ป่าอุ่นใจไออุ่นรัก
หญ้าเจ้าชู้
ตอนที่ ๖
ท่ามกลางเสียงแมลงกลางคืน ที่ร้องระงมดังทั้งป่า สลับกับเสียงชะนี เสียงนก และนานครั้งจะได้ยินเสียงคล้ายสัตว์ใหญ่ อัลยาพยายามเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ อาจจะเพราะเผลอหลับเมื่อตอนเย็นทำให้ตกดึก เธอกลับนอนไม่หลับเสียอย่างนั้น อยากจะโทรศัพท์ไปหาพลรบ แต่มองดูนาฬิกาแล้ว คงดึกเกินไปที่จะคุยกับเขาในตอนนี้ ไฟฟ้าก็ไม่มี จะดูหนังที่ถือติดมาด้วยแบตโน้ตบุคก็คงจะไม่พอ จะอ่านหนังสือก็ไม่ได้...ทำได้อย่างเดียวคือนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปจนกว่าจะหลับ เหอะ ป่านนี้ตาหมอตำแยข้างบ้านคงจะหลับปุ๋ยไปแล้วล่ะมั้ง เขาอยู่ที่นี่มาจนคุ้นเคยแล้วนี่นะ อยู่แต่ในป่าแบบนี้ มีแฟนแฟนคงทิ้ง เอ๊ะหรือว่าเป็นเกย์ เหอะๆ หน้าตาพอได้ ท่าทางก็เกือบจะเหมือน ต้องลองสังเกตดูนิ้วก้อยสินะ...
และขณะที่กำลังเคลิ้มหลับ... อัลยาก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะเสียงเคาะประตูบ้าน การเคาะประตูดึกๆ ยังไม่เจ็บใจเท่าการทำลายความฝันที่กำลังจะเริ่ม
“คุณ คุณหยา คุณอัลยา คุณอารยัน ขี้เซาจริงเลย นี่ถ้าระเบิดลงคงตายก่อนใครเพื่อน”
อัลยาลุกจากที่นอนอย่างไม่เต็มใจนัก หยิบไฟฉายข้างหมอน ลงบันไดมาเปิดประตูให้คนที่กำลังยืนเคาะอยู่หน้าบ้านอย่างร้อนใจ ส่องไฟฉายเข้าที่หน้าคนมาเคาะประตูบ้านกลางดึก
“เฮ่ย... จะส่องทำไม ตกใจหมด”
“เผื่อเป็นโจร”
“โจรที่ไหนมันจะตะโกนเรียกชื่ออย่างสนิทสนมแบบนี้”
“ก็โจรข้างบ้านไงคะ”
ในชุดนอน อัลยาผอมบางกว่าที่คิด เว้นบางส่วนของร่างกายที่ดูจะ... ซ่อนรูป จนเขาต้องรีบพูดต่อก่อนที่จะเผลอนึกอะไรไปไกลกว่านั้น
“ยังจะต่อปากต่อคำ...เจ้าหน้าสนามที่วิทยุเข้ามา บอกว่ามีช้างป่าโดนยิง เราต้องออกไปเดี๋ยวนี้”
“เรา...”
อัลยาหันกระบอกไฟฉายเข้าหาตัวเอง
“ใช่ คุณกับผม รวมกันเป็นเรา ไปเปลี่ยนชุด เซฟหน่อยนะเพราะฝนเพิ่งหยุด ผมจะไปเอาชุดรักษาพยาบาลที่สำนักงาน คุณตามไปที่นั่นนะ อ่อ นี่ วิทยุสื่อสารถ้าทางโน้นติดต่อมา คุณช่วยตอบ ว.ด้วย”
“ค่ะ ค่ะ”
อัลยารับคำอย่าง งงๆ แต่ก็รีบไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่แต่โดยดี ไม่ลืมที่จะใส่ถุงเท้าหนาๆ และรองเท้าหุ้มข้อ กางเกงยีนส์เสื้อเชิ้ตแขนยาวติดกระดุมแน่นหนา ปิดประตูบ้านได้ก็รีบเดินฉับๆ ไปที่สำนักงาน สักพักคลื่นซ่าๆ ของวิทยุสื่อสารก็ดังขึ้น
“ว.หนึ่งเรียก ว.สอง เปลี่ยน”
“ว้ายตายแล้ว... นี่ คุณๆ ฉันต้องทำไงมั่งอ่ะ วิทยุมันดังแล้ว”
อัลยาตกใจเสียงที่ดังขึ้นจากวิทยุ
“อย่าบอกนะว่าใช้ ว. ไม่เป็น เป็นทหารประสาอะไร ใช้วิทยุสื่อสารไม่เป็น”
“ฉันไม่ได้ทำเป็นทุกอย่างนี่ แล้วอีกอย่างไม่ต้องมาโทษอาชีพฉัน จะทหารประสาอะไรก็เรื่องของฉัน”
จะว่าอะไรก็ไม่โกรธ แต่ถ้ามาว่าเป็นทหารที่ไม่เอาไหนล่ะก็มันแทงใจดำมากเกินไป
“เถียง”
“ไม่เถียงแล้วก็ได้...เชอะ”
“เฮ้อ จะได้เรื่องมั้ยเนี่ยวันนี้... เอ่านี่ปืน ถือไว้ เออ เดี๋ยวก่อน ยิงเป็นแน่นะ”
เขาหันมาถามเพื่อความมั่นใจ ก่อนที่จะหยิบปืนยาวออกจากตู้มาให้เธอ ทศพรรษเปลี่ยนใจและดึงปืนกลับคืนเมื่อได้ฟังประโยคนี้ของเธอ
“ก็คุณจะให้ฉันยิงอะไรล่ะ แค่เล็งเป้า ลั่นไก ไม่เห็นจะยากนี่คะ”
“โอ้ ตายชัดๆ”
“แน่นอนสิคะ ถ้าเล็งแม่น ก็ตายชัดๆ”
“ผมหมายถึงเรานั่นแหละจะตายก่อน เพราะคุณยิงปืนไม่เป็น”
“เป็นสิยะ”
ยัง...ยังปากเก่งอยู่
“การยิงปืนมันไม่ใช่แค่เล็งแล้วลั่น แต่มันมากกว่านั้น”
เขาพยายามอธิบาย และหยิบข้าวของที่ต้องใช้อย่างคุ้นเคย
“มากกว่ายังไง... ก็มีแค่นั้น หรือมากกว่านั้น”
“โอเค...ไม่เถียงด้วยแล้ว งั้นเอาปืนนี่ไปถือ แล้วก็ชุดรักษาพยาบาลสัตว์ หนักมาก ถือดีๆ นะ เอาไฟฉายมานี่เดี๋ยวผมถือเอง เดินตามมา”
ออกคำสั่งอย่างกับเป็นเจ้านาย... ชิ
“นี่ปืนอะไรคะ รูปร่างแปลกๆ ไม่เคยเห็นในกองทัพ”
“จะเคยเห็นได้ไง นี่มันปืนยิงยาสลบช้าง”
เขาตอบเรียบๆ ขณะเร่งฝีเท้าเดินไปตามทางที่มุ่งเข้าสู่ป่าลึก
“โถ ชีวิต”
“บ่นอะไรคุณ รีบเดินเร็วเข้า อีกไกลนะกว่าจะถึง”
ป่าที่มืดมิด เสียงที่ดังระงมป่าอยู่เมื่อครู่ค่อยๆ เงียบลงเมื่อเสียงฝีเท้าของคนทั้งสองเหยียบลงไป ระยะทางจะไกลมากหากเดินป่าในความมืด สิ่งที่อัลยากลัวที่สุดไม่ใช่เสือ สิงห์ กระทิง แรด แต่เธอกลัวสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าต่างหาก นึกแล้วก็อดโมโหตัวเองไม่ได้ที่ลืมห้อยพระมาด้วย
“โอ้ย หยุดทำไมไม่บอก”
อยู่ๆ เขาก็หยุดเดินเสียเฉยๆ
“เอ๊า อยู่ข้างหลังก็ต้องระวังสิ ผมมีตาหลังมองคุณหรือไง”
“ก็พูดสิ ผมจะหยุดเดินแล้วนะ... ปากน่ะมีไว้ทำไมยะ”
“พูดมากเดี๋ยวสัตว์ป่าจะตื่น... มาใกล้ๆ แล้วเกาะแขนผมไว้”
อัลยาทำตามอย่างว่าง่าย ไม่ต้องให้บอกรอบสอง พยายามไม่พูดอะไรมากไปกว่าการเดินตามอย่างกระชั้น ที่สำคัญเธอเกาะแขนเขาไว้แน่น
นั่นอาจจะเป็นช่วงระยะเวลาที่ไม่ยาวนานนักแต่ก็ทำให้ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจ... อัลยาไม่เคยจะต้องเดินตามหลังใคร แต่ต้องมาเดินตามหลังผู้ชายตัวโตขายาวที่เธอต้องก้าวถี่ๆ เพื่อที่จะเดินตามให้ทัน แม้ในป่าจะมืด เงียบและน่ากลัวแค่ไหน แต่การได้เดินเกาะแขนเขาไว้แบบนี้ ก็แปลกๆ ดี
“เงียบ หลับแล้วเหรอ”
“หลับแล้วจะเดินได้ไง”
“ละเมอไง”
“เพ้อเจ้อ... อีกนานมั้ยกว่าจะถึง ฉันเหนื่อยแล้วนะคะ”
“ไม่นานหรอก เห็นแสงไฟข้างหน้านั่นไหม ทางโน้นเขาส่งสัญญาณให้เรา พวกเดียวกัน”
อยู่ๆ ช้างก็ร้องขึ้นมา เสียงดังสนั่นป่า ทำให้อัลยาตกใจกระโดดกอดข้างหลังชายหนุ่มแน่นจนเขาต้องหยุดเดิน
“ใจเย็นคุณ ไม่มีอะไรหรอก เขาเจ็บเขาก็ร้องเป็นธรรมดาแหละ”
เขายืนนิ่ง...นั่นเป็นเวลาสั้นๆ แต่ก็เป็นความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งสองคน และดูเหมือนจะทำให้ทั้งคู่ตั้งตัวไม่ติด
“ฉันแค่ตกใจนิดหน่อย ไม่ได้เป็นไรหนิ”
ยัง...ยังไว้ฟอร์มอยู่
“งั้นก็ปล่อยผม”
ที่จริงแล้วก็ยังไม่อยากให้ปล่อยเท่าไหร่หรอก แต่เพราะห่วงช้างเท่านั้นแหละ ไม่งั้นจะปล่อยให้กอดอยู่อย่างนี้ไม่เตือนให้ปล่อยสักคำ
“อุ๊ย...”
อัลยารีบหดมือกลับ ถอยออกมาตั้งหลักหนึ่งก้าว... เสียภาพพจน์หมดเลย เกิดเป็นทหารทั้งที เสียงระเบิดดังยังไม่ตกใจแต่ดันมาตกใจเสียงช้างซะนี่
และเมื่อไปถึงที่หมายซึ่งเป็นกระท่อมที่ถูกสร้างขึ้นง่ายๆ ด้วยไม้ซุงและมุงหลังคาด้วยใบตองตึง เจ้าหน้าที่ถึงหกคน กำลังนั่งสูบบุหรี่รอหมอ ขณะที่ช้างพลายตัวใหญ่ถูกล่ามไว้ด้วยโซ่เหล็กนอนแผ่ไปกับพื้นที่ดูจะราบเรียบเพราะถูกช้างเหยียบย่ำไปทั่วบริเวณ
“ลูกซองแฝด กระสุนฝังใน ดีนะที่ไปเจอซะก่อน ไม่งั้นพวกมันคงกะเอาให้ตาย งาคู่นี้น่าจะได้หลายเงินอยู่”
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งอธิบายให้ฟังสั้นๆ พร้อมกับชี้ไปที่บริเวณขาหลังด้านขวาที่ถูกยิง หมอทศมีหน้าที่จะต้องเอากระสุนที่ฝังอยู่ออกจากตัวช้างและรักษาให้หายดีก่อนปล่อยกลับคืนสู่ป่า ความมืดของป่าไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป เมื่อบนฟ้าเต็มไปด้วยแสงของดวงดาวที่ช่วยกันส่องลงมา กับจันทร์เต็มดวงที่เหมือนจะอยู่ใกล้แค่มือเอื้อม สาดแสงให้พอมองเห็นรางๆ ในความมืด คบไฟถูกจุดเพื่อเพิ่มความสว่างสำหรับการทำงานของหมอ
“หยา ขอปืนผมที”
อัลยายื่นปืนยิงยาสลบให้เขาอย่างรวดเร็วเหมือนรู้งาน จากนั้นนายสัตวแพทย์หนุ่มคนเดียวของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอินทนิลก็ลงมือทำงานอย่างตั้งใจ
“หยาไปนั่งพักก่อนนะ... พี่ส่ง น้าเขม น้าเพิ่ม มาช่วยผมที”
เจ้าหน้าที่ป่าไม้ทั้งสองคนไปช่วยหมอทศผ่าตัด ขณะที่อีกคนเดินลาดตระเวนไปรอบๆ เพื่อดูแลความปลอดภัยให้กับทุกคน อัลยาหา “ช่อง” ที่จะช่วยเขาไม่ได้ อีกอย่าง การยืนอยู่ใกล้ๆ ก็ทำให้พวกเขาเกะกะเปล่าๆ หญิงสาวจึงต้องมานั่งบนขอนไม้ใกล้กับกองไฟ มองดูพวกเขาทำงานเงียบๆ โดยเฉพาะทศพรรษ ที่ดูเหมือนจะหลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งซึ่งมีเพียงเขากับช้างเท่านั้น เวลาผ่านไปนานนับชั่วโมง สองชั่วโมงอัลยาค่อยๆ ขยับจากขอนไม้ข้างกองไฟ ไปอยู่บนชานไม้ในกระท่อม และเผลอหลับไป...
นานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ตื่นขึ้นมาอีกทีตะวันก็ส่องหน้าแล้ว... อัลยาลุกขึ้น และพบว่าเจ้าหน้าที่ทั้งหกคนไปหลบมุมหลับในที่ของตัวเอง บางคนก็ผูกเปลนอน บางคนในกระท่อม ขณะที่ทศพรรษนอนในถุงนอนข้างกองไฟที่มอดสนิท ช้างพลายตัวใหญ่หลับสนิทเพราะฤทธิ์ยาสลบ มีผ้าพันแผลพันรอบๆ บริเวณที่ถูกยิง ทุกคนคงจะเหนื่อยมากจริงๆ เพราะดูจากสภาพแล้วไม่น่าจะตื่นในเวลาอันใกล้นี้ หญิงสาวมองไปรอบๆ ตัว พื้นที่ตรงนี้เป็นลานกว้างๆ ไม่ไกลนักเป็นลานดินโป่ง ที่บรรดาสรรพสัตว์จะลงมากินดินโป่ง และเป็นเป้าให้กับพรานป่าที่จ้องล่าพวกมันอยู่ แม้กระท่อมเจ้าหน้าที่ป่าไม้จะสร้างตั้งเด่นเอาไว้ขู่ แต่สภาพที่เก่าเจียนพังของมัน แม้แต่นายพรานที่โง่ที่สุดในโลกก็รู้ว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ พวกเขาจึงกล้าที่จะลงมือยิง
เรื่องยาว : ป่าอุ่นใจไออุ่นรัก (ตอนที่ ๖)
หญ้าเจ้าชู้
ตอนที่ ๖
ท่ามกลางเสียงแมลงกลางคืน ที่ร้องระงมดังทั้งป่า สลับกับเสียงชะนี เสียงนก และนานครั้งจะได้ยินเสียงคล้ายสัตว์ใหญ่ อัลยาพยายามเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ อาจจะเพราะเผลอหลับเมื่อตอนเย็นทำให้ตกดึก เธอกลับนอนไม่หลับเสียอย่างนั้น อยากจะโทรศัพท์ไปหาพลรบ แต่มองดูนาฬิกาแล้ว คงดึกเกินไปที่จะคุยกับเขาในตอนนี้ ไฟฟ้าก็ไม่มี จะดูหนังที่ถือติดมาด้วยแบตโน้ตบุคก็คงจะไม่พอ จะอ่านหนังสือก็ไม่ได้...ทำได้อย่างเดียวคือนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปจนกว่าจะหลับ เหอะ ป่านนี้ตาหมอตำแยข้างบ้านคงจะหลับปุ๋ยไปแล้วล่ะมั้ง เขาอยู่ที่นี่มาจนคุ้นเคยแล้วนี่นะ อยู่แต่ในป่าแบบนี้ มีแฟนแฟนคงทิ้ง เอ๊ะหรือว่าเป็นเกย์ เหอะๆ หน้าตาพอได้ ท่าทางก็เกือบจะเหมือน ต้องลองสังเกตดูนิ้วก้อยสินะ...
และขณะที่กำลังเคลิ้มหลับ... อัลยาก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะเสียงเคาะประตูบ้าน การเคาะประตูดึกๆ ยังไม่เจ็บใจเท่าการทำลายความฝันที่กำลังจะเริ่ม
“คุณ คุณหยา คุณอัลยา คุณอารยัน ขี้เซาจริงเลย นี่ถ้าระเบิดลงคงตายก่อนใครเพื่อน”
อัลยาลุกจากที่นอนอย่างไม่เต็มใจนัก หยิบไฟฉายข้างหมอน ลงบันไดมาเปิดประตูให้คนที่กำลังยืนเคาะอยู่หน้าบ้านอย่างร้อนใจ ส่องไฟฉายเข้าที่หน้าคนมาเคาะประตูบ้านกลางดึก
“เฮ่ย... จะส่องทำไม ตกใจหมด”
“เผื่อเป็นโจร”
“โจรที่ไหนมันจะตะโกนเรียกชื่ออย่างสนิทสนมแบบนี้”
“ก็โจรข้างบ้านไงคะ”
ในชุดนอน อัลยาผอมบางกว่าที่คิด เว้นบางส่วนของร่างกายที่ดูจะ... ซ่อนรูป จนเขาต้องรีบพูดต่อก่อนที่จะเผลอนึกอะไรไปไกลกว่านั้น
“ยังจะต่อปากต่อคำ...เจ้าหน้าสนามที่วิทยุเข้ามา บอกว่ามีช้างป่าโดนยิง เราต้องออกไปเดี๋ยวนี้”
“เรา...”
อัลยาหันกระบอกไฟฉายเข้าหาตัวเอง
“ใช่ คุณกับผม รวมกันเป็นเรา ไปเปลี่ยนชุด เซฟหน่อยนะเพราะฝนเพิ่งหยุด ผมจะไปเอาชุดรักษาพยาบาลที่สำนักงาน คุณตามไปที่นั่นนะ อ่อ นี่ วิทยุสื่อสารถ้าทางโน้นติดต่อมา คุณช่วยตอบ ว.ด้วย”
“ค่ะ ค่ะ”
อัลยารับคำอย่าง งงๆ แต่ก็รีบไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่แต่โดยดี ไม่ลืมที่จะใส่ถุงเท้าหนาๆ และรองเท้าหุ้มข้อ กางเกงยีนส์เสื้อเชิ้ตแขนยาวติดกระดุมแน่นหนา ปิดประตูบ้านได้ก็รีบเดินฉับๆ ไปที่สำนักงาน สักพักคลื่นซ่าๆ ของวิทยุสื่อสารก็ดังขึ้น
“ว.หนึ่งเรียก ว.สอง เปลี่ยน”
“ว้ายตายแล้ว... นี่ คุณๆ ฉันต้องทำไงมั่งอ่ะ วิทยุมันดังแล้ว”
อัลยาตกใจเสียงที่ดังขึ้นจากวิทยุ
“อย่าบอกนะว่าใช้ ว. ไม่เป็น เป็นทหารประสาอะไร ใช้วิทยุสื่อสารไม่เป็น”
“ฉันไม่ได้ทำเป็นทุกอย่างนี่ แล้วอีกอย่างไม่ต้องมาโทษอาชีพฉัน จะทหารประสาอะไรก็เรื่องของฉัน”
จะว่าอะไรก็ไม่โกรธ แต่ถ้ามาว่าเป็นทหารที่ไม่เอาไหนล่ะก็มันแทงใจดำมากเกินไป
“เถียง”
“ไม่เถียงแล้วก็ได้...เชอะ”
“เฮ้อ จะได้เรื่องมั้ยเนี่ยวันนี้... เอ่านี่ปืน ถือไว้ เออ เดี๋ยวก่อน ยิงเป็นแน่นะ”
เขาหันมาถามเพื่อความมั่นใจ ก่อนที่จะหยิบปืนยาวออกจากตู้มาให้เธอ ทศพรรษเปลี่ยนใจและดึงปืนกลับคืนเมื่อได้ฟังประโยคนี้ของเธอ
“ก็คุณจะให้ฉันยิงอะไรล่ะ แค่เล็งเป้า ลั่นไก ไม่เห็นจะยากนี่คะ”
“โอ้ ตายชัดๆ”
“แน่นอนสิคะ ถ้าเล็งแม่น ก็ตายชัดๆ”
“ผมหมายถึงเรานั่นแหละจะตายก่อน เพราะคุณยิงปืนไม่เป็น”
“เป็นสิยะ”
ยัง...ยังปากเก่งอยู่
“การยิงปืนมันไม่ใช่แค่เล็งแล้วลั่น แต่มันมากกว่านั้น”
เขาพยายามอธิบาย และหยิบข้าวของที่ต้องใช้อย่างคุ้นเคย
“มากกว่ายังไง... ก็มีแค่นั้น หรือมากกว่านั้น”
“โอเค...ไม่เถียงด้วยแล้ว งั้นเอาปืนนี่ไปถือ แล้วก็ชุดรักษาพยาบาลสัตว์ หนักมาก ถือดีๆ นะ เอาไฟฉายมานี่เดี๋ยวผมถือเอง เดินตามมา”
ออกคำสั่งอย่างกับเป็นเจ้านาย... ชิ
“นี่ปืนอะไรคะ รูปร่างแปลกๆ ไม่เคยเห็นในกองทัพ”
“จะเคยเห็นได้ไง นี่มันปืนยิงยาสลบช้าง”
เขาตอบเรียบๆ ขณะเร่งฝีเท้าเดินไปตามทางที่มุ่งเข้าสู่ป่าลึก
“โถ ชีวิต”
“บ่นอะไรคุณ รีบเดินเร็วเข้า อีกไกลนะกว่าจะถึง”
ป่าที่มืดมิด เสียงที่ดังระงมป่าอยู่เมื่อครู่ค่อยๆ เงียบลงเมื่อเสียงฝีเท้าของคนทั้งสองเหยียบลงไป ระยะทางจะไกลมากหากเดินป่าในความมืด สิ่งที่อัลยากลัวที่สุดไม่ใช่เสือ สิงห์ กระทิง แรด แต่เธอกลัวสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าต่างหาก นึกแล้วก็อดโมโหตัวเองไม่ได้ที่ลืมห้อยพระมาด้วย
“โอ้ย หยุดทำไมไม่บอก”
อยู่ๆ เขาก็หยุดเดินเสียเฉยๆ
“เอ๊า อยู่ข้างหลังก็ต้องระวังสิ ผมมีตาหลังมองคุณหรือไง”
“ก็พูดสิ ผมจะหยุดเดินแล้วนะ... ปากน่ะมีไว้ทำไมยะ”
“พูดมากเดี๋ยวสัตว์ป่าจะตื่น... มาใกล้ๆ แล้วเกาะแขนผมไว้”
อัลยาทำตามอย่างว่าง่าย ไม่ต้องให้บอกรอบสอง พยายามไม่พูดอะไรมากไปกว่าการเดินตามอย่างกระชั้น ที่สำคัญเธอเกาะแขนเขาไว้แน่น
นั่นอาจจะเป็นช่วงระยะเวลาที่ไม่ยาวนานนักแต่ก็ทำให้ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจ... อัลยาไม่เคยจะต้องเดินตามหลังใคร แต่ต้องมาเดินตามหลังผู้ชายตัวโตขายาวที่เธอต้องก้าวถี่ๆ เพื่อที่จะเดินตามให้ทัน แม้ในป่าจะมืด เงียบและน่ากลัวแค่ไหน แต่การได้เดินเกาะแขนเขาไว้แบบนี้ ก็แปลกๆ ดี
“เงียบ หลับแล้วเหรอ”
“หลับแล้วจะเดินได้ไง”
“ละเมอไง”
“เพ้อเจ้อ... อีกนานมั้ยกว่าจะถึง ฉันเหนื่อยแล้วนะคะ”
“ไม่นานหรอก เห็นแสงไฟข้างหน้านั่นไหม ทางโน้นเขาส่งสัญญาณให้เรา พวกเดียวกัน”
อยู่ๆ ช้างก็ร้องขึ้นมา เสียงดังสนั่นป่า ทำให้อัลยาตกใจกระโดดกอดข้างหลังชายหนุ่มแน่นจนเขาต้องหยุดเดิน
“ใจเย็นคุณ ไม่มีอะไรหรอก เขาเจ็บเขาก็ร้องเป็นธรรมดาแหละ”
เขายืนนิ่ง...นั่นเป็นเวลาสั้นๆ แต่ก็เป็นความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งสองคน และดูเหมือนจะทำให้ทั้งคู่ตั้งตัวไม่ติด
“ฉันแค่ตกใจนิดหน่อย ไม่ได้เป็นไรหนิ”
ยัง...ยังไว้ฟอร์มอยู่
“งั้นก็ปล่อยผม”
ที่จริงแล้วก็ยังไม่อยากให้ปล่อยเท่าไหร่หรอก แต่เพราะห่วงช้างเท่านั้นแหละ ไม่งั้นจะปล่อยให้กอดอยู่อย่างนี้ไม่เตือนให้ปล่อยสักคำ
“อุ๊ย...”
อัลยารีบหดมือกลับ ถอยออกมาตั้งหลักหนึ่งก้าว... เสียภาพพจน์หมดเลย เกิดเป็นทหารทั้งที เสียงระเบิดดังยังไม่ตกใจแต่ดันมาตกใจเสียงช้างซะนี่
และเมื่อไปถึงที่หมายซึ่งเป็นกระท่อมที่ถูกสร้างขึ้นง่ายๆ ด้วยไม้ซุงและมุงหลังคาด้วยใบตองตึง เจ้าหน้าที่ถึงหกคน กำลังนั่งสูบบุหรี่รอหมอ ขณะที่ช้างพลายตัวใหญ่ถูกล่ามไว้ด้วยโซ่เหล็กนอนแผ่ไปกับพื้นที่ดูจะราบเรียบเพราะถูกช้างเหยียบย่ำไปทั่วบริเวณ
“ลูกซองแฝด กระสุนฝังใน ดีนะที่ไปเจอซะก่อน ไม่งั้นพวกมันคงกะเอาให้ตาย งาคู่นี้น่าจะได้หลายเงินอยู่”
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งอธิบายให้ฟังสั้นๆ พร้อมกับชี้ไปที่บริเวณขาหลังด้านขวาที่ถูกยิง หมอทศมีหน้าที่จะต้องเอากระสุนที่ฝังอยู่ออกจากตัวช้างและรักษาให้หายดีก่อนปล่อยกลับคืนสู่ป่า ความมืดของป่าไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป เมื่อบนฟ้าเต็มไปด้วยแสงของดวงดาวที่ช่วยกันส่องลงมา กับจันทร์เต็มดวงที่เหมือนจะอยู่ใกล้แค่มือเอื้อม สาดแสงให้พอมองเห็นรางๆ ในความมืด คบไฟถูกจุดเพื่อเพิ่มความสว่างสำหรับการทำงานของหมอ
“หยา ขอปืนผมที”
อัลยายื่นปืนยิงยาสลบให้เขาอย่างรวดเร็วเหมือนรู้งาน จากนั้นนายสัตวแพทย์หนุ่มคนเดียวของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอินทนิลก็ลงมือทำงานอย่างตั้งใจ
“หยาไปนั่งพักก่อนนะ... พี่ส่ง น้าเขม น้าเพิ่ม มาช่วยผมที”
เจ้าหน้าที่ป่าไม้ทั้งสองคนไปช่วยหมอทศผ่าตัด ขณะที่อีกคนเดินลาดตระเวนไปรอบๆ เพื่อดูแลความปลอดภัยให้กับทุกคน อัลยาหา “ช่อง” ที่จะช่วยเขาไม่ได้ อีกอย่าง การยืนอยู่ใกล้ๆ ก็ทำให้พวกเขาเกะกะเปล่าๆ หญิงสาวจึงต้องมานั่งบนขอนไม้ใกล้กับกองไฟ มองดูพวกเขาทำงานเงียบๆ โดยเฉพาะทศพรรษ ที่ดูเหมือนจะหลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งซึ่งมีเพียงเขากับช้างเท่านั้น เวลาผ่านไปนานนับชั่วโมง สองชั่วโมงอัลยาค่อยๆ ขยับจากขอนไม้ข้างกองไฟ ไปอยู่บนชานไม้ในกระท่อม และเผลอหลับไป...
นานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ตื่นขึ้นมาอีกทีตะวันก็ส่องหน้าแล้ว... อัลยาลุกขึ้น และพบว่าเจ้าหน้าที่ทั้งหกคนไปหลบมุมหลับในที่ของตัวเอง บางคนก็ผูกเปลนอน บางคนในกระท่อม ขณะที่ทศพรรษนอนในถุงนอนข้างกองไฟที่มอดสนิท ช้างพลายตัวใหญ่หลับสนิทเพราะฤทธิ์ยาสลบ มีผ้าพันแผลพันรอบๆ บริเวณที่ถูกยิง ทุกคนคงจะเหนื่อยมากจริงๆ เพราะดูจากสภาพแล้วไม่น่าจะตื่นในเวลาอันใกล้นี้ หญิงสาวมองไปรอบๆ ตัว พื้นที่ตรงนี้เป็นลานกว้างๆ ไม่ไกลนักเป็นลานดินโป่ง ที่บรรดาสรรพสัตว์จะลงมากินดินโป่ง และเป็นเป้าให้กับพรานป่าที่จ้องล่าพวกมันอยู่ แม้กระท่อมเจ้าหน้าที่ป่าไม้จะสร้างตั้งเด่นเอาไว้ขู่ แต่สภาพที่เก่าเจียนพังของมัน แม้แต่นายพรานที่โง่ที่สุดในโลกก็รู้ว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ พวกเขาจึงกล้าที่จะลงมือยิง