Ed Sheeran
Ed sheeran เริ่มร้องเพลงตั้งแต่ 4 ขวบ เขาร้องเพลงในโบสถ์แถวบ้าน และเริ่มหัดเล่นกีตาร์ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็กมากๆ เมื่อเขาเริ่มร้องเพลง และ หัดเล่นกีตาร์ ทีนี้พออยู่ว่างๆ เขาเลยเริ่มลองแต่งเพลง ตอนเด็กๆเขาฟังเพลงที่พ่อแม่ฟัง และได้รับอิทธิพลจากมันมา
พออายุ 14 เอ็ด เลยเริ่มทำอัลบั้ม EP ของตัวเอง และพออายุ 16 เขาก็ดรอปเรียน และหันมาเอาดีอย่างจริงจังกับอาชีพนักดนตรี อายุ 17 เอ็ดย้ายไปอยู่ลอนดอน เืพื่อไล่ตามความฝันในการเป็นนักดนตรี เขาเริ่มต้นด้วยการแสดงริมถนน สู่เวทีการแสดงเล็กๆ ไปจนถึงเวทีการแสดงดนตรีท้องถิ่น จนกระทั่งเขาเริ่มได้แสดงในเทศกาลดนตรี
พออายุ 18 เขาก็ร่วมแสดงในเทศกาลดนตรีไปแล้วกว่า 312 เวทีภายในปีเดียว
อายุ 19 เอ็ดออกเดินทางตามหา แรงบรรดาลใจใหม่ๆ เขาซื้อตั๋วไป ลอส แองเจอลิส และเริ่มเดินสายแสดงไปทั่วเมือง หลังจากนั้น เอ็ดก็ตระเวณออดิชั่นตามรายการเพลงต่างๆ และได้รับความสนใจในระดับนึง ศิลปินชื่อดังหลายคนเชิญเอ็ดไปเล่นเปิดในคอนเสิร์ตของตัวเอง รวมถึงการเชิญไปออกรายการเพลง เอ็ดเริ่มอัพโหลดเพลงลงใน Youtube และมีช่องทางการนำเสนอของตัวเอง
แล้วฐานแฟนคลับก็เริ่มก่อตัวขึ้น ..
เอ็ดมีเชื่อเสียงอยู่พอตัวในบรรดาสายคนฟังเพลง เขาเป็นขวัญใจสาวๆตาม GIG ไม่ว่าจะไปงานไหนๆ แฟนๆมักได้เห็นไอ้หนุ่มหัวแดง กับอคูสติก กีต้าร์ ที่มีรูปรอยเท้าน้องหมา กับเพลงแต่งเอง โนแบนด์ โนบีท มีเพียงแค่เสียงร้องสุดนุ่มนวล และ เสียงกีต้าร์ใสกิ๊งของเขาเท่านั้น
หลังจากนั้น เอ็ดเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น เขาให้เครดิตกับหนังสือพิมพ์ The Independent, ริโอเฟอร์ดินาน และ เอลตัน จอห์น ที่ดูเหมือนช่วยโปรโมตเพลงของเอ็ด แก่แฟนๆของตัวเอง ทำให้เอ็ดเป็ฯที่รู้จักมากขึ้น
พออายุ 20 เอ็ดก็ได้เซนต์สัญญากับค่าย Asylum / Atlantic Records
ตอนปี 2011 ตอนที่เขาออก EP ส่วนตัวแบบที่วางจำหน่ายใน Itunes ตอนเดือนมกราคม เอ็ดเองก็เริ่มมีชื่อเสียงพอสมควรแล้ว สัปดาห์แรกเขาทำยอดจำหน่ายที่ 7,000 ก๊อปปี้ แต่เมื่อเขาเริ่มสังกัดค่ายในเดือนเมษาและเริ่มปล่อย "The A Team" เป็นซิงเกิ้ลเปิดตัว เมื่อมันเข้าสู่ Uk Chart แบบไม่ยากเย็น ยอดจำหน่ายของมันก็พุ่งสูงทันทีถึง 58,000 ก๊อปปี้ในสัปดาห์แรกที่วางจำหน่าย .. (และพอถึงสิ้นปี 2011 The A Team ก็ทำยอดจำหน่ายทั้งสิ้น 811,000 ก๊อปปี้ รั้งอันดับ 8 บนชาร์ตยอดจำหน่ายสูงสุดของปี 2011)
The A Team เหมือนไวรัส มันแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว จากอีกชาร์ต สู่อีกชาร์ต
แล้วที่สุดมันก็ลามไปทั่วทั้งยุโรป รวมทั้งหลายประเทศทั่วโลกอีกด้วย
เดือนสิงหาคมในปีเดียวกัน (2011) เอ็ดมีรายชื่อในศิลปินหลักของเวที BBC ในเทศกาลดนตรีสุดยิ่งใหญ่อย่าง กลาสตันบิวรี่ ตอนนั้นเขาเริ่มโปรโมต ซิงเกิ้ลที่ 2 ของตัวเองอย่าง You Need Me, I Don't Need You และมันก็เหมือนเดิม You need me ถล่มชาร์ตต่างๆอย่างรวดเร็ว และราวๆเดือนพฤศจิกายน เอ็ดจึงได้ปล่อย ซิงเกิ้ลที่ 3 อย่าง Lego House มา และซิงเกิ้ลนี้เองทำให้เอ็ดเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง แม้คุณจะไม่ใช่คอเพลงก็ตาม ..
เดือนตุลาคม มีมิวสิควิดิโอเพลงเพลงหนึ่ง ทำเก๋ด้วยการดึงดาราหนุ่มสุดฮอต รูเพิร์ต กรินท์ หรือ "รอน" จากหนังแฟรนไชน์ยอดฮิตตลอดกาลแฮรี่ พอตเตอร์ มารับบทนำ ด้วยการเป็นหนุ่มที่เหมือนจะมีอาการหมกหมุ่นกับนักร้องคนดัง โดยนักร้องหนุ่มคนที่เขาเลียนแบบและหมกหมุ่นด้วยอย่างมากนั้นมีผมสีแดงเพลิงเหมือนกัน
นั่นคือ Music Video "Lego House" ของ Ed Sheeran ที่เป็นที่กล่าวถึงอย่างมาก แต่มีเรื่องน่าขำตรงที่ บางคนดันคิดว่า นั่นเป็นเพลงที่ รูเพิร์ต กรินท์ ร้องจริงๆไปเสียอย่างนั้น ..
หลังคำตอบรับที่ดีเยี่ยมจาก Lego House ในที่สุดเอ็ดก็วางจำหน่าย Studio Album แรกในชีวิตของตัวเองด้วยชื่ออัลบั้มว่า + และนั่นทำให้โลกได้ค้นพบหนุ่มน้อยมหัศจรรย์ เพราะทุกแทร็คจากอัลบั้ม + นั้นล้วนทรงคุณค่าและเหลือเชื่อในเนื้อหา ว่ามันจะมาจากเด็กหนุ่มอายุ 20 ปี
ปี 2012 เอ็ด คว้ารางวัลใหญ่จากเวที BRIT Awards อย่าง "ศิลปินชายเดียวยอดเยี่ยม" และ พ่วงด้วยรางวัล "ศิลปินที่สร้างปรากฏการณ์แห่งปี" และกลายเป็นศิลปินอังกฤษอายุน้อยชื่อดัง ที่ศิลปินรุ่นใหญ่หลายคนให้การยอมรับจนปัจจุบัน ..
นั่นคือชีวิต 22 ปี ของ Ed Sheeran ..
Rizzle Kicks
จอร์แดนเริ่มต้นกับการหัดร้องเพลงแรพตอนอายุ 14 เขาแสดงโชว์ของตัวเองครั้งแรกในงานการกุศลของสถาบันดนตรีแห่งหนึ่ง และภายหลัง ฮาลี่ย์ก็มาร่วมด้วย ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน ภายหลังพวกเขาเริ่มตั้งกลุ่มฮิปฮอปของตัวเองขึ้นภายในสถาบัน และแสดงโชว์เล็กๆขึ้นต่อเนื่อง
ระหว่างนั้น ทั้งคู่เข้าศึกษาในโรงเรียน BRIT School จอร์แดนเรียนดนตรี ส่วน ฮาลีย์เรียนภาพยนตร์ พวกเขาเริ่มทำมิกซ์เทปของตัวเอง โดยได้รับแรงบรรดาลใจมาจากศิลปินที่ชอบอย่าง Gorillaz, Lily Allen และ Arctic Monkeys และพออายุ 16 ทั้งคู่เลยตัดสินใจฟอร์ม "Rizzle Kicks" ขึ่น โดยมาจากฉายาของ จอร์แดนที่เพื่อนๆในทีมฟุตบอลเรียกเขาว่า Rizla และถูกเปลี่ยนมาเป็น Rizzle และเติมคำว่า Kicks ลงไปเพราะพวกเขาทั้งคู่ต่างก็ชื่นชอบฟุตบอล
ขณะเรียนทั้งคู่ก็ยังมีงานแสดงโชว์เล็กๆน้อยของตัวเองกับสถาบันดนตรีที่ทั้งคู่เรียนตั้งแต่เด็กๆอย่าง AudioActive (ที่ต่อมา ทั้งคู่มอบเครดิตทั้งหมดของตัวเองให้โรงเรียนดนตรี AudioActive ทั้งหมด ไม่มีสถาบันนี้ก็ไม่มี Rizzle Kicks)
จากการทำมิกซ์เทป ทั้งคู่เริ่มแต่งเพลงและทำเดโมของตัวเอง เขาเริ่มมีผลงานเพลงของตัวเองและอัพลงบล็อกของวง และเริ่มมีความคิดอยากผลิต MV ทั้งคู่เลยเริ่มต้นถ่าย MV โดยมี ช่างภาพงานแต่งคนหนึ่งที่พบกันในปาร์ตี้เป็นคนช่วยถ่ายทำ พอเรียนจบตอนอายุ 18 ฮาลีย์ไปเป็นผู้ช่วยกับอาจารย์ที่สอนวิชาการละคร แต่จอร์แดนได้งานพิเศษที่รายได้ไม่ดีนัก
ต่อมามีค่ายเพลงสนใจวิดิโอที่วงอัพไว้ใน Youtube และทั้งคู่ตัดสินใจเซนต์สัญญากับค่าย Island และเริ่มผลิตผลงานอัลบั้มแรกของตัวเอง
พออายุ 19 พวกเขาออกซิงเกิ้ลโปรโมตแรกในชีวิตอย่าง Prophet (Better Watch It) และพวกเขาก็พบกับเรื่องไม่คาดฝันว่าจะมีนักแต่งเพลงชื่อดังชอบเพลงของพวกเขา Stephen Fry เป็นคนดังของอังกฤษ เขาเป็นทั้งนักแสดง,คนเขียนบท,นักแต่งเพลง ฯลฯ ฟรายทวิตฯเกี่ยวกับเพลงของ Rizzle Kicks ว่า "ผลงานของ Rizzle Kicks น่าสนใจอย่างไม่คาดฝัน ให้บรรยากาศของ Oldschool Hiphop ได้ดีจริงๆ"
ต่อมาพวกเขาเริ่มได้ขึ้นเป็นวงเปิดของศิลปินต่างๆ จนกระทั่งในเทศกาลดนตรี Reading and Leeds ปี 2011 ทั้งคู่ถูกเชิญให้เป็นวงหลักในเวทีของ BBC และตามมาด้วยโชว์ในงานของ Radio 1
Prophet (Better Watch It) เป็นเพียงซิงเกิ้ลโปรโมต ที่ปล่อยให้ดาวน์โหลดฟรี แต่มันก็สร้างชื่อให้ Rizzle Kicks ได้พอสมควรในแวดวงคนฟังเพลงและชาวเทศกาลดนตรี ในเดือนเดียวกันนั้นเอง วงก็ได้ปล่อยซิงเกิ้ลเปิดตัวแบบเสียเงินดาวน์โหลดอย่าง Down With the Trumpets ออกมา และทันทีที่ปล่อย มันก็ทะลุเข้าไปสู่ Uk Chart ทันที .. Down With the Trumpets ใช้เวลา 4 เดือนในการไต่อันดับไปสูงสุดที่อันดับ 8 และครองอันดับใน TOP 40 ของ UK CHART นานถึง 13 สัปดาห์
ระหว่างนั้นทั้งคู่ยังได้ออกซิงเกิ้ลที่ 2 อย่าง When I Was a Youngster มาและมันก็มีทิศทางเช่นเดียวกับ Down With the Trumpets มันพุ่งเข้าสู่ UK CHART อย่างง่ายดาย และไต่อันดับไปอยู่ใน TOP 40 อีกครั้ง
Rizzle Kicks ออกอัลบั้มเต็มของตัวเองครั้งแรกในเดือน ตุลาคม 2011 : Stereo Typical ที่ใช้เวลาในการทำยอดขายสู่ระดับ แพลตตินั่มในเวลา 8 เดือน และวันนี้พวกเขากลับมาอีกครั้งกับอัลบั้ม Roaring 20s โดยซิงเกิ้ลแรกของวงอย่าง Lost Generation เปิดตัวอย่างแรงด้วยอันดับ 6 บน UK Charts
แม้ Lost Generation จะกระแสวิพากย์วิจารณ์และการฟ้องร้องทางกฏหมายอยู่นิดหน่อยเนื่องจากมีการพาดพิงถึงบุคคลบางคนในวงการ อย่างกัปตันทีมฟุตบอลคนดังของเชลซี John Terry โดยเนื้อเพลง Lost Generation นั่นเอ่ยขึ้น จอห์น เทอร์รี่โดยมีนัยล้อเลียนเรื่องที่เขาเหยียดผิว แอนตอน เฟอร์ดินาน จนเจอสั่งแบนและปรับเงิน รวมไปถึงมีชื่อของพิธีกรคนดังอย่าง Jeremy Kyle ด้วย
**หมายเหตุ**
Lost Generation หรือ รุ่นที่สูญหาย มาจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ของออสเตรเลียในยุคล่าอาณานิคมของคนขาว หลังจากสหราชอาณาจักรยึดออสเตรเลียได้ ก็ได้ทำการขับไล่ชาวอินเดียแดงและคนพื้นเมืองออกไป รวมทั้งมีการออกนโยบายให้พาเด็กเลือกผสมที่เกิดจาก การข่มเหงชาวพื้นเมืองหญิงของคนขาว ออกไปจากแผ่นดิน โดยกันเด็กๆเลือดผสมเหล่านั้นออกไปอยู่ยังเกาะร้างห่างไกล บางรายถูกลักพาตัว เด็กๆที่เกิดในยุคนี้ จึงถูกเรียกว่า "รุ่นที่สูญหาย"
ต่อมารัฐบาลอังกฤษได้ออกมากล่าวขอโทษอย่างเป็นทางการกับรอยร้าวทางประวัติศาสตร์ที่รัฐบาลอังกฤษในยุคนั้นได้สร้างขึ้น โดยอาศัยกระแสจากภาพยนตร์เรื่อง Australia ที่ฉายในปี 2008 ที่มีการพูดถึงเหตุการณ์นี้โดยตรงโดยภาพยนตร์เองได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอังกฤษด้วย ..
21 ปีสุดสนุกของ 2 เพื่อนซี้ จอร์แดน ฮาลี่ย์ ...
Lewis Watson
ลูอิสได้กีตาร์เป็นของขวัญตอนอายุ 16 เขาไม่เคยเล่นมันมาก่อน ตอนที่เขาได้กีตาร์มา ลูอิสเล่าว่า เขาชอบมันมากจริงๆ เขาเล่นมันทั้งวันทั้งคืน และเกือบเขาขั้นวิตกจริต ต้องคอยมาเชคอยู่ตลอดว่ามันยังวางอยู่ที่เดิม เพราะกลัวว่ามันจะถูกขโมย หลังจากหัดเล่นกีตาร์ และหัดร้องเพลงเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ 2 ปี ลูอิสก็เริ่ม Cover เพลงและอัพโหลดลง Youtube โดยเพลงที่เขาคัฟเวอร์คือเพลง Swansea ของ Bombay Bicycle Club
ลูอิสเริ่มคัฟเวอร์และอัพโหลดวิดิโอลง Youtube อยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งเขาได้แฟนเพลงและผู้ติดตามมาจำนวนหนึ่ง
หลังจากเป็นศิลปิน Youtub อยู่ 2-3 ปี ลูอิสก็เริ่มอยากอัพ EP เป็นของตัวเอง ในปี 2012 't's got four sad songs on it BTW' ใน EP นี้ประกอบไปด้วยเพลงความหมายดี 4 เพลงได้แก่ What About Today?, Nothing, Bones, Windows ลูอิสบอกว่า EP นี้เขาพยายามทำให้มันออกมาเป็น "เนื้อเรื่องเดียวกัน"
What About Today พูดถึง ของใช้แล้ว หรือ ความสัมพันธ์ที่จบลง
Windows พูดถึง การมองย้อนกลับไปยังความสัมพันธ์ที่จบลงนั้น
Bones พูดถึง การพบคนใหม่
และ Nothing พูดถึงการมีความสุขกับคนคนนั้น
และทันทีที่อัลบั้มถูกเผยแพร่ ลูอิสก็ได้รับความสนใจจากหลากหลายค่ายเพลง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเซนต์สัญญากับ Warner Bros. Records ต่อมาในปี 2013 ลูอิสปล่อย EP Another four sad songs และได้ออกทัวร์ร่วมกับ Birdy ใน Australia Tours
แม้ลูอิสจะยังไม่ได้มีชื่อเสียงเด่นดังอะไรนัก แต่ถ้ามองย้อนกลับไปในวันที่เขาจับกีตาร์ตอนอายุ 16 และเริ่มต้นร้องเพลง และ หัดเล่นกีตาร์ แต่งเพลงด้วยตัวเอง 4 ปีในการได้เซนต์สัญญาและได้ออกทัวร์ร่วมกับศิลปินคนอื่นๆแล้ว มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย
16 ปีในโลกของคนธรรมดากับ 4 ปีในโลกของดนตรีของ ลูอิส วัตสัน
[BRIT Artist] แค่เลือกเครื่องดนตรีของนาย แล้วออกไปร้องเพลงซะ .. (Ed Sheeran/Rizzle Kicks/Lewis Watson)
Ed sheeran เริ่มร้องเพลงตั้งแต่ 4 ขวบ เขาร้องเพลงในโบสถ์แถวบ้าน และเริ่มหัดเล่นกีตาร์ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็กมากๆ เมื่อเขาเริ่มร้องเพลง และ หัดเล่นกีตาร์ ทีนี้พออยู่ว่างๆ เขาเลยเริ่มลองแต่งเพลง ตอนเด็กๆเขาฟังเพลงที่พ่อแม่ฟัง และได้รับอิทธิพลจากมันมา
พออายุ 14 เอ็ด เลยเริ่มทำอัลบั้ม EP ของตัวเอง และพออายุ 16 เขาก็ดรอปเรียน และหันมาเอาดีอย่างจริงจังกับอาชีพนักดนตรี อายุ 17 เอ็ดย้ายไปอยู่ลอนดอน เืพื่อไล่ตามความฝันในการเป็นนักดนตรี เขาเริ่มต้นด้วยการแสดงริมถนน สู่เวทีการแสดงเล็กๆ ไปจนถึงเวทีการแสดงดนตรีท้องถิ่น จนกระทั่งเขาเริ่มได้แสดงในเทศกาลดนตรี
พออายุ 18 เขาก็ร่วมแสดงในเทศกาลดนตรีไปแล้วกว่า 312 เวทีภายในปีเดียว
อายุ 19 เอ็ดออกเดินทางตามหา แรงบรรดาลใจใหม่ๆ เขาซื้อตั๋วไป ลอส แองเจอลิส และเริ่มเดินสายแสดงไปทั่วเมือง หลังจากนั้น เอ็ดก็ตระเวณออดิชั่นตามรายการเพลงต่างๆ และได้รับความสนใจในระดับนึง ศิลปินชื่อดังหลายคนเชิญเอ็ดไปเล่นเปิดในคอนเสิร์ตของตัวเอง รวมถึงการเชิญไปออกรายการเพลง เอ็ดเริ่มอัพโหลดเพลงลงใน Youtube และมีช่องทางการนำเสนอของตัวเอง
แล้วฐานแฟนคลับก็เริ่มก่อตัวขึ้น ..
เอ็ดมีเชื่อเสียงอยู่พอตัวในบรรดาสายคนฟังเพลง เขาเป็นขวัญใจสาวๆตาม GIG ไม่ว่าจะไปงานไหนๆ แฟนๆมักได้เห็นไอ้หนุ่มหัวแดง กับอคูสติก กีต้าร์ ที่มีรูปรอยเท้าน้องหมา กับเพลงแต่งเอง โนแบนด์ โนบีท มีเพียงแค่เสียงร้องสุดนุ่มนวล และ เสียงกีต้าร์ใสกิ๊งของเขาเท่านั้น
หลังจากนั้น เอ็ดเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น เขาให้เครดิตกับหนังสือพิมพ์ The Independent, ริโอเฟอร์ดินาน และ เอลตัน จอห์น ที่ดูเหมือนช่วยโปรโมตเพลงของเอ็ด แก่แฟนๆของตัวเอง ทำให้เอ็ดเป็ฯที่รู้จักมากขึ้น
พออายุ 20 เอ็ดก็ได้เซนต์สัญญากับค่าย Asylum / Atlantic Records
ตอนปี 2011 ตอนที่เขาออก EP ส่วนตัวแบบที่วางจำหน่ายใน Itunes ตอนเดือนมกราคม เอ็ดเองก็เริ่มมีชื่อเสียงพอสมควรแล้ว สัปดาห์แรกเขาทำยอดจำหน่ายที่ 7,000 ก๊อปปี้ แต่เมื่อเขาเริ่มสังกัดค่ายในเดือนเมษาและเริ่มปล่อย "The A Team" เป็นซิงเกิ้ลเปิดตัว เมื่อมันเข้าสู่ Uk Chart แบบไม่ยากเย็น ยอดจำหน่ายของมันก็พุ่งสูงทันทีถึง 58,000 ก๊อปปี้ในสัปดาห์แรกที่วางจำหน่าย .. (และพอถึงสิ้นปี 2011 The A Team ก็ทำยอดจำหน่ายทั้งสิ้น 811,000 ก๊อปปี้ รั้งอันดับ 8 บนชาร์ตยอดจำหน่ายสูงสุดของปี 2011)
The A Team เหมือนไวรัส มันแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว จากอีกชาร์ต สู่อีกชาร์ต
แล้วที่สุดมันก็ลามไปทั่วทั้งยุโรป รวมทั้งหลายประเทศทั่วโลกอีกด้วย
เดือนสิงหาคมในปีเดียวกัน (2011) เอ็ดมีรายชื่อในศิลปินหลักของเวที BBC ในเทศกาลดนตรีสุดยิ่งใหญ่อย่าง กลาสตันบิวรี่ ตอนนั้นเขาเริ่มโปรโมต ซิงเกิ้ลที่ 2 ของตัวเองอย่าง You Need Me, I Don't Need You และมันก็เหมือนเดิม You need me ถล่มชาร์ตต่างๆอย่างรวดเร็ว และราวๆเดือนพฤศจิกายน เอ็ดจึงได้ปล่อย ซิงเกิ้ลที่ 3 อย่าง Lego House มา และซิงเกิ้ลนี้เองทำให้เอ็ดเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง แม้คุณจะไม่ใช่คอเพลงก็ตาม ..
เดือนตุลาคม มีมิวสิควิดิโอเพลงเพลงหนึ่ง ทำเก๋ด้วยการดึงดาราหนุ่มสุดฮอต รูเพิร์ต กรินท์ หรือ "รอน" จากหนังแฟรนไชน์ยอดฮิตตลอดกาลแฮรี่ พอตเตอร์ มารับบทนำ ด้วยการเป็นหนุ่มที่เหมือนจะมีอาการหมกหมุ่นกับนักร้องคนดัง โดยนักร้องหนุ่มคนที่เขาเลียนแบบและหมกหมุ่นด้วยอย่างมากนั้นมีผมสีแดงเพลิงเหมือนกัน
นั่นคือ Music Video "Lego House" ของ Ed Sheeran ที่เป็นที่กล่าวถึงอย่างมาก แต่มีเรื่องน่าขำตรงที่ บางคนดันคิดว่า นั่นเป็นเพลงที่ รูเพิร์ต กรินท์ ร้องจริงๆไปเสียอย่างนั้น ..
หลังคำตอบรับที่ดีเยี่ยมจาก Lego House ในที่สุดเอ็ดก็วางจำหน่าย Studio Album แรกในชีวิตของตัวเองด้วยชื่ออัลบั้มว่า + และนั่นทำให้โลกได้ค้นพบหนุ่มน้อยมหัศจรรย์ เพราะทุกแทร็คจากอัลบั้ม + นั้นล้วนทรงคุณค่าและเหลือเชื่อในเนื้อหา ว่ามันจะมาจากเด็กหนุ่มอายุ 20 ปี
ปี 2012 เอ็ด คว้ารางวัลใหญ่จากเวที BRIT Awards อย่าง "ศิลปินชายเดียวยอดเยี่ยม" และ พ่วงด้วยรางวัล "ศิลปินที่สร้างปรากฏการณ์แห่งปี" และกลายเป็นศิลปินอังกฤษอายุน้อยชื่อดัง ที่ศิลปินรุ่นใหญ่หลายคนให้การยอมรับจนปัจจุบัน ..
จอร์แดนเริ่มต้นกับการหัดร้องเพลงแรพตอนอายุ 14 เขาแสดงโชว์ของตัวเองครั้งแรกในงานการกุศลของสถาบันดนตรีแห่งหนึ่ง และภายหลัง ฮาลี่ย์ก็มาร่วมด้วย ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน ภายหลังพวกเขาเริ่มตั้งกลุ่มฮิปฮอปของตัวเองขึ้นภายในสถาบัน และแสดงโชว์เล็กๆขึ้นต่อเนื่อง
ระหว่างนั้น ทั้งคู่เข้าศึกษาในโรงเรียน BRIT School จอร์แดนเรียนดนตรี ส่วน ฮาลีย์เรียนภาพยนตร์ พวกเขาเริ่มทำมิกซ์เทปของตัวเอง โดยได้รับแรงบรรดาลใจมาจากศิลปินที่ชอบอย่าง Gorillaz, Lily Allen และ Arctic Monkeys และพออายุ 16 ทั้งคู่เลยตัดสินใจฟอร์ม "Rizzle Kicks" ขึ่น โดยมาจากฉายาของ จอร์แดนที่เพื่อนๆในทีมฟุตบอลเรียกเขาว่า Rizla และถูกเปลี่ยนมาเป็น Rizzle และเติมคำว่า Kicks ลงไปเพราะพวกเขาทั้งคู่ต่างก็ชื่นชอบฟุตบอล
ขณะเรียนทั้งคู่ก็ยังมีงานแสดงโชว์เล็กๆน้อยของตัวเองกับสถาบันดนตรีที่ทั้งคู่เรียนตั้งแต่เด็กๆอย่าง AudioActive (ที่ต่อมา ทั้งคู่มอบเครดิตทั้งหมดของตัวเองให้โรงเรียนดนตรี AudioActive ทั้งหมด ไม่มีสถาบันนี้ก็ไม่มี Rizzle Kicks)
จากการทำมิกซ์เทป ทั้งคู่เริ่มแต่งเพลงและทำเดโมของตัวเอง เขาเริ่มมีผลงานเพลงของตัวเองและอัพลงบล็อกของวง และเริ่มมีความคิดอยากผลิต MV ทั้งคู่เลยเริ่มต้นถ่าย MV โดยมี ช่างภาพงานแต่งคนหนึ่งที่พบกันในปาร์ตี้เป็นคนช่วยถ่ายทำ พอเรียนจบตอนอายุ 18 ฮาลีย์ไปเป็นผู้ช่วยกับอาจารย์ที่สอนวิชาการละคร แต่จอร์แดนได้งานพิเศษที่รายได้ไม่ดีนัก
ต่อมามีค่ายเพลงสนใจวิดิโอที่วงอัพไว้ใน Youtube และทั้งคู่ตัดสินใจเซนต์สัญญากับค่าย Island และเริ่มผลิตผลงานอัลบั้มแรกของตัวเอง
พออายุ 19 พวกเขาออกซิงเกิ้ลโปรโมตแรกในชีวิตอย่าง Prophet (Better Watch It) และพวกเขาก็พบกับเรื่องไม่คาดฝันว่าจะมีนักแต่งเพลงชื่อดังชอบเพลงของพวกเขา Stephen Fry เป็นคนดังของอังกฤษ เขาเป็นทั้งนักแสดง,คนเขียนบท,นักแต่งเพลง ฯลฯ ฟรายทวิตฯเกี่ยวกับเพลงของ Rizzle Kicks ว่า "ผลงานของ Rizzle Kicks น่าสนใจอย่างไม่คาดฝัน ให้บรรยากาศของ Oldschool Hiphop ได้ดีจริงๆ"
ต่อมาพวกเขาเริ่มได้ขึ้นเป็นวงเปิดของศิลปินต่างๆ จนกระทั่งในเทศกาลดนตรี Reading and Leeds ปี 2011 ทั้งคู่ถูกเชิญให้เป็นวงหลักในเวทีของ BBC และตามมาด้วยโชว์ในงานของ Radio 1
Prophet (Better Watch It) เป็นเพียงซิงเกิ้ลโปรโมต ที่ปล่อยให้ดาวน์โหลดฟรี แต่มันก็สร้างชื่อให้ Rizzle Kicks ได้พอสมควรในแวดวงคนฟังเพลงและชาวเทศกาลดนตรี ในเดือนเดียวกันนั้นเอง วงก็ได้ปล่อยซิงเกิ้ลเปิดตัวแบบเสียเงินดาวน์โหลดอย่าง Down With the Trumpets ออกมา และทันทีที่ปล่อย มันก็ทะลุเข้าไปสู่ Uk Chart ทันที .. Down With the Trumpets ใช้เวลา 4 เดือนในการไต่อันดับไปสูงสุดที่อันดับ 8 และครองอันดับใน TOP 40 ของ UK CHART นานถึง 13 สัปดาห์
ระหว่างนั้นทั้งคู่ยังได้ออกซิงเกิ้ลที่ 2 อย่าง When I Was a Youngster มาและมันก็มีทิศทางเช่นเดียวกับ Down With the Trumpets มันพุ่งเข้าสู่ UK CHART อย่างง่ายดาย และไต่อันดับไปอยู่ใน TOP 40 อีกครั้ง
Rizzle Kicks ออกอัลบั้มเต็มของตัวเองครั้งแรกในเดือน ตุลาคม 2011 : Stereo Typical ที่ใช้เวลาในการทำยอดขายสู่ระดับ แพลตตินั่มในเวลา 8 เดือน และวันนี้พวกเขากลับมาอีกครั้งกับอัลบั้ม Roaring 20s โดยซิงเกิ้ลแรกของวงอย่าง Lost Generation เปิดตัวอย่างแรงด้วยอันดับ 6 บน UK Charts
แม้ Lost Generation จะกระแสวิพากย์วิจารณ์และการฟ้องร้องทางกฏหมายอยู่นิดหน่อยเนื่องจากมีการพาดพิงถึงบุคคลบางคนในวงการ อย่างกัปตันทีมฟุตบอลคนดังของเชลซี John Terry โดยเนื้อเพลง Lost Generation นั่นเอ่ยขึ้น จอห์น เทอร์รี่โดยมีนัยล้อเลียนเรื่องที่เขาเหยียดผิว แอนตอน เฟอร์ดินาน จนเจอสั่งแบนและปรับเงิน รวมไปถึงมีชื่อของพิธีกรคนดังอย่าง Jeremy Kyle ด้วย
**หมายเหตุ**
Lost Generation หรือ รุ่นที่สูญหาย มาจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ของออสเตรเลียในยุคล่าอาณานิคมของคนขาว หลังจากสหราชอาณาจักรยึดออสเตรเลียได้ ก็ได้ทำการขับไล่ชาวอินเดียแดงและคนพื้นเมืองออกไป รวมทั้งมีการออกนโยบายให้พาเด็กเลือกผสมที่เกิดจาก การข่มเหงชาวพื้นเมืองหญิงของคนขาว ออกไปจากแผ่นดิน โดยกันเด็กๆเลือดผสมเหล่านั้นออกไปอยู่ยังเกาะร้างห่างไกล บางรายถูกลักพาตัว เด็กๆที่เกิดในยุคนี้ จึงถูกเรียกว่า "รุ่นที่สูญหาย"
ต่อมารัฐบาลอังกฤษได้ออกมากล่าวขอโทษอย่างเป็นทางการกับรอยร้าวทางประวัติศาสตร์ที่รัฐบาลอังกฤษในยุคนั้นได้สร้างขึ้น โดยอาศัยกระแสจากภาพยนตร์เรื่อง Australia ที่ฉายในปี 2008 ที่มีการพูดถึงเหตุการณ์นี้โดยตรงโดยภาพยนตร์เองได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอังกฤษด้วย ..
Lewis Watson
ลูอิสได้กีตาร์เป็นของขวัญตอนอายุ 16 เขาไม่เคยเล่นมันมาก่อน ตอนที่เขาได้กีตาร์มา ลูอิสเล่าว่า เขาชอบมันมากจริงๆ เขาเล่นมันทั้งวันทั้งคืน และเกือบเขาขั้นวิตกจริต ต้องคอยมาเชคอยู่ตลอดว่ามันยังวางอยู่ที่เดิม เพราะกลัวว่ามันจะถูกขโมย หลังจากหัดเล่นกีตาร์ และหัดร้องเพลงเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ 2 ปี ลูอิสก็เริ่ม Cover เพลงและอัพโหลดลง Youtube โดยเพลงที่เขาคัฟเวอร์คือเพลง Swansea ของ Bombay Bicycle Club
ลูอิสเริ่มคัฟเวอร์และอัพโหลดวิดิโอลง Youtube อยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งเขาได้แฟนเพลงและผู้ติดตามมาจำนวนหนึ่ง
หลังจากเป็นศิลปิน Youtub อยู่ 2-3 ปี ลูอิสก็เริ่มอยากอัพ EP เป็นของตัวเอง ในปี 2012 't's got four sad songs on it BTW' ใน EP นี้ประกอบไปด้วยเพลงความหมายดี 4 เพลงได้แก่ What About Today?, Nothing, Bones, Windows ลูอิสบอกว่า EP นี้เขาพยายามทำให้มันออกมาเป็น "เนื้อเรื่องเดียวกัน"
What About Today พูดถึง ของใช้แล้ว หรือ ความสัมพันธ์ที่จบลง
Windows พูดถึง การมองย้อนกลับไปยังความสัมพันธ์ที่จบลงนั้น
Bones พูดถึง การพบคนใหม่
และ Nothing พูดถึงการมีความสุขกับคนคนนั้น
และทันทีที่อัลบั้มถูกเผยแพร่ ลูอิสก็ได้รับความสนใจจากหลากหลายค่ายเพลง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเซนต์สัญญากับ Warner Bros. Records ต่อมาในปี 2013 ลูอิสปล่อย EP Another four sad songs และได้ออกทัวร์ร่วมกับ Birdy ใน Australia Tours
แม้ลูอิสจะยังไม่ได้มีชื่อเสียงเด่นดังอะไรนัก แต่ถ้ามองย้อนกลับไปในวันที่เขาจับกีตาร์ตอนอายุ 16 และเริ่มต้นร้องเพลง และ หัดเล่นกีตาร์ แต่งเพลงด้วยตัวเอง 4 ปีในการได้เซนต์สัญญาและได้ออกทัวร์ร่วมกับศิลปินคนอื่นๆแล้ว มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย