คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
จากประสบการณ์ทางตรง และทางอ้อม นับ 10++ ปี ในการเป็นลูกหนี้ผ่อนบ้านกับหลายธนาคาร
ผ่านกระบวนการซื้อ-ผ่อน-refinance-ขาย มาไม่น้อย ..ปัจจุบันยังผ่อนอยู่ 3 หลัง
( ไม่ได้จะอวดมั่งอวดมีนะคะ ..เป็นหนี้เยอะๆ ไม่น่าโชว์เท่าไหร่หรอกค่ะ ..ความจำเป็นบีบบังคับทั้งน้านนน..)
..บวกกับเห็นว่าคุณ จขกท. ยังอายุน้อย และไม่มีประสบการณ์เรื่องการเป็นหนี้ยาวๆ อย่างการผ่อนบ้านมาก่อน
จึงขออนุญาตแนะนำอย่างนี้นะคะ
ก่อนจะคิดอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง ..อย่างแรกที่คุณควรต้องมีก่อนคือ "ความมั่นคง"
มั่นคงในเรื่องหน้าที่การงาน , รายได้ , ความสามารถในการชำระหนี้ รวมไปถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่คิดว่าจะมาเป็นผู้กู้ร่วม
..ยกตัวอย่างเพื่อนสาวของพี่คนหนึ่ง คบกับแฟนมา 5 ปี ยิ่งกว่ามั่นใจว่าคนนี้แหล่ะ
ก็ไปผ่อนรถ ผ่อนบ้านด้วยกัน โดยกู้ร่วม ใช้เงินกระเป๋าเดียวกัน..ต่อมาสิ่งที่แน่นอนเหลือหลาย ..ก็คือความไม่แน่นอน
สองคนนั้น มีอันต้องเลิกรากัน ..ทีนี้ก็วุ่นวายไม่น้อย เพราะตอนรักกันมันยังไงก็ได้ แต่ตอนหมดรักกันนี่ ..ก็ลองนึกเรื่องต่อดูละกันค่ะ
..แต่พี่ไม่ได้แช่งคุณน้อง จขกท.นะ .. แค่อยากให้ประเมินเรื่องความมั่นคงในทุกๆ ด้าน ให้ดีๆ ก่อน เพราะสิ่งที่บอก มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และเคยเกิดขึ้นแล้ว
ประเด็นถัดมา หากเรื่องความมั่นคงผ่าน ก็มาดูเรื่อง "ความสามารถ"
..ด้านการหารายได้ vs รายจ่าย ถึงจะเหลือมาเป็นความสามารถในการชำระหนี้ หรือจ่ายค่างวดบ้าน
คนหนุ่มสาว มักจะนึกเสียดายค่าเช่าบ้าน / หอ ..ก็มักจะนึกอยากซื้อเลย ..แต่ที่จริงควรจะคิดให้มากกว่าการเสียดายค่าเช่า
เพราะการเป็นหนี้ก่อนใหญ่ และยาวนาน อย่างบ้าน ..ถ้าไม่พร้อมจริง แทบกระอักเลือดทุกรายค่ะ
อย่าง case ของคุณน้อง จขกท. และคุณแฟน ถ้าวิเคราะห์แบบตรงไปตรงมา เหตุผลล้วนๆ ไม่มีอคติ
..เพิ่งซื้อรถคนละคัน ผ่อนกันมาได้ไม่นาน รถทั้ง 2 คัน ยังมีภาระผ่อนอีกเกือบ 5 และ 6 ปี ค่างวด 2 คัน ก็ตีกลมๆ 16,000
..คุณแฟนมีหนี้บัตรเครดิต และ กยศ. ที่ยังต้องจ่าย ..
..ค่าน้ำมันรถ - ค่ากินอยู่ - ใช้จ่ายประจำวัน ...ฯลฯ
..ด้วย profile คุณแฟน หักภาระค่าผ่อนรถ - ผ่อนบัตร ก็ไม่สามารถกู้บ้านได้ในเวลานี้แล้วค่ะ เพราะแบงค์มักจะคิดภาระที่ไม่เกิน 40%
ของเงินเดือนที่ verify ที่มาที่ไปได้ ..ดีดดูแล้ว ณ เวลานี้ ภาระปัจจุบัน ก็เต็มแล้วค่ะ
แบงค์ที่ยังอุตส่าห์อนุมัติให้ 1.6 ล้านนี่ ไม่ทราบว่าเค้าดูเรื่องภาระผ่อนรถ / บัตรเครดิตหรือยัง
..ด้วย profile คุณน้อง จขกท. ที่ไม่มีรายได้ประจำ เป็น freelance รายได้ไม่แน่นอน และส่วนตัวก็มีภาระผ่อนรถตัวเอง เดือนละ
7,000 ..ถามตัวเองดีกว่าว่ารับภาระมากกว่านี้ไหวเหรอคะ ?
แต่ถ้าคุณอยากปั้น statement จริงๆ ก็ต้องใช้เวลาและความอดทนค่ะ ปุบปับเลยนี่ไม่ได้หรอกค่ะ
แบงค์เค้าดูออก ที่สำคัญคือการสามารถอธิบายที่มาที่ไปของรายได้ได้ คือ verify ได้ว่าเงินที่เข้าบัญชีนี้มาจากไหน
ได้มายังไง
อ่ะ..สมมุติประเมินเรื่องความสามารถผ่านแล้ว ได้ตัวเลขขึ้นมาจำนวนหนึ่ง คือเงินที่สามารถหมดไปกับการผ่อนค่างวดบ้านได้
ต่อมาคือดูวงเงินที่สามารถกู้ได้ โดยที่ผู้กู้ไม่ต้องกินแกลบ ซึ่งก็คือ "ราคาบ้าน" นั่นเอง
วิธีการง่ายๆ คือเมื่อคุณหาความสามารถในการจ่ายค่างวดต่อเดือนได้แล้ว ให้เอา 7,000 ไปหาร จะได้ตัวเลขเป็นเท่าของเงิน 1 ล้านบาท
เช่น หากคุณแฟนเงินเดือน 30,000 (ติ๊ต่างปลอดภาระทุกอย่าง) คิดภาระที่ 40% ได้ = 12,000 / 7,000 = 1.714 (ล้านบาท)
นั่นคือราคาบ้านที่คุณควรมองหาค่ะ
หากอยากได้บ้านที่ราคาสูงกว่านั้น คุณก็คำนวณย้อนกลับขึ้นไปได้เช่นกัน
เช่นอยากได้บ้านราคา 2.2 ล้าน ก็หาค่างวดก่อนด้วยการเอา 7,000 ไปคูณ = 15,400
แล้วคิด 15,400 เท่ากับ 40% ก็สามารถคิดย้อนกลับยอด 100% ได้ = 38,500 บ. นั่นคือเงินเดือน/รายได้ก่อนคิดภาระค่ะ
..ซึ่งมันก็จะย้อนกลับไปหาประเด็นเรื่องความสามารถ และความมั่นคงนั่นเองค่ะ
และยังมีข้อควรจำสำหรับความแตกต่างของบ้านใหม่ กับบ้านมือสอง
..บ้านใหม่ สมัยนี้มักมาพร้อมโปรโมชั่นดอกเบี้ย เพราะโครงการหมู่บ้านมี deal กับธนาคารไว้แล้ว
บางแบงค์ให้กู้ตกแต่งพร้อมด้วยเลย เป็น 105% ( คือแยกเป็น 2 สัญญา )
พ่วงส่วนลด ของแถม แอร์ - เฟอร์ฯ ..ก็ว่ากันไป
..บ้านมือสอง อาจมีจุดเด่นเรื่องทำเล เพราะบ้านใหม่ถูกกว่า ข้อเสนอดีกว่าก็จริง แต่ดันอยู่ซะท้ายซอยเลย ห่างถนนใหญ่เป็นกิโล
แต่ข้อจำกัดของบ้านมือสอง คือแบงค์ปล่อยเต็มที่ 80-90%
ดังนั้นหากคุณคิดจะซื้อบ้านมือสอง กรณีราคาประเมินไม่ได้สูงกว่าราคาซื้อขายที่คุณตกลงกับเจ้าของบ้านเดิมมากๆ หน่อย
คุณก็มีโอกาสที่จะต้องหาเงินส่วนต่างมาจ่ายเพิ่มเติม
เช่น บ้านจะซื้อจะขายกันที่ราคา 2.2 ล้าน หากแบงค์ประเมินให้เท่ากัน คือ 2.2 แล้วปล่อยกู้แค่ 90% แปลว่าคุณต้องเอา
เงินสด 220,000 ให้เจ้าของบ้าน ( ยอดนี้ไม่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายการโอน - การจดจำนอง - ประกันชีวิต/อัคคีภัย ที่กลายเป็นสิ่งที่พ่วง
มากับการกู้บ้านไปแล้ว )
หากโชคดีที่บ้านดูดี และเจ้าของขายถูกกว่าราคาประเมิน เช่น แบงค์ประเมินให้ 2.5 , 90% = 2.25 ล้าน cover ราคาซื้อขาย
คุณก็ไม่ต้องควักเนื้อ ..เป็นต้น
ในส่วนของการกู้บ้านหลังหนึ่ง ไม่สามารถแยกว่าคุณแฟน เธอกู้ได้แค่ 1.6 งั้นที่เหลือ อีก 6 แสน ชั้นเอาโฉนดไปขอกู้เองอีกสัญญานึง
..แบบนี้ทำไม่ได้ค่ะ โฉนด 1 ใบ ก็ต่อสัญญาเงินกู้ 1 สัญญา ถ้าคนเดียวไม่ผ่าน ก็เป็นกู้ร่วม เอาหลักฐานรายได้มารวมกัน
โดยส่วนตัว จากประสบการณ์ทั้งทางตรง และทางอ้อม ขอแนะนำว่าให้ทดลองเก็บเงินที่สมมุติว่าเงินก้อนนี้คือค่างวด
ใส่บัญชีต่างหากไว้ แล้วลองดูกันสักพัก ว่ารอดมั้ย ..นึกภาพออกใช่มั้ยคะ
เช่น คุณอยากซื้อบ้านราคา 2.2 ล้าน ต้องผ่อนเดือนละ 15,400 ..คุณก็ลองหักเงินจำนวนนี้ใส่บัญชีหนึ่งต่างหาก
แล้วอย่าไปยุ่งกับเงินจำนวนนี้ แล้วดูว่ารายรับเท่านี้ ถ้าต้องผ่อนแบบนี้ สถานการณ์จะเป็นยังไง
พี่ไม่แนะนำเลยจริงๆ กับการพยายามดิ้นรนแหกตาแบงค์ เพื่อให้กู้ผ่าน
เพราะสุดท้ายคนที่รับผลของการกระทำเต็มๆ คือตัวผู้กู้เองน่ะแหล่ะค่ะ
..ทิ้งท้ายนิดเดียว ชีวิตคู่ / ชีวิตการมีครอบครัว จะให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
เรื่องแรกๆ เลยที่ไม่ควรจะให้เป็นปัญหา คือเรื่องการเงิน
..พี่ไม่ได้หมายถึงว่างั้นเราต้องหาสามีรวยๆ งั้นสิ ..ไม่ใช่ค่ะ แต่หมายถึงเราต้องรู้จักบริหารจัดการเรื่องการเงิน
ให้รายจ่ายเหมาะสมกับรายได้ ..ไม่งั้นจะมีบรรยากาศแห่งความตึงเครียดอบอวลอยู่ในบ้าน เพราะเงินตึงมือ
พี่เห็นเจ๊งมาหลายคู่แล้ว เพราะเรื่องนี้ ..พอเงินไม่พอใช้ ก็จะเริ่มเครียด และไปหาวิธีระบายความเครียด
ซึ่งแต่ละวิธี ล้วนนำไปสู่ความวิบัติทั้งนั้น..
ที่ร่ายยาวมา เพราะเห็นน้องบอกว่า จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน
..เอาเป็นว่า พี่เสนอแนะข้อมูลข้างต้นเป็น Guide line
ที่เหลือยกให้คุณน้อง จขกท. ลองนำไปปรับใช้ดูละกันนะคะ
ผ่านกระบวนการซื้อ-ผ่อน-refinance-ขาย มาไม่น้อย ..ปัจจุบันยังผ่อนอยู่ 3 หลัง
( ไม่ได้จะอวดมั่งอวดมีนะคะ ..เป็นหนี้เยอะๆ ไม่น่าโชว์เท่าไหร่หรอกค่ะ ..ความจำเป็นบีบบังคับทั้งน้านนน..)
..บวกกับเห็นว่าคุณ จขกท. ยังอายุน้อย และไม่มีประสบการณ์เรื่องการเป็นหนี้ยาวๆ อย่างการผ่อนบ้านมาก่อน
จึงขออนุญาตแนะนำอย่างนี้นะคะ
ก่อนจะคิดอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง ..อย่างแรกที่คุณควรต้องมีก่อนคือ "ความมั่นคง"
มั่นคงในเรื่องหน้าที่การงาน , รายได้ , ความสามารถในการชำระหนี้ รวมไปถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่คิดว่าจะมาเป็นผู้กู้ร่วม
..ยกตัวอย่างเพื่อนสาวของพี่คนหนึ่ง คบกับแฟนมา 5 ปี ยิ่งกว่ามั่นใจว่าคนนี้แหล่ะ
ก็ไปผ่อนรถ ผ่อนบ้านด้วยกัน โดยกู้ร่วม ใช้เงินกระเป๋าเดียวกัน..ต่อมาสิ่งที่แน่นอนเหลือหลาย ..ก็คือความไม่แน่นอน
สองคนนั้น มีอันต้องเลิกรากัน ..ทีนี้ก็วุ่นวายไม่น้อย เพราะตอนรักกันมันยังไงก็ได้ แต่ตอนหมดรักกันนี่ ..ก็ลองนึกเรื่องต่อดูละกันค่ะ
..แต่พี่ไม่ได้แช่งคุณน้อง จขกท.นะ .. แค่อยากให้ประเมินเรื่องความมั่นคงในทุกๆ ด้าน ให้ดีๆ ก่อน เพราะสิ่งที่บอก มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และเคยเกิดขึ้นแล้ว
ประเด็นถัดมา หากเรื่องความมั่นคงผ่าน ก็มาดูเรื่อง "ความสามารถ"
..ด้านการหารายได้ vs รายจ่าย ถึงจะเหลือมาเป็นความสามารถในการชำระหนี้ หรือจ่ายค่างวดบ้าน
คนหนุ่มสาว มักจะนึกเสียดายค่าเช่าบ้าน / หอ ..ก็มักจะนึกอยากซื้อเลย ..แต่ที่จริงควรจะคิดให้มากกว่าการเสียดายค่าเช่า
เพราะการเป็นหนี้ก่อนใหญ่ และยาวนาน อย่างบ้าน ..ถ้าไม่พร้อมจริง แทบกระอักเลือดทุกรายค่ะ
อย่าง case ของคุณน้อง จขกท. และคุณแฟน ถ้าวิเคราะห์แบบตรงไปตรงมา เหตุผลล้วนๆ ไม่มีอคติ
..เพิ่งซื้อรถคนละคัน ผ่อนกันมาได้ไม่นาน รถทั้ง 2 คัน ยังมีภาระผ่อนอีกเกือบ 5 และ 6 ปี ค่างวด 2 คัน ก็ตีกลมๆ 16,000
..คุณแฟนมีหนี้บัตรเครดิต และ กยศ. ที่ยังต้องจ่าย ..
..ค่าน้ำมันรถ - ค่ากินอยู่ - ใช้จ่ายประจำวัน ...ฯลฯ
..ด้วย profile คุณแฟน หักภาระค่าผ่อนรถ - ผ่อนบัตร ก็ไม่สามารถกู้บ้านได้ในเวลานี้แล้วค่ะ เพราะแบงค์มักจะคิดภาระที่ไม่เกิน 40%
ของเงินเดือนที่ verify ที่มาที่ไปได้ ..ดีดดูแล้ว ณ เวลานี้ ภาระปัจจุบัน ก็เต็มแล้วค่ะ
แบงค์ที่ยังอุตส่าห์อนุมัติให้ 1.6 ล้านนี่ ไม่ทราบว่าเค้าดูเรื่องภาระผ่อนรถ / บัตรเครดิตหรือยัง
..ด้วย profile คุณน้อง จขกท. ที่ไม่มีรายได้ประจำ เป็น freelance รายได้ไม่แน่นอน และส่วนตัวก็มีภาระผ่อนรถตัวเอง เดือนละ
7,000 ..ถามตัวเองดีกว่าว่ารับภาระมากกว่านี้ไหวเหรอคะ ?
แต่ถ้าคุณอยากปั้น statement จริงๆ ก็ต้องใช้เวลาและความอดทนค่ะ ปุบปับเลยนี่ไม่ได้หรอกค่ะ
แบงค์เค้าดูออก ที่สำคัญคือการสามารถอธิบายที่มาที่ไปของรายได้ได้ คือ verify ได้ว่าเงินที่เข้าบัญชีนี้มาจากไหน
ได้มายังไง
อ่ะ..สมมุติประเมินเรื่องความสามารถผ่านแล้ว ได้ตัวเลขขึ้นมาจำนวนหนึ่ง คือเงินที่สามารถหมดไปกับการผ่อนค่างวดบ้านได้
ต่อมาคือดูวงเงินที่สามารถกู้ได้ โดยที่ผู้กู้ไม่ต้องกินแกลบ ซึ่งก็คือ "ราคาบ้าน" นั่นเอง
วิธีการง่ายๆ คือเมื่อคุณหาความสามารถในการจ่ายค่างวดต่อเดือนได้แล้ว ให้เอา 7,000 ไปหาร จะได้ตัวเลขเป็นเท่าของเงิน 1 ล้านบาท
เช่น หากคุณแฟนเงินเดือน 30,000 (ติ๊ต่างปลอดภาระทุกอย่าง) คิดภาระที่ 40% ได้ = 12,000 / 7,000 = 1.714 (ล้านบาท)
นั่นคือราคาบ้านที่คุณควรมองหาค่ะ
หากอยากได้บ้านที่ราคาสูงกว่านั้น คุณก็คำนวณย้อนกลับขึ้นไปได้เช่นกัน
เช่นอยากได้บ้านราคา 2.2 ล้าน ก็หาค่างวดก่อนด้วยการเอา 7,000 ไปคูณ = 15,400
แล้วคิด 15,400 เท่ากับ 40% ก็สามารถคิดย้อนกลับยอด 100% ได้ = 38,500 บ. นั่นคือเงินเดือน/รายได้ก่อนคิดภาระค่ะ
..ซึ่งมันก็จะย้อนกลับไปหาประเด็นเรื่องความสามารถ และความมั่นคงนั่นเองค่ะ
และยังมีข้อควรจำสำหรับความแตกต่างของบ้านใหม่ กับบ้านมือสอง
..บ้านใหม่ สมัยนี้มักมาพร้อมโปรโมชั่นดอกเบี้ย เพราะโครงการหมู่บ้านมี deal กับธนาคารไว้แล้ว
บางแบงค์ให้กู้ตกแต่งพร้อมด้วยเลย เป็น 105% ( คือแยกเป็น 2 สัญญา )
พ่วงส่วนลด ของแถม แอร์ - เฟอร์ฯ ..ก็ว่ากันไป
..บ้านมือสอง อาจมีจุดเด่นเรื่องทำเล เพราะบ้านใหม่ถูกกว่า ข้อเสนอดีกว่าก็จริง แต่ดันอยู่ซะท้ายซอยเลย ห่างถนนใหญ่เป็นกิโล
แต่ข้อจำกัดของบ้านมือสอง คือแบงค์ปล่อยเต็มที่ 80-90%
ดังนั้นหากคุณคิดจะซื้อบ้านมือสอง กรณีราคาประเมินไม่ได้สูงกว่าราคาซื้อขายที่คุณตกลงกับเจ้าของบ้านเดิมมากๆ หน่อย
คุณก็มีโอกาสที่จะต้องหาเงินส่วนต่างมาจ่ายเพิ่มเติม
เช่น บ้านจะซื้อจะขายกันที่ราคา 2.2 ล้าน หากแบงค์ประเมินให้เท่ากัน คือ 2.2 แล้วปล่อยกู้แค่ 90% แปลว่าคุณต้องเอา
เงินสด 220,000 ให้เจ้าของบ้าน ( ยอดนี้ไม่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายการโอน - การจดจำนอง - ประกันชีวิต/อัคคีภัย ที่กลายเป็นสิ่งที่พ่วง
มากับการกู้บ้านไปแล้ว )
หากโชคดีที่บ้านดูดี และเจ้าของขายถูกกว่าราคาประเมิน เช่น แบงค์ประเมินให้ 2.5 , 90% = 2.25 ล้าน cover ราคาซื้อขาย
คุณก็ไม่ต้องควักเนื้อ ..เป็นต้น
ในส่วนของการกู้บ้านหลังหนึ่ง ไม่สามารถแยกว่าคุณแฟน เธอกู้ได้แค่ 1.6 งั้นที่เหลือ อีก 6 แสน ชั้นเอาโฉนดไปขอกู้เองอีกสัญญานึง
..แบบนี้ทำไม่ได้ค่ะ โฉนด 1 ใบ ก็ต่อสัญญาเงินกู้ 1 สัญญา ถ้าคนเดียวไม่ผ่าน ก็เป็นกู้ร่วม เอาหลักฐานรายได้มารวมกัน
โดยส่วนตัว จากประสบการณ์ทั้งทางตรง และทางอ้อม ขอแนะนำว่าให้ทดลองเก็บเงินที่สมมุติว่าเงินก้อนนี้คือค่างวด
ใส่บัญชีต่างหากไว้ แล้วลองดูกันสักพัก ว่ารอดมั้ย ..นึกภาพออกใช่มั้ยคะ
เช่น คุณอยากซื้อบ้านราคา 2.2 ล้าน ต้องผ่อนเดือนละ 15,400 ..คุณก็ลองหักเงินจำนวนนี้ใส่บัญชีหนึ่งต่างหาก
แล้วอย่าไปยุ่งกับเงินจำนวนนี้ แล้วดูว่ารายรับเท่านี้ ถ้าต้องผ่อนแบบนี้ สถานการณ์จะเป็นยังไง
พี่ไม่แนะนำเลยจริงๆ กับการพยายามดิ้นรนแหกตาแบงค์ เพื่อให้กู้ผ่าน
เพราะสุดท้ายคนที่รับผลของการกระทำเต็มๆ คือตัวผู้กู้เองน่ะแหล่ะค่ะ
..ทิ้งท้ายนิดเดียว ชีวิตคู่ / ชีวิตการมีครอบครัว จะให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
เรื่องแรกๆ เลยที่ไม่ควรจะให้เป็นปัญหา คือเรื่องการเงิน
..พี่ไม่ได้หมายถึงว่างั้นเราต้องหาสามีรวยๆ งั้นสิ ..ไม่ใช่ค่ะ แต่หมายถึงเราต้องรู้จักบริหารจัดการเรื่องการเงิน
ให้รายจ่ายเหมาะสมกับรายได้ ..ไม่งั้นจะมีบรรยากาศแห่งความตึงเครียดอบอวลอยู่ในบ้าน เพราะเงินตึงมือ
พี่เห็นเจ๊งมาหลายคู่แล้ว เพราะเรื่องนี้ ..พอเงินไม่พอใช้ ก็จะเริ่มเครียด และไปหาวิธีระบายความเครียด
ซึ่งแต่ละวิธี ล้วนนำไปสู่ความวิบัติทั้งนั้น..
ที่ร่ายยาวมา เพราะเห็นน้องบอกว่า จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน
..เอาเป็นว่า พี่เสนอแนะข้อมูลข้างต้นเป็น Guide line
ที่เหลือยกให้คุณน้อง จขกท. ลองนำไปปรับใช้ดูละกันนะคะ
แสดงความคิดเห็น
เครียดจัง ทำกิจการส่วนตัวเล็กๆ อยากกู้ซื้อบ้าน แต่จับต้นชนปลายไม่ถูกเลยค่ะ
เป็นกิจการที่ก่อให้เกิด หลักฐานทางการเงิน ที่มาของรายได้ เช่นเป็นการตัดเย็บเสื้อผ้า ตามสั่งของร้านเสื้อต่างๆ เป็นโหลๆ มีบิล ไม่ทราบว่าจะพอมีหนทางไหมคะ
1 ปรึกษากับธนาคาร เค้าบอกว่า ให้ถ่ายรูปประกอบมา สลิปย้อนหลัง 6 เดือน บัญชีรายรับรายจ่าย บิลค่าใช้จ่ายต่างๆเช่นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าเช่าบ้าน อื่นๆ คือบางเดือนมันก็หายอะคะ เพราะ เราไม่คาดคิดว่าจะใช้มาก่อน กะให้แฟนกู้คนเดียว แต่ยอดมันไม่พอตัวบ้าน
ดิฉันผ่อนรถยนต์ เดือนละ 7000 บาท บาท ภาระผ่อนของเก่าๆที่เคยผ่อนมาจะนับไหมคะ หรือนับแค่หนี้ปัจจุบันไม่มีหนี้อื่นๆที่เป็นภาระต่อเนื่องอีกเลย
2 แฟนเงินเดือน 30000 มีรถผ่อนเดือนละ 9000 ลองไปยื่นดูผ่านค่ะ แต่ได้วงเงินกู้ 1.6 ล้านเองอะ เครียทุกอย่างหมดแล้วตาามที่เคยตั้งกระทู้ไว้เมื่อนานมาแล้วค่ะ ลองไปยื่นดูกะ ธนาคาร เด็กสีชมพูแล้วเค้าอนุม้ติมา เพระาเป็น สวัสดิการของบริษัท
บ้านที่จะซื้อเป็นบ้านมือสอง ราคา 2.2 ล้าน เราเลยอยากกู้ส่วนต่างซัก 5 แสน นอกนั้นเงินสดเรายินดีจ่ายส่วนต่างเองได้ค่ะ
ค่าโอนเจ้าของบ้านโอนให้
เลยเครียยยดดกะตัวเองสุดๆเลยว่าจะเริ่มต้นทำอะไรยังไง ก่อน เราจะผ่านไหมเนี้ย ไม่รู้เค้าคิดยังไงอ่ะคะ งานประจำไม่ได้ทำเพราะรำคาญธนาคารเอามาคิดก่อนจะเอา ส่วนงานเสริมมาคิด เลยลาออกมันซะเลย ให้รู้แล้วรู้รอด
จริงๆกู้ผ่านกะ ธนาคาร อาคารใจดี สีส้ม แต่ดันนนน ธนาคาดันมีแบลกลิสกะหมู่บ้านที่เราขอกู้ เลยไม่อนุมัติสินเชื่อให้กะหมู่บ้านนี้ชั่วกัปชั่วกัลเป็นปัญหาทางการเมืองไรซักอย่าง อันนี้ก็กล่าวไม่ได้ เห้อออ กลุ้มค่ะ ช่วยแนะนำทีนะคะ ต้องมานั่งจดบิล หรืออะไรบลาๆๆ มันหายไปหมดแล้วอะ ปัญหาเลย