นทำตอนน้องไม่เครียดก็แสดงให้เห็นว่าน้องเป็นเด็กที่ฉลาดมากคนหนึ่งในชั้น) และเมื่อถูกจับตัวไม่ให้วิ่งหนีน้องก็จะดิ้นและเตะจนหลุดออกมาได้แล้วพยายามหนีไป บางครั้งก็ไปขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำ  จนโรงเรียนบอกว่าน้องต้องมี learning assistant ของตัวเองไว้คอยดูแลน้องคนเดียว แต่หลังจากหนึ่งอาทิตย์ที่มี assistant น้องก็ยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แม่สังเกตอาการของน้องเวลาอยู่ในห้องและแม่อยู่ด้วย น้องทำงานได้ดีเวลาทำงานคนเดียว  หรือกลุ่มเล็ก ๆ แต่เวลาต้องอยู่ในกลุ่มใหญ่ ๆ เช่นนั่งฟังครูเล่านิทาน น้องไม่สามารถนั่งเข้ากลุ่มกับเพื่อน ๆ ได้ น้องอาจนั่งอยู่ห่าง ๆ หรือเดินไปเดินมาทำอะไรคนเดียวอยู่รอบ ๆ ห้อง เวลาต้องเปลี่ยนวิชาจากที่หนึ่งไปอีกที่น้องมีปัญหามากเพราะไม่สามารถปรับตัวได้เลย  จากเหตุการณ์นี้แม่เริ่มคุยกับพ่อว่าน้องควบคุมตัวเองไม่ได้ และน้องมีอาการถูกกระตุ้นจากสถานการณ์ในห้องและโรงเรียนจนถึงระดับที่ควบคุมไม่ได้และแสดงอาการแปลก ๆ ออกไป เช่น happy เกินเหตุหรือมุดใต้โต๊ะเวลามีผู้ใหญ่เข้ามาคุยด้วย ถ้าจะเปรียบเทียบฟฤติกรรมน้องที่บ้านกับโรงเรียนเหมือนเป็นคนละคนกันเลยค่ะ  น้องไม่เคยร้องงอแงไม่อยากไปโรงเรียน น้องอาบน้ำแต่งตัวได้เองกินข้าวนั่งรถไปโรงเรียนมีความสุขทุกเช้า แต่เมื่อเข้าสู่สถานการณ์เดิม ๆ ที่โรงเรียนน้องก็จะเป็นเหมือนเดิมคือไม่สามารถควบคุมตัวเองได้  

เราสองคนพ่อแม่เคยปรึกษาทั้งจิตแพทย์และนักจิตวิทยาแต่ไม่เคยมีหมอท่านไหนกล่าวถึง asperger syndrome เลย แม่เคยหาข้อมูลมาบ้างแต่ก็ไม่แน่ใจเพราะที่บ้านน้องช่วยเหลือตัวเองได้ดีแถมมีเพื่อนมากมาย คือไม่มีปัญหาในการเข้าสังคมเลยเวลาไม่เครียด แต่น้องก็เป็นเด็กขี้อายที่ไม่ค่อยพูดกับผู้ใหญ่ที่ไม่คุ้นเคย

เราได้ยินชื่อ Asperger อีกครั้งจาก School for special need children ที่เราไปติดต่อไว้หลังจากให้น้องออกจากโรงเรียนเดิม และเริ่มหาข้อมูลเพิ่มเติม ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกว่าลูกเราน่าจะเข้าข่ายแม้จะไม่มีอาการทุกอย่างและลูกดูปกติเวลาอยู่ที่บ้านก็ตาม เรากำลังจะกลับเมืองไทยในช่วงปิดเทอมนี้และอยากพาลูกไปพอจิตแพทย์เด็กที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้ค่ะ  รบกวนพ่อแม่ที่มีประสบการณ์แนะนำด้วยนะคะ

ปล. เข้าหัวข้อกระทู้ที่โปรยไว้นิดนึง  ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้เราได้คิดทบทวนไปถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตลูกและรู้สึกแย่ที่ไม่สามารถช่วยลูกได้เร็วกว่านี้  ทุกครั้งที่พ่อแม่ไปรับน้องกลับจากโรงเรียนหลังเกิด crisis บางครั้งพ่อแม่ก็เบรคแตกและดุน้องไปว่าทำไมไม่พยายาม น้องดูเศร้ามากและพยายามทำให้พ่อแม่happy ทั้งเอาใจทั้งทำดีสารพัด  พี่ชายของน้องเคยเล่าให้ฟังว่าน้องมักจะเดินเข้าไปกอดเด็กผู้หญิงเพื่อนของพี่ชายหลาย ๆ คน  เราคิดว่าน้องรู้สึก lost ที่โรงเรียนเพราะใคร ๆ ก็มี response ที่แย่ๆ กับน้องเนื่องจากพฤติกรรมของน้องเอง  ทำให้น้องโหยหาความรักและการยอมรับจากใคร ๆ ที่โรงเรียน  

การที่น้องตอบว่าอยากเป็นคนธรรมดาเมื่อแม่ถามว่าเค้าอยากเป็นอะไรในอนาคต  แสดงให้เห็นว่าน้องรู้ว่าตัวเองต่างจากคนอื่นและการเป็นคนธรรมดาก็เป็นความฝันที่เค้าอยากทำให้ได้  เล่าเรื่องนี้ให้พ่อน้องฟังพ่อร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใครเลย  เราสองคนจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อน้องได้มีที่ยืนในสังคมอย่างมีความสุขค่ะ  ขอคำปรึกษาเพื่อน ๆ ที่มีประสบการณ์ด้วยค่ะว่าเราควรไปหาหมอที่ไหนและที่เมืองไทยมีโรงเรียนหรือ center สำหรับเด็กที่มี learning differences ที่ไหนบ้างคะ  ขอบคุณค่ะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 11
แวะเข้ามาอ่านนะครับ อยากจะบอกหลายๆอย่างเลยนะครับ ก่อนอื่นเลย สิ่งที่ผมบอกอันนี้มาจากความรู้สึกผมนะครับ และอย่างที่2 คือผมเป็นเด็กพิเศษแบบเดียวกับน้อง ซึ่งของผมอาจจะมีอาการที่หนักกว่าสมัยประถม(ยังจำได้ดี) เป็นอะไรที่เศร้ามากๆเลย

มาเรื่องแรกเลยนะครับ ผมจะอธิบายตามความรู้สึกน้องลูกคุณแม่โดยใช้ความรู้สึกผมเป็นเกณฑ์นะครับ เรื่องที่น้องเค้าไม่ยอมทำตามคำสั่งนะครับ ผมก็เป็นเช่นกัน เด็กพิเศษประเภทนี้จะต่อต้านคำสั่งหลายอย่างที่ตัวเองไม่ชอบ และทนอะไรไม่ได้ด้วย สำหรับตัวผมเองนะครับ ผมจะถูกให้ทำบางอย่าง เช่น ทำการบ้านที่ไม่ชอบทำ หรืออะไรต่างๆ หรือสิ่งผมกลัว เช่นการเหยียบพื้นห้องน้ำ เมื่อผมไม่ชอบมากๆ ผมก็จะโวยวายก่อน และก็จากนั้นก็จะอาละวาด ไม่ยอมทำ และยิ่งคนอื่นมาควบคุมผม ผมก็จะโมโหมากขึ้นจน อาจจะถึงขั้นทำร้ายคนอื่นได้เลยนะครับ พฤติกรรมอื่นของน้องก็จะมีบ้าง คุณแม่อาจจะต้องลดความพยายามลงนะครับ ใช้วิธีการพูดคุยนะครับ

อย่างต่อมานะครับ เรื่องของการเข้ากิจกรรมกลุ่มนะครับ ผมบอกเลยว่า คุณแม่อาจจะสังเกตว่าน้องเค้าอาจจะชอบอยู่คนเดียวมากกว่า ความจริงไม่เป็นอย่างนั้นนะครับ หลายคนชอบคิดว่า เด็กพิเศษประเภทนี้มักจะชอบอยู่คนเดียว แต่น้องเค้าอยากมีเพื่อนละครับ แต่สภาพบรรยากาศกดดันเกินไป เวลาที่ผมอยู่กับคนหมู่มากนะครับ ก็จะกลัวและกังวนละครับ น้องเค้าน่าจะไม่สามารถนึกความรู้สึกได้เอง ผมก็เป็นเช่นกัน อย่างเช่นนึกความรู้สึกโมโห ตอนที่กำลังไม่ความสุขไม่ได้ ถึงรู้ว่าเค้าทำไม่ดีกับผม อารมณ์จะเป็นไปตามสภาพแวดล้อมเท่านั้นนะครับ ผมคิดว่าน้องเค้าน่าจะเป็นอย่างนี้ คุณแม่อาจจะต้องลดเรื่องของสังคมในห้องเรียน แต่ก็อย่าถึงกับไม่มีเลยนะครับ อาจจะมีเพื่อนเรียนร่วม 2-3 คน และค่อยๆ เพิ่มจำนวนมาขึ้นนะครับ

อย่างที่3 เรื่องความเข้าใจสภาพแวดล้อม ที่จริงแล้วน้องเค้าอยากมีส่วนร่วมนะครับ แต่แสดงไม่เป็น หมายความว่า ถ้าครูกำลังอธิบายอยู่ แต่ครูคนนี้เสียงดัง น้องเค้าจะไม่ชอบ ไม่อยากได้ยิน เพราะคิดว่าครูกำลังคุกคามน้องเค้าอยู่ หรืออยากไปกระตุกเสื้อครูแสดงว่า น้องเค้าอยากคุยกับครู อยากแสดงความรู้สึก แต่ไม่สามารถแสดงออกได้ เพราะอาจจะบกพร่องในเรื่องของการแสดงตามรู้สึกนะครับ และที่นี้คนรอบข้างน้องเค้าไม่เข้าใจถึงความต้องการของน้อง ก็พากันต่อว่า ผมคิดว่าสภาพน้องตอนนี้ กับสภาพผมตอนประถม มันรู้สึกอึดอัดมากเลยนะครับ อยากแสดงความรู้สึก แต่แสดงออกไม่ได้ สุดท้ายผลลัพท์ก็ทำให้น้องซึมเศร้า เพราะสื่อสารความต้องการไม่ได้ และพวกเราก็พยายามป้อนพัฒนาการให้เค้า จนน้องเค้าไม่สามรถมีโอกาสแสดงความรู้สึกได้เลย อาจจะทำให้น้องเค้ารู้สึกผิดตลอดเวลานะครับ

การที่น้องเป็นอย่างนี้ เพราะเค้าอยากได้ความรักนะครับ ถ้าน้องเป็นเด็กพิเศษประเภทที่บอกมาจริง จะบอกว่าน้องเค้ารับความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้หรอก เพราะบกพร่องในเรื่องของการรับความรู้สึก น้องเค้าจะกลายเป็นเด็กที่รับอารมณ์ได้เพียงด้านเดียว นั้นคืออารมณ์ด้านลบนะครับ ผมอ่านจากที่บอกว่า ชอบกอดเพื่อนคนอื่น แสดงให้เห็นว่า อยากหาความรัก ความอบอุ่น แต่มันช่วยได้แค่แปปเดียวเท่านั้น  เพราะพอหมดสี่งเร้า น้องก็จะเป็นอย่างเดิมอีก ถ้ากระตุ้นให้เค้าเรื่อย เค้าก็จะต้องการเพิ่มขึ้นนะครับ คือเรื่องนี้ ต้องให้น้องเค้าอดทนให้ได้นะครับ มันยากมากๆ สำหรับผมแล้ว ผมยังทำไม่ได้เลย ก็นะครับ

ก็อันนี้ก็เป็นความรู้สึกผมนะครับ คุณแม่อาจจะบอกว่าน้องต้องเป็นเด็กแอสเพอร์เกอร์แน่นอนแน่ๆ ผมพอเข้าใจนะครับ คืออยากจะบอกว่า ในเด็กกลุ่มออทิสติกนะครับ สมัยนี้อาการจะไม่ตายตัวนะครับ เค้าเรียกว่าสเปคตรัมออทิสติก ซึ่งน้องเค้าอาจจะสื่อสารได้ดีในภาวะที่ไม่กดดัน แต่จะมีปัญหาแน่ๆ เมื่อน้องเค้าอยู่ในภาวะกดดันนะครับ เพราะผมเป็นเด็กกลุ่มนี้ เจอเรื่องแบบนี้มากนับไม่ถ้วน กว่าผมจะบรรยายความรู้สึกได้ก็ เรียนมหาลัยปี 3 แล้วละครับ ก็ต้องลองดูนะครับ ส่วนใหญ่ ถ้าอาการไม่ชัดเจน หมอไม่กล้าบอกหรอกว่าเป็น เพราะมีปัจจัยหลายอย่าง เช่น พ่อแม่รับไม่ได้ว่าลูกเป็น บางครอบครัวถึงกับทะเลาะกัน หย่าร้างกันเพราะเลี้ยงลูกไม่ได้ เป็นปัญหาหลายด้านจริงๆ ถ้าอาการคลุ่มเครื่ออย่างนี้ หมอเค้าจะตีเป็น PDD-NOS ไว้ก่อนเพื่อรอดูว่า เด็กจะเป็นแบบไหนมากกว่ากันนะครับ

คุณแม่มีอะไรสงสัยถามผมได้เลยนะครับ ผมอาจจะบอกว่า ผมไม่สามรถตอบได้ตรงๆ แต่ตองเชิงความรู้สึกของเด็กกลุ่มออทิสติก ผมตอบได้นะครับ ว่ารู้สึกอย่างไร เครียดอย่างไร ต้องการอะไรนะครับ เขียนมาได้เลยนะครับ ผมจะตอบให้ถ้ามีเวลาว่าง เพราะผมเองก็ผ่านจุดที่เป็นแบบน้องมาเหมือนกันนะครับ
ความคิดเห็นที่ 3
ดิฉันไม่ได้เป็น AS นะ  แต่ตอบเหมือนลูกคุณเด๊ะเลย
พ่อบอกว่า  ดิฉันเริ่มตอบแบบนั้นมาตั้งแต่อยู่ ป.3  
พ่อดิฉันเป็นครู  ถือว่ามีความรู้และมีจิตวิทยาการเลี้ยงลูกโอเค
พอลูกตอบแบบนั้น.. ท่านก็สมมติฐานไว้ก่อนว่า
ลูกตูคงเป็นพวกแรงจูงใจต่ำ
จากนั้นจึงคอยสังเกตพฤติกรรมลูก
และพยายามส่งเสริมให้ทำกิจกรรมโน่นนี่นั่น
จนกลายเป็นนักกิจกรรมตัวยงของโรงเรียนไปเลย
พักหลังกลายเป็นไฮเปอร์ จนพ่อต้องเบรคไว้ 555

ผ่านไปเกือบ 40 ปี  ทุกวันนี้ดิฉันโตแล้ว...
รู้สึกภูมิใจมากที่ได้เป็นคนธรรมดาสมใจนึก
การไม่ถูกจัดให้เป็นคนรวย คนสวย คนเก่ง คนเด่น คนดัง
ทำให้ดิฉันรู้สึกเป็นอิสระ  เบาสบาย  และเป็นสุข

ดิฉันคิดว่า ..
ความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาพร้อมกับ achievement  เสมอไป
แต่การอยู่กับความสมดุล..ความพอดี..พอเหมาะกับตัวเราต่างหาก
คือความสุขที่แท้จริง

ดิฉันคิดว่า..
ลูกคุณมาถูกทางแล้วล่ะค่ะ

อ้อ...ลืมให้ข้อมูลเรื่อง resource ของ Aspie
จขกท สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่รพ.มนารมย์ ได้นะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่