หลายท่านคงจะเคยทำบุญตามวัดวาอารามและขอพรอะไรต่างๆ กันมามากมาย และมีหลากหลายกระทู้มากที่มักจะอ้างคัมภีนั่นนู่นนี่ขึ้นมาเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือกับการกล่าวอ้าง
ผมในฐานะของผู้ที่มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนามายาวนานกว่ารู้ว่าอะไรเป็นอะไร จากรุ่นสู่รุ่น
การนำตำราอย่างพระไตรปิฎกมากล่าวอ้างหรือยกตัวอย่างคำสอนที่แปลออกมาจากคำภีที่เป็นภาษาบาลี ที่มีจำนวนมาถึง 45 เล่ม 84,000 พระธรรมขันธ์
แต่ให้คุณเชื่อเถอะว่าพระพุทธเจ้ามิได้ทรงชี้แนะให้พระอรหันต์เชื่อในหลักธรรมคำสอนเสียทั้งหมด ดังจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงกล่าวกับพระสาวกว่า "กาลใดเมื่อข้อกำหนดที่ตถาคตได้กำหนดไว้นั้นไม่มีความเหมาะสมในกาลนั้น ก็ให้ยกเลิกหรือละเว้นข้อกำหนดนั้นเสีย" อะไรประมาณนี้ครับ
พระพุทธองค์ยังทรงกล่าวในกาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 คือ
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)
ฉะนั้นจึงเป็นไปได้ว่าสิ่งที่กล่าวมาในพระไตรปิฎกนั้นก็อย่าเชื่อเสียทั้งหมด เพราะการแปลอ่านเปลี่ยนความหมายได้ เพราะเองก็ไม่รู้ว่าสำสอนต่างๆ กว่าจะมาถึงเรานั้นถูกคัดลอกมาถูกต้องทุกตัวอักษรหรือเปล่า คำแปลทุกคำเป็นไปอย่างถูกต้องหรือเปล่า เพราะขนาดภาษาไทยเราคำพูดหนึ่งคำก็แปลไปได้หลากหลายความหมาย และถ้าเกิดสลับที่กันก็เปลี่ยนความหมายทันที
การทำบุญในลักษณะต่างๆ ย่อมมีการอุทิศส่วนกุศลต่างๆ จากพระ ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องไปเสียทั้งหมด และก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด
แล้วถ้าสถานะการณ์ในขณะนั้นไม่มีพระล่ะ คุณจะทำยังไง?
การทำบุญมีหลากหลายหนทางและไม่จำเป็นที่จะต้องกรวดน้ำเป็นภาษาบาลีไปเสียทุกครั้ง เพียงเรามีจิตศรัทธาในการทำบุญนั้นก็ถือว่าได้บุญแล้ว
การภาวนาเพื่อให้เกิดอานิสงฆ์ให้เกิดขึ้นในภพหน้า จริงๆ แล้วไม่ใช่ความคิดที่ถูกเสียทีเดียว โดยเราต้องมองเนื้อแท้ของความเป็นจริงที่ว่าเวลาเราทำกับข้าวสักอย่างขึ้นมา เราจะเก็บมันเอาไว้ในตู้เย็นเพื่อกินวันถัดไปกระนั้นหรือ
หรือลองคิดกลับกันไปอีกว่าเมื่อเช้าของวันนี้เราหิวข้าว เหตุที่ทำให้หิวเป็นเพราะเมื่อวานเราไม่ได้ทานข้าวใช่หรือไม่ หรือพึ่งหิวเอาเมื่อตื่นนอน
ถ้าพึ่งหิวขึ้นมาเมื่อตื่นนอนแสดงว่าเมื่อวานเรายังได้ทานข้าวใช่หรือไม่?
การภาวนาเพื่อให้เกิดอานิสงฆ์ไปภพภูมิหน้าที่น่าสัญเสริญที่สุดคือ การภาวนาถึง เจ้ากรรมนายเวรต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการถือกำเหนิดเกิดชาติภพของเราในชาตินี้นั่นเอง
การภาวนานั้นควรภาวนาให้เจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นได้รับรู้ว่าเราทำกุศลนั้นดีแล้ว เราทำกุศลนั้นสมควรแล้ว เราทำกุศลนั้นถูกต้องถูกกาลเทศะแล้ว ขอให้เจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นได้รับรู้และช่วยอนุโมทนาบุญนั้นกับเรา โดยการทำบุญลักษณะนี้ก็เหมือนเราขึ้นร้องเพลงบนเวทีใหญ่
ถ้าคุณร้องเพรงเพราะ ถูกต้อง ถูกทำนอง ถูกจังหวะ ย่อมมีคนเกรียวกราวชื่นชอบและยินดีในเพลงที่คุณร้องนั้น ชื่อเสียงของคุณก็ย่อมค่อยๆ โด่งดังขึ้นจนถึงระดับสูงสุด การทำบุญกุศลนั้นก็ย่อมมีเช่นกัน
การภาวนาต่างๆ เพื่อให้เกิดความถูกต้องตามวัตถุประสงค์อย่างที่เราต้องการที่สุดนั้นคุณภาวนาเป็นคำพูดธรรมดาเหมือนอย่างที่เราคุยกันทุกๆ วันนี่แหละครับ สมมุติเอาใกล้ตัวเลยนะครับ
สมมุติว่าคุณมีแฟนเป็นชาวต่างชาติ นับถือคนละศาสนา พูดภาษาไทยได้เล็กน้อย
แล้วอยู่มาวันหนึ่งเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตลง จากนั้นคุณก็ไปสถวายสังฆทานไปให้คนๆ นั้น พระท่านก็กล่าวคำถวายสังฆทานเป็นภาษาบาลีไปตามหลักพุทธศาสนา
มีคำถามอยู่ว่าบุญกุศลถึงเธอมั้ย บอกได้ครับว่าถึงและได้รับ แต่ว่าเธอรู้มั้ยว่าใครส่งไปถึง ตอบได้อีกเช่นกันว่ารู้ แล้วถามต่ออีกว่าภาษาบาลีที่พระสวดเธอฟังมันเข้าใจหรือเปล่า เอาเนื้อแท้เลยครับว่าเพราะขนาดคุณเองซึ่งเป็นผู้ถวายยังแปลไม่ออกเลยว่ามันหมายความว่ายังไง จริงมั้ย?
ฉะนั้น การทำบุญย่อมทำในรูปแบบไหนก็ได้ตามแต่ที่เราจะสะดวกในการทำนั้น
ใครสนใจอยากจะสอบถามอะไร หรือติดขัดเรื่องไหนก็เม้นทฺ์กันมาได้ครับ ผมยินดีตอบทุกๆ คำถาม
การทำบุญให้ได้บุญจากการภาวนา
ผมในฐานะของผู้ที่มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนามายาวนานกว่ารู้ว่าอะไรเป็นอะไร จากรุ่นสู่รุ่น
การนำตำราอย่างพระไตรปิฎกมากล่าวอ้างหรือยกตัวอย่างคำสอนที่แปลออกมาจากคำภีที่เป็นภาษาบาลี ที่มีจำนวนมาถึง 45 เล่ม 84,000 พระธรรมขันธ์
แต่ให้คุณเชื่อเถอะว่าพระพุทธเจ้ามิได้ทรงชี้แนะให้พระอรหันต์เชื่อในหลักธรรมคำสอนเสียทั้งหมด ดังจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงกล่าวกับพระสาวกว่า "กาลใดเมื่อข้อกำหนดที่ตถาคตได้กำหนดไว้นั้นไม่มีความเหมาะสมในกาลนั้น ก็ให้ยกเลิกหรือละเว้นข้อกำหนดนั้นเสีย" อะไรประมาณนี้ครับ
พระพุทธองค์ยังทรงกล่าวในกาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 คือ
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
- อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
- อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)
ฉะนั้นจึงเป็นไปได้ว่าสิ่งที่กล่าวมาในพระไตรปิฎกนั้นก็อย่าเชื่อเสียทั้งหมด เพราะการแปลอ่านเปลี่ยนความหมายได้ เพราะเองก็ไม่รู้ว่าสำสอนต่างๆ กว่าจะมาถึงเรานั้นถูกคัดลอกมาถูกต้องทุกตัวอักษรหรือเปล่า คำแปลทุกคำเป็นไปอย่างถูกต้องหรือเปล่า เพราะขนาดภาษาไทยเราคำพูดหนึ่งคำก็แปลไปได้หลากหลายความหมาย และถ้าเกิดสลับที่กันก็เปลี่ยนความหมายทันที
การทำบุญในลักษณะต่างๆ ย่อมมีการอุทิศส่วนกุศลต่างๆ จากพระ ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องไปเสียทั้งหมด และก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด
แล้วถ้าสถานะการณ์ในขณะนั้นไม่มีพระล่ะ คุณจะทำยังไง?
การทำบุญมีหลากหลายหนทางและไม่จำเป็นที่จะต้องกรวดน้ำเป็นภาษาบาลีไปเสียทุกครั้ง เพียงเรามีจิตศรัทธาในการทำบุญนั้นก็ถือว่าได้บุญแล้ว
การภาวนาเพื่อให้เกิดอานิสงฆ์ให้เกิดขึ้นในภพหน้า จริงๆ แล้วไม่ใช่ความคิดที่ถูกเสียทีเดียว โดยเราต้องมองเนื้อแท้ของความเป็นจริงที่ว่าเวลาเราทำกับข้าวสักอย่างขึ้นมา เราจะเก็บมันเอาไว้ในตู้เย็นเพื่อกินวันถัดไปกระนั้นหรือ
หรือลองคิดกลับกันไปอีกว่าเมื่อเช้าของวันนี้เราหิวข้าว เหตุที่ทำให้หิวเป็นเพราะเมื่อวานเราไม่ได้ทานข้าวใช่หรือไม่ หรือพึ่งหิวเอาเมื่อตื่นนอน
ถ้าพึ่งหิวขึ้นมาเมื่อตื่นนอนแสดงว่าเมื่อวานเรายังได้ทานข้าวใช่หรือไม่?
การภาวนาเพื่อให้เกิดอานิสงฆ์ไปภพภูมิหน้าที่น่าสัญเสริญที่สุดคือ การภาวนาถึง เจ้ากรรมนายเวรต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการถือกำเหนิดเกิดชาติภพของเราในชาตินี้นั่นเอง
การภาวนานั้นควรภาวนาให้เจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นได้รับรู้ว่าเราทำกุศลนั้นดีแล้ว เราทำกุศลนั้นสมควรแล้ว เราทำกุศลนั้นถูกต้องถูกกาลเทศะแล้ว ขอให้เจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นได้รับรู้และช่วยอนุโมทนาบุญนั้นกับเรา โดยการทำบุญลักษณะนี้ก็เหมือนเราขึ้นร้องเพลงบนเวทีใหญ่
ถ้าคุณร้องเพรงเพราะ ถูกต้อง ถูกทำนอง ถูกจังหวะ ย่อมมีคนเกรียวกราวชื่นชอบและยินดีในเพลงที่คุณร้องนั้น ชื่อเสียงของคุณก็ย่อมค่อยๆ โด่งดังขึ้นจนถึงระดับสูงสุด การทำบุญกุศลนั้นก็ย่อมมีเช่นกัน
การภาวนาต่างๆ เพื่อให้เกิดความถูกต้องตามวัตถุประสงค์อย่างที่เราต้องการที่สุดนั้นคุณภาวนาเป็นคำพูดธรรมดาเหมือนอย่างที่เราคุยกันทุกๆ วันนี่แหละครับ สมมุติเอาใกล้ตัวเลยนะครับ
สมมุติว่าคุณมีแฟนเป็นชาวต่างชาติ นับถือคนละศาสนา พูดภาษาไทยได้เล็กน้อย
แล้วอยู่มาวันหนึ่งเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตลง จากนั้นคุณก็ไปสถวายสังฆทานไปให้คนๆ นั้น พระท่านก็กล่าวคำถวายสังฆทานเป็นภาษาบาลีไปตามหลักพุทธศาสนา
มีคำถามอยู่ว่าบุญกุศลถึงเธอมั้ย บอกได้ครับว่าถึงและได้รับ แต่ว่าเธอรู้มั้ยว่าใครส่งไปถึง ตอบได้อีกเช่นกันว่ารู้ แล้วถามต่ออีกว่าภาษาบาลีที่พระสวดเธอฟังมันเข้าใจหรือเปล่า เอาเนื้อแท้เลยครับว่าเพราะขนาดคุณเองซึ่งเป็นผู้ถวายยังแปลไม่ออกเลยว่ามันหมายความว่ายังไง จริงมั้ย?
ฉะนั้น การทำบุญย่อมทำในรูปแบบไหนก็ได้ตามแต่ที่เราจะสะดวกในการทำนั้น
ใครสนใจอยากจะสอบถามอะไร หรือติดขัดเรื่องไหนก็เม้นทฺ์กันมาได้ครับ ผมยินดีตอบทุกๆ คำถาม