บอกตรงๆ ผมไม่ใช่คนชอบดูหนังไทย แต่บังเอิญได้รู้จักกับพี่ผู้กำกับและมีโอกาสไปดูหนังเรื่อง "LoveSyndrome รักโง่ๆ" ซึ่งเป็นหนังไทยที่ดีเรื่องหนึ่ง แต่ไม่นานมานี้ก็ได้เห็นโพสต์ของพี่ผู้กำกับในเฟซบุ๊ค คนทำงานวงการหนังนี่น่าเห็นใจจริงๆ เลยอยากนำมาฝากให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน ถึงหนังเรื่องนี้จะยังไม่ค่อยได้ออกสื่อแต่ก็อยากให้โลกได้รับรู้ว่าความรู้สึกที่แท้จริงของคนที่ตั้งใจทำหนัง คนที่ทำหนังเพราะความฝัน ว่ามันเป็นอย่างไร ...
เมื่อวานตอน3ทุ่มเกิดอาการ STUNT ไป 5 วิ เมื่อรู้ข่าวว่า มีคนดู Love Syndrome รอบSneak น้อยมากกกกก คือที่ Major รัชโยธิน 24 คน Esplanade แคราย 13 คน SF Central World 6 คน SF Ladprao 5 คน และจากนั้นก็ Shock -ทำอะไรไม่ถูก ทั้งๆที่ในใจก็คิดไว้อยู่แล้วว่าคนดูหนังคงไม่เยอะเพราะการโปรโมทมันน้อยมาก แต่ที่มันshock ก็เพราะมันน้อยเกินไป เมื่อเทียบกับกระแสปากต่อปาก และFEEDBACK คนที่ดูมาส่วนใหญ่จะชอบ ยังไม่มีใครด่าว่าไม่ชอบ นักดูหนังบางคนถึงกับให้เป็น "หนังรักหลายคู่ที่ดีที่สุดของไทย" เลยทีเดียว
ตอนรู้ข่าวและshockอยู่เรากำลังขับรถจะไปเมเจอร์ รัชโยธิน เพราะน้องผึ้ง กับ น้องโก อยากไปเจอคนดูรอบSneak จึงจะไปกับน้อง แต่พอรู้ข่าวว่าคนดูน้อยก็รีบโทรไปบอกน้องตั้ว ผจก.น้องทั้งสองเพราะกลัวน้องเสียขวัญ แต่ทั้งคู่ก็ยืนยันว่าจะไป เราได้ยินก็อึ้งๆคิดถึงDialoque พี่แหวน "ตัวป้าสับสน ใจป้า วกวน" เหมือนเราที่คิดว่าจะไปหรือไม่ไปโรงดี ในที่สุดก็ตัดสินใจกลับบ้านอย่างบอบช้ำ พอถึงบ้านสักพักก็เปลี่ยนใจกลับไปโรงหนังเพราะคิดว่า "หนังเราจะปล่อยให้น้องไปกันเองมันคงชั่วมากก"
ตอนเข้าไปในโรงหนังฉายถึงฉากสนามบิน คนดูกำลังหัวเราะ "เมื่อน้องเข็นรถเดินร้องเพลง รักคือสิ่งสวยงาม"
เราหาที่นั่งได้ก็เริ่มสังเกตุอาการคนดู น้องผู้ชายคนข้างๆนั่งเช็ดน้ำตานิดๆคงอินกับพริกแกงร้องเพลงแพ้ใจที่เพิ่งผ่านไป เมื่อเห็นเราหันไปมองน้องเค้าก็ทำท่าทางรำคาญมาจ้องอะไรกู เราเลยเลี่ยงหันไปแอบมองคนอื่นแทน จึงได้เป้าหมายเป็นน้องผู้หญิงคนนึงมากับแฟน
เธอนั่งยิ้มค้างอยู่ตอนเห็นป้ายที่สนามบินในหนังขึ้นคำว่า "ผู้ชายคนนึงรักผู้หญิงคนนึงมา9ปี"
จากนั้นเธอก็ตาโตเอามือมาปิดปาก เมื่อเห็น ดิม TATTOO COLOR เดินร้องเพลงออกมา
แล้วเปลี่ยนเป็นเอามือมาบังข้างๆตา ลุ้นๆ เมื่อ โตโน่ เดินหล่อออกมา
จากนั้นเมื่อ โตโน่นั่งคุกเข่าขอแต่งงาน น้องเค้าเอามือปิดตาแบบไม่กล้าดู แต่ยังถ่างนิ้วดูอยู่
เราคิดในใจ นี่มันหนังสยองขวัญหรือวะ น้องถึงลุ้นขนาดนี้
และก็คิดต่อว่า

เอ้ย กูทำหนังให้คนดูทั้งหัวเราะและร้องไห้ได้ขนาดนี้ อินและลุ้นได้ขนาดนี้ยังไม่มีคนดูกูต้องทำไงวะ เรานั่งทบทวนกับตัวเองว่าต้องทำยังไงดี พอดีเหลือบไปเห็นว่ามีน้องคนเขียนบทหนังเรื่องนี้มานั่งดูหนังอยู่ด้วย เลยคิดว่าที่เค้ามาเขียนบทกับเรา2-3ปีนี่มันจบลงอย่างนี้เหรอ ก็พาลจะน้ำตาไหลด้วยความท้อแท้ใจ
พอดีถึงฉากที่โด่ยเดินมากับอาร์มและพลอยดำแล้วโด่ยก็พูดว่า
"เฮ้ยอย่าเพิ่งสิ้นหวังดิวะ ไม่แน่นะไอ้พลอยมันอาจเปลี่ยนใจวิ่งลงมาหาแบบในหนังก็ได้"
เราก็คิดตามเออจริง อย่าเพิ่งสิ้นหวังเพราะมันยังไม่ถึงรอบฉายจริง คนอาจมาดูเยอะก็ได้เมื่อถึงวันนั้น แต่มันก็ตามมาด้วยคำพูดของพลอยดำที่ว่า
"เพ้อเจ้อ นี่อีโด่ย ตื่นได้แล้ว นี่ดูนี่ นี่มันดึกแล้ว ละครหลังข่าวเลิกแล้ว"
เพ้อเจ้อ เราก็กำลังเพ้อเจ้อ ไอ้เรื่องมโนเอาว่าจะมีคนมาดูเยอะในวันฉายจริงเนี่ยมันเหมือนเรื่องเกินจริงที่มีแต่ในละครหลังข่าวหรือหนังน้ำเน่าเท่านั้น ความหวังดับวูบ อึ้งคิดไม่ออกว่าจะเอาไง เริ่มกลับมา สับสน ใจวกวน ท้อแท้ น้ำตาตกใน มารู้ตัวอีกที ตอนโตโน่พูดว่า
"ชีวิตจริง

ไม่ต้องจบHappy Ending เหมือนในหนังก็ได้"
เราคิดตาม แต่ชีวิตพี่อยากจบ Happy Ending พี่จะทำไงดี คำตอบก็มีมาทันทีจาก dialoque ของเปตองในหนัง
"ผมจะเขียนตอนจบของผมใหม่ (สูดลมหายใจเต็มที่)ผมจะเขียนมันด้วยมือผมเอง"
ใช่เปตองไอ้น้องรัก เอ็งยังกล้าหาญที่จะสู้กับปัญหา และจะเขียนตอนจบของปัญหา ด้วยตัวเอง
ทำไมพี่ที่เป็นคนสร้างน้องจากตัวหนังสือให้มีชีวิตจิตใจพี่จะยอมแพ้ได้ไง
พี่จะเขียนตอนจบให้ดีที่สุดด้วยมือพี่เอง เมื่อคิดจบก็มีเสียงยิปซี ลอยมา
"เรามาคอยดูกันว่าตอนจบของมันจะเป็นยังไง"
หนังนี่มันสะท้อนชีวิตจริงได้ดีจริงๆเนอะ แม้กับตัวคนทำหนังเรื่องนี้เอง มันโดนทุกคำพูดเลยยย
มาคอยดูกันนะครับว่า ตอนจบของผมจะเป็นยังไง ผมเองยังไม่รู้เลย 10 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
ความในใจจากคนทำหนังไทย
เมื่อวานตอน3ทุ่มเกิดอาการ STUNT ไป 5 วิ เมื่อรู้ข่าวว่า มีคนดู Love Syndrome รอบSneak น้อยมากกกกก คือที่ Major รัชโยธิน 24 คน Esplanade แคราย 13 คน SF Central World 6 คน SF Ladprao 5 คน และจากนั้นก็ Shock -ทำอะไรไม่ถูก ทั้งๆที่ในใจก็คิดไว้อยู่แล้วว่าคนดูหนังคงไม่เยอะเพราะการโปรโมทมันน้อยมาก แต่ที่มันshock ก็เพราะมันน้อยเกินไป เมื่อเทียบกับกระแสปากต่อปาก และFEEDBACK คนที่ดูมาส่วนใหญ่จะชอบ ยังไม่มีใครด่าว่าไม่ชอบ นักดูหนังบางคนถึงกับให้เป็น "หนังรักหลายคู่ที่ดีที่สุดของไทย" เลยทีเดียว
ตอนรู้ข่าวและshockอยู่เรากำลังขับรถจะไปเมเจอร์ รัชโยธิน เพราะน้องผึ้ง กับ น้องโก อยากไปเจอคนดูรอบSneak จึงจะไปกับน้อง แต่พอรู้ข่าวว่าคนดูน้อยก็รีบโทรไปบอกน้องตั้ว ผจก.น้องทั้งสองเพราะกลัวน้องเสียขวัญ แต่ทั้งคู่ก็ยืนยันว่าจะไป เราได้ยินก็อึ้งๆคิดถึงDialoque พี่แหวน "ตัวป้าสับสน ใจป้า วกวน" เหมือนเราที่คิดว่าจะไปหรือไม่ไปโรงดี ในที่สุดก็ตัดสินใจกลับบ้านอย่างบอบช้ำ พอถึงบ้านสักพักก็เปลี่ยนใจกลับไปโรงหนังเพราะคิดว่า "หนังเราจะปล่อยให้น้องไปกันเองมันคงชั่วมากก"
ตอนเข้าไปในโรงหนังฉายถึงฉากสนามบิน คนดูกำลังหัวเราะ "เมื่อน้องเข็นรถเดินร้องเพลง รักคือสิ่งสวยงาม"
เราหาที่นั่งได้ก็เริ่มสังเกตุอาการคนดู น้องผู้ชายคนข้างๆนั่งเช็ดน้ำตานิดๆคงอินกับพริกแกงร้องเพลงแพ้ใจที่เพิ่งผ่านไป เมื่อเห็นเราหันไปมองน้องเค้าก็ทำท่าทางรำคาญมาจ้องอะไรกู เราเลยเลี่ยงหันไปแอบมองคนอื่นแทน จึงได้เป้าหมายเป็นน้องผู้หญิงคนนึงมากับแฟน
เธอนั่งยิ้มค้างอยู่ตอนเห็นป้ายที่สนามบินในหนังขึ้นคำว่า "ผู้ชายคนนึงรักผู้หญิงคนนึงมา9ปี"
จากนั้นเธอก็ตาโตเอามือมาปิดปาก เมื่อเห็น ดิม TATTOO COLOR เดินร้องเพลงออกมา
แล้วเปลี่ยนเป็นเอามือมาบังข้างๆตา ลุ้นๆ เมื่อ โตโน่ เดินหล่อออกมา
จากนั้นเมื่อ โตโน่นั่งคุกเข่าขอแต่งงาน น้องเค้าเอามือปิดตาแบบไม่กล้าดู แต่ยังถ่างนิ้วดูอยู่
เราคิดในใจ นี่มันหนังสยองขวัญหรือวะ น้องถึงลุ้นขนาดนี้
และก็คิดต่อว่า
พอดีถึงฉากที่โด่ยเดินมากับอาร์มและพลอยดำแล้วโด่ยก็พูดว่า
"เฮ้ยอย่าเพิ่งสิ้นหวังดิวะ ไม่แน่นะไอ้พลอยมันอาจเปลี่ยนใจวิ่งลงมาหาแบบในหนังก็ได้"
เราก็คิดตามเออจริง อย่าเพิ่งสิ้นหวังเพราะมันยังไม่ถึงรอบฉายจริง คนอาจมาดูเยอะก็ได้เมื่อถึงวันนั้น แต่มันก็ตามมาด้วยคำพูดของพลอยดำที่ว่า
"เพ้อเจ้อ นี่อีโด่ย ตื่นได้แล้ว นี่ดูนี่ นี่มันดึกแล้ว ละครหลังข่าวเลิกแล้ว"
เพ้อเจ้อ เราก็กำลังเพ้อเจ้อ ไอ้เรื่องมโนเอาว่าจะมีคนมาดูเยอะในวันฉายจริงเนี่ยมันเหมือนเรื่องเกินจริงที่มีแต่ในละครหลังข่าวหรือหนังน้ำเน่าเท่านั้น ความหวังดับวูบ อึ้งคิดไม่ออกว่าจะเอาไง เริ่มกลับมา สับสน ใจวกวน ท้อแท้ น้ำตาตกใน มารู้ตัวอีกที ตอนโตโน่พูดว่า
"ชีวิตจริง
เราคิดตาม แต่ชีวิตพี่อยากจบ Happy Ending พี่จะทำไงดี คำตอบก็มีมาทันทีจาก dialoque ของเปตองในหนัง
"ผมจะเขียนตอนจบของผมใหม่ (สูดลมหายใจเต็มที่)ผมจะเขียนมันด้วยมือผมเอง"
ใช่เปตองไอ้น้องรัก เอ็งยังกล้าหาญที่จะสู้กับปัญหา และจะเขียนตอนจบของปัญหา ด้วยตัวเอง
ทำไมพี่ที่เป็นคนสร้างน้องจากตัวหนังสือให้มีชีวิตจิตใจพี่จะยอมแพ้ได้ไง
พี่จะเขียนตอนจบให้ดีที่สุดด้วยมือพี่เอง เมื่อคิดจบก็มีเสียงยิปซี ลอยมา
"เรามาคอยดูกันว่าตอนจบของมันจะเป็นยังไง"
หนังนี่มันสะท้อนชีวิตจริงได้ดีจริงๆเนอะ แม้กับตัวคนทำหนังเรื่องนี้เอง มันโดนทุกคำพูดเลยยย
มาคอยดูกันนะครับว่า ตอนจบของผมจะเป็นยังไง ผมเองยังไม่รู้เลย 10 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์