หนังเรื่องนี้ครั้งแรกที่ได้ดูจะเรียกว่าหนังประเภทไหนดี เพราะมันคือ Documentary ผสม Fiction ซึ่งเรื่องราวเป็นเรื่องของสาวน้อยคนหนึ่งที่ชื่อว่า “สา” เธอทำงานอยู่ในบาร์คาราโอเกะ ซึ่งชีวิตการทำงานเธอคือสาวคาราโอเกะกลางตามที่เห็นทั่วๆไป และชีวิตปกติของเธอก็คือสาวบ้านนอกที่มาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเมืองหลวงนั่นเอง
คนเราจะใช้ชีวิตอยู่ในโลกของทุนนิยมได้อย่างไร เมื่อต้องเผชิญกับการที่ต้องใช้เงินเป็นตัวขับเคลื่อนตัวเราเองให้อยู่ในสังคม ประกอบกับผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต บ้างมีความจริงใจ บ้างมาเพื่อฉาบฉวยต้องการแค่บางสิ่งในตัวเรา จนบางครั้งเราก็อ่อนล้ากับผู้คนที่มีความหลากหลายและโลกที่วุ่นวาย “ครอบครัว” อาจจะเป็นสถานที่ที่เรานึกถึงเมื่อต้องการพักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ ครอบครัวในที่นี้อาจจะไม่ได้มีแค่เพียงคนที่ใกล้ตัวเราสุดๆอย่างพ่อกับแม่ แต่ยังมีญาติพี่น้องที่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ก็สามารถทำให้เราหายเหนื่อยได้เช่นกัน เพื่อที่เราจะได้มีพลังกลับไปสู้กับโลกที่ต้องดิ้นรนกับความวุ่นวาย…ต่อไป…
การเล่าเรื่องของสาวคาราโอเกะนั้นจะสลับไปมาระหว่างสารคดีชีวิตจริงของสาและการเล่าเรื่องแบบการแสดงของสา ซึ่งสิ่งที่หนังนำเสนอออกมานั้นจะเป็นเรื่องของชีวิตของสามากกว่ามุมมองโดยทั่วๆไปของสาวคาราโอเกะ ถ้าดูในแบบกว้างๆแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับสาวบ้านนอกที่เข้ามาใช้ชีวิตในกรุงเทพโดยการมาเป็นสาวทำงานกลางคืน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการที่หนังดึงเอามุมต่างๆออกมาได้อย่างดีและน่าติดตามตลอดเวลาตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง
ชีวิตของสาวน้อยหนึ่งคนในยามทำงานเธอเป็นคนๆหนึ่ง แต่เมื่อเธอพักผ่อนเธอกลับกลายมาเป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดจากการตัดสลับการเล่าเรื่อง ความเป็นสาวน้อยที่น่ารักสดใสร่าเริงถูกถ่ายทอดออกมาในพาร์ทของสารคดีอย่างเต็มที่และส่วนมากจะเป็นช่วงเวลาที่สาได้กลับบ้านพักผ่อน แต่ในส่วนของการเล่าเรื่องอีกแบบเธอกลายเป็นสาวน้อยที่ค่อนข้างจะเหนื่อยกับการใช้ชีวิตที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ อาจจะไม่ต่างจากการใช้ชีวิตในแบบคนกรุงหลายๆคนมากนัก ที่ต้องมีทั้งพาร์ทเคร่งเครียดในการทำงาน และพาร์ทที่ผ่อนคลายกลับกลายเป็นตัวของตัวเอง
การปรุงแต่งและความเป็นธรรมขาติของหนังเรื่องนี้ได้ผสานกันอย่างลงตัวในหลายๆเรื่อง ทั้งการเล่าที่คล้องจองกันไปตลอด ภาพที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างสวยงาม รวมถึงเพลงประกอบที่สามารถเข้าถึงอารมณ์ของหนังได้เป็นอย่างดี แม้จะมีจุดติดขัดตามรายทางเล็กน้อยไปบ้างแต่เมื่อมองในภาพรวมจุดต่างๆเหล่านั้นก็แทบจะถูกกลืนหายไป
วัฒนธรรม ประเพณี รวมถึงการใช้ชีวิตของคนไทยในเมืองหลวงและต่างจังหวัด ไดัถูกถ่ายทอดออกมาให้เรารับรู้หลายๆอย่าง การกระทำของตัวละครต่างๆที่เห็นแล้วเรารู้สึกนี่มันชีวิตจริงชัดๆ แม้จะค่อยๆไปไม่มีจุดพีคที่ขึ้นถึงที่สุด แต่มันก็คือความเป็นจริงของชีวิตที่เราเผชิญอยู่ทุกวัน ไม่ใช่หรอ?
[CR] สาวราคาโอเกะ...อีกหนึ่งบทของการเปลี่ยนแปลง [Karaoke Girl]
หนังเรื่องนี้ครั้งแรกที่ได้ดูจะเรียกว่าหนังประเภทไหนดี เพราะมันคือ Documentary ผสม Fiction ซึ่งเรื่องราวเป็นเรื่องของสาวน้อยคนหนึ่งที่ชื่อว่า “สา” เธอทำงานอยู่ในบาร์คาราโอเกะ ซึ่งชีวิตการทำงานเธอคือสาวคาราโอเกะกลางตามที่เห็นทั่วๆไป และชีวิตปกติของเธอก็คือสาวบ้านนอกที่มาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเมืองหลวงนั่นเอง
คนเราจะใช้ชีวิตอยู่ในโลกของทุนนิยมได้อย่างไร เมื่อต้องเผชิญกับการที่ต้องใช้เงินเป็นตัวขับเคลื่อนตัวเราเองให้อยู่ในสังคม ประกอบกับผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต บ้างมีความจริงใจ บ้างมาเพื่อฉาบฉวยต้องการแค่บางสิ่งในตัวเรา จนบางครั้งเราก็อ่อนล้ากับผู้คนที่มีความหลากหลายและโลกที่วุ่นวาย “ครอบครัว” อาจจะเป็นสถานที่ที่เรานึกถึงเมื่อต้องการพักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ ครอบครัวในที่นี้อาจจะไม่ได้มีแค่เพียงคนที่ใกล้ตัวเราสุดๆอย่างพ่อกับแม่ แต่ยังมีญาติพี่น้องที่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ก็สามารถทำให้เราหายเหนื่อยได้เช่นกัน เพื่อที่เราจะได้มีพลังกลับไปสู้กับโลกที่ต้องดิ้นรนกับความวุ่นวาย…ต่อไป…
การเล่าเรื่องของสาวคาราโอเกะนั้นจะสลับไปมาระหว่างสารคดีชีวิตจริงของสาและการเล่าเรื่องแบบการแสดงของสา ซึ่งสิ่งที่หนังนำเสนอออกมานั้นจะเป็นเรื่องของชีวิตของสามากกว่ามุมมองโดยทั่วๆไปของสาวคาราโอเกะ ถ้าดูในแบบกว้างๆแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับสาวบ้านนอกที่เข้ามาใช้ชีวิตในกรุงเทพโดยการมาเป็นสาวทำงานกลางคืน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการที่หนังดึงเอามุมต่างๆออกมาได้อย่างดีและน่าติดตามตลอดเวลาตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง
ชีวิตของสาวน้อยหนึ่งคนในยามทำงานเธอเป็นคนๆหนึ่ง แต่เมื่อเธอพักผ่อนเธอกลับกลายมาเป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดจากการตัดสลับการเล่าเรื่อง ความเป็นสาวน้อยที่น่ารักสดใสร่าเริงถูกถ่ายทอดออกมาในพาร์ทของสารคดีอย่างเต็มที่และส่วนมากจะเป็นช่วงเวลาที่สาได้กลับบ้านพักผ่อน แต่ในส่วนของการเล่าเรื่องอีกแบบเธอกลายเป็นสาวน้อยที่ค่อนข้างจะเหนื่อยกับการใช้ชีวิตที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ อาจจะไม่ต่างจากการใช้ชีวิตในแบบคนกรุงหลายๆคนมากนัก ที่ต้องมีทั้งพาร์ทเคร่งเครียดในการทำงาน และพาร์ทที่ผ่อนคลายกลับกลายเป็นตัวของตัวเอง
การปรุงแต่งและความเป็นธรรมขาติของหนังเรื่องนี้ได้ผสานกันอย่างลงตัวในหลายๆเรื่อง ทั้งการเล่าที่คล้องจองกันไปตลอด ภาพที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างสวยงาม รวมถึงเพลงประกอบที่สามารถเข้าถึงอารมณ์ของหนังได้เป็นอย่างดี แม้จะมีจุดติดขัดตามรายทางเล็กน้อยไปบ้างแต่เมื่อมองในภาพรวมจุดต่างๆเหล่านั้นก็แทบจะถูกกลืนหายไป
วัฒนธรรม ประเพณี รวมถึงการใช้ชีวิตของคนไทยในเมืองหลวงและต่างจังหวัด ไดัถูกถ่ายทอดออกมาให้เรารับรู้หลายๆอย่าง การกระทำของตัวละครต่างๆที่เห็นแล้วเรารู้สึกนี่มันชีวิตจริงชัดๆ แม้จะค่อยๆไปไม่มีจุดพีคที่ขึ้นถึงที่สุด แต่มันก็คือความเป็นจริงของชีวิตที่เราเผชิญอยู่ทุกวัน ไม่ใช่หรอ?