สวัสดีค่ะ
ไม่ได้พบกันนานนะคะ เนื่องจากดิฉันตั้งกระทู้ลงนิยายไม่ได้เลยค่ะ (ไม่รู้เพราะอะไร ทั้งที่ห้องอื่นก็ตั้งได้ตามปกติ)
ครั้งนี้จึงลองทดสอบดูค่ะ
ตอนเก่าซึ่งเป็นบทนำ อ่านได้ที่นี่ค่ะ
http://pantip.com/topic/30164256
===========
บทที่ 1
หนึ่งปีต่อมา
การทุ่มเทแรงกาย ความคิด และเวลาเพื่อพลิกฟื้นผืนดินซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นทรายสีขาวให้กลับมาดีขึ้นแม้ว่าจะยังไม่สมบูรณ์พร้อม สร้างความอิ่มเอมใจให้ผู้เป็นเจ้าของได้ทุกครั้งที่มองลงมาจากชานหน้าบ้านชั้นเดียวแบบประยุกต์ทำจากปูนทั้งหลัง ธารินอมยิ้มด้วยความปลาบปลื้มขณะกวาดสายตาไปทั่วอาณาจักรขนาดสิบไร่ของเขา ตอนนี้ผักบางชนิดใกล้ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว อีกหลายชนิดโตวันโตคืนอยู่ในมุ้งสีขาว แม่ไก่ในเล้ากำลังกกไข่รุ่นแรก และประชากรปลาในบ่อเลี้ยงก็เพิ่มจำนวนขึ้น
แต่ระยะเวลาหนึ่งปีไม่เพียงพอกับการสร้างสรรค์ที่ดินจำนวนนั้นให้เสร็จสมบูรณ์ตามลำพัง รอยยิ้มของธารินจางลงเมื่อเห็นพื้นดินโล่งจำนวนหนึ่งซึ่งเขายังคิดไม่ออกว่าควรทำอะไรกับมัน เนื่องจากความตั้งใจดั้งเดิมของเขาคือเศรษฐกิจพอเพียง ทำแค่พอมีพอกินเท่านั้น การปลูกพืชผักชนิดเดียวกันเต็มพื้นที่หนึ่งไร่เป็นเรื่องเปล่าประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
กระนั้น ผักที่ใกล้จะเก็บเกี่ยวได้แล้วก็ยังมีจำนวนมากเกินไป
ด้วยเหตุนี้ ธารินจึงตั้งใจจะเข้าเมืองตลอดทั้งวันเพื่อวัตถุประสงค์สองประการ อย่างแรกคือแวะร้านให้บริการอินเทอร์เน็ตเพื่อค้นหาความคิดใหม่ๆ มาเติมเต็มอาณาจักรของเขา ส่วนอย่างที่สอง...
ชายหนุ่มถอนหายใจกับความคิดที่ว่าต้องติดต่อร้านค้าสำหรับผลผลิตทางการเกษตรที่ใกล้จะเก็บเกี่ยวได้ในอนาคตอันใกล้ด้วยตัวเอง แต่ไหนแต่ไร การต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจำนวนมากในฐานะผู้ขายเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยถนัด แม้ครั้งหนึ่งเขาอาจเคยก่อตั้งบริษัทนำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ หากการเจรจาต่อรองกับคู่ค้าหรือหาตัวแทนจำหน่าย เพื่อนร่วมหุ้นของเขาจะเป็นฝ่ายดำเนินงานมากกว่า
บางที วันนี้เขาควรเข้าร้านอินเทอร์เน็ตเพียงอย่างเดียว
ขณะกำลังตัดสินใจ ธารินก็ได้ยินเสียงจักรยานยนต์ของลุงพุดดังแว่วมา รอไม่นานนัก พาหนะสองล้อขนาดกลางเก่าคร่ำคร่าก็แล่นผ่านประตูรั้วที่เปิดค้างไว้เข้ามาในเขตที่ดินของเขา ทว่าผู้ขับไม่ใช่ชายชราอดีตทหารอย่างที่คาดเดาไว้ แต่เป็นลูกชายของลุงพุดที่ชื่อว่าพิง
ในวันที่ได้รับเชิญให้ร่วมรับประทานอาหารเย็นที่บ้านของลุงพุดเป็นครั้งแรก ธารินรู้จากบทสนทนาระหว่างป้าจวงกับสมพลว่าครอบครัวนี้มีกันทั้งหมดสี่คน พิง ลูกชายคนโต อายุน้อยกว่าเขาหลายปี เป็นคนขยันขันแข็ง หัวดี แต่กลับเรียนจบแค่ชั้นมัธยมปลาย ซึ่งเจ้าตัวก็อธิบายเหตุผลทันทีว่าตนมีกิจการของตัวเองให้ดูแลอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเรียนเพิ่มอีกสี่ปีเพื่อคว้าใบปริญญาบัตรที่มีค่าแค่ภาพประดับผนัง
ส่วนสมาชิกอีกคนที่ชายหนุ่มยังไม่เคยพบหน้าเลยคือพิณ น้องสาวของพิง ซึ่งตอนนั้นกำลังศึกษาระดับชั้นปริญญาตรีปีสามที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ดูเหมือนว่าเด็กสาวคนนี้จะเป็นลูกรักของป้าจวง เพราะนางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เวลาเล่าถึงอดีตของลูกสาว ขณะที่ลุงพุด สมพล และพิง กลับทำแค่ลอบสบตากันอย่างกระอักกระอ่วนใจ ความอึดอัดที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ชายสามคนทำให้ธารินรู้ว่าครอบครัวนี้ก็มีปัญหาภายในเช่นเดียวกับทุกครอบครัวบนโลกใบนี้
และเขาไม่อยากร่วมรับรู้ด้วยเลยสักนิด
แต่การร่วมรับประทานอาหารเย็นในครั้งนั้นไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ด้วยเหตุผลบางประการ ธารินกลายเป็นแขกประจำคนหนึ่งของครอบครัวลุงพุดในแบบที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว ป้าจวงมักจะส่งลูกชายมาตามเขาไปทานอาหารเย็นด้วยกัน บางครั้งลุงพุดก็ขับจักรยานยนต์มาที่บ้านของเขาเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องงานเกษตร แถมยังให้คำแนะนำในเรื่องการเพาะปลูกด้วย ส่วนพิงซึ่งกลายเป็นสารถีจำเป็น สนิทกับเขาในระดับที่หยอกล้อกันได้พอหอมปากหอมคอ แม้ไม่ถึงขนาดพูดจาเล่นหัวด้วยภาษาโบราณหรือมุกตลกทะลึ่งตึงตังแบบที่หนุ่มคนนี้เล่นกับเพื่อนสนิทในกลุ่มเกษตรกร
อย่างไรก็ตาม ธารินกับครอบครัวของลุงพุดจะพบกันหลังเลิกงานแล้วเท่านั้น การที่พิงแวะมาหาเขาในช่วงเวลาก่อนเที่ยงถือเป็นเรื่องผิดปกติอย่างยิ่ง
หรือว่าบ้านลุงพุดจะเกิดเหตุอะไรขึ้น
ความกังวลทำให้ธารินก้าวลงบันไดหน้าบ้านที่มีเพียงห้าขั้นอย่างรวดเร็ว แต่แล้วความรู้สึกนั้นก็พลันหายวับเมื่อเห็นว่าพิงกำลังส่งยิ้มกว้างให้เป็นเชิงทักทาย ผู้ชายคนนี้คือภาพจำลองของลุงพุดในวัยหนุ่ม เพียงแต่ดวงตาไม่เข้มงวดเท่าและมีลักษณะเฉพาะตัวที่ดูเป็นกันเอง
“จะไปข้างนอกหรือครับ พี่น้ำ” ผู้มาเยือนเป็นฝ่ายถามก่อนขณะจอดรถใกล้กับบันไดขึ้นบ้านแต่ยังไม่ดับเครื่องยนต์ ธารินรอจนอีกฝ่ายกลับรถเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงตอบ
“ครับ”
ชายอายุน้อยกว่าเหลียวหลังมองเขา กวาดสายตาอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่งและถามอีก “จะไปตัดผมหรือพี่”
“ไปร้านอินเทอร์เน็ตน่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นรถเลยครับ” พิงพูดพลางตบเบาะด้านหลัง แต่พอเห็นอีกฝ่ายยังยืนเฉยจึงอธิบายต่อ “แม่ให้มาตามพี่ไปกินข้าวด้วยกัน วันนี้แม่ทำมัสมั่นไก่หม้อเบ้อเร่อเลย พ่อก็มีธุระจะคุยกับพี่ด้วยครับ แต่ผมไม่ได้ถามพ่อนะว่าเรื่องอะไร ถ้าพี่จะใช้เน็ตก็ใช้ของผมได้ จ่ายรายเดือนอยู่แล้ว”
“พี่ขับรถตามไปดีกว่า” พูดจบ ธารินก็ทำท่าจะเดินไปทางรถกระบะสีดำของตนที่จอดอยู่ในโรงรถติดกับตัวบ้าน แต่หางตาของเขาเห็นพิงเลิกคิ้วเสียก่อนจึงรีบกล่าวเสริม “พิงจะได้ไม่ต้องมาส่ง”
“โธ่เอ๊ย นึกว่าเรื่องอะไร ไม่ต้องห่วงหรอกพี่น้ำ นั่นแหละเจตนาของผมเลย” พิงหัวเราะร่วนแล้วชูนิ้วก้อยขึ้น “ผมจะใช้พี่เป็นข้ออ้างแวะไปหาไหมครับ”
ธารินต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะนึกออกว่าไหมคือสายไหม ว่าที่เจ้าสาวของพิง ลูกสาวของลุงอิ่ม ซึ่งเป็นเกษตรกรในหมู่บ้านเดียวกัน เขาพยักหน้าช้าๆ อย่างเข้าใจ ก่อนจะก้าวไปซ้อนท้ายจักรยานยนต์โดยไม่อิดออดอีก ทว่าคนขับไม่ออกรถในทันที แต่กลับมองหน้าเขาเหมือนกำลังพินิจดูสัตว์ประหลาด
“พี่ไม่คิดจะตัดผมบ้างเลยหรือ”
คนฟังเลิกคิ้วข้างหนึ่งแล้วถามกลับ “ทำไมครับ”
“รู้หรือเปล่าว่าหน้าตาของพี่ตอนนี้ดูไม่จืดเลย” พิงโคลงศีรษะช้าๆ “ที่จริงไอ้ทรงผมก็ไม่เท่าไรหรอก แต่หนวดนี่สิยาวเป็นบ้า โกนบ้างเถอะพี่ เดี๋ยวพวกเพื่อนผมมาเห็นเข้าจะเอาลูกซองยิงเพราะคิดว่าพี่เป็นหมี”
ชายหนุ่มเลียริมฝีปากและยิ้มกับคำกระเซ้า แต่อีกฝ่ายทันไม่เห็นเพราะเริ่มขับรถแล้ว
เพรงพรางใจ บทที่ 1
ไม่ได้พบกันนานนะคะ เนื่องจากดิฉันตั้งกระทู้ลงนิยายไม่ได้เลยค่ะ (ไม่รู้เพราะอะไร ทั้งที่ห้องอื่นก็ตั้งได้ตามปกติ)
ครั้งนี้จึงลองทดสอบดูค่ะ
ตอนเก่าซึ่งเป็นบทนำ อ่านได้ที่นี่ค่ะ
http://pantip.com/topic/30164256
===========
บทที่ 1
หนึ่งปีต่อมา
การทุ่มเทแรงกาย ความคิด และเวลาเพื่อพลิกฟื้นผืนดินซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นทรายสีขาวให้กลับมาดีขึ้นแม้ว่าจะยังไม่สมบูรณ์พร้อม สร้างความอิ่มเอมใจให้ผู้เป็นเจ้าของได้ทุกครั้งที่มองลงมาจากชานหน้าบ้านชั้นเดียวแบบประยุกต์ทำจากปูนทั้งหลัง ธารินอมยิ้มด้วยความปลาบปลื้มขณะกวาดสายตาไปทั่วอาณาจักรขนาดสิบไร่ของเขา ตอนนี้ผักบางชนิดใกล้ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว อีกหลายชนิดโตวันโตคืนอยู่ในมุ้งสีขาว แม่ไก่ในเล้ากำลังกกไข่รุ่นแรก และประชากรปลาในบ่อเลี้ยงก็เพิ่มจำนวนขึ้น
แต่ระยะเวลาหนึ่งปีไม่เพียงพอกับการสร้างสรรค์ที่ดินจำนวนนั้นให้เสร็จสมบูรณ์ตามลำพัง รอยยิ้มของธารินจางลงเมื่อเห็นพื้นดินโล่งจำนวนหนึ่งซึ่งเขายังคิดไม่ออกว่าควรทำอะไรกับมัน เนื่องจากความตั้งใจดั้งเดิมของเขาคือเศรษฐกิจพอเพียง ทำแค่พอมีพอกินเท่านั้น การปลูกพืชผักชนิดเดียวกันเต็มพื้นที่หนึ่งไร่เป็นเรื่องเปล่าประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
กระนั้น ผักที่ใกล้จะเก็บเกี่ยวได้แล้วก็ยังมีจำนวนมากเกินไป
ด้วยเหตุนี้ ธารินจึงตั้งใจจะเข้าเมืองตลอดทั้งวันเพื่อวัตถุประสงค์สองประการ อย่างแรกคือแวะร้านให้บริการอินเทอร์เน็ตเพื่อค้นหาความคิดใหม่ๆ มาเติมเต็มอาณาจักรของเขา ส่วนอย่างที่สอง...
ชายหนุ่มถอนหายใจกับความคิดที่ว่าต้องติดต่อร้านค้าสำหรับผลผลิตทางการเกษตรที่ใกล้จะเก็บเกี่ยวได้ในอนาคตอันใกล้ด้วยตัวเอง แต่ไหนแต่ไร การต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจำนวนมากในฐานะผู้ขายเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยถนัด แม้ครั้งหนึ่งเขาอาจเคยก่อตั้งบริษัทนำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ หากการเจรจาต่อรองกับคู่ค้าหรือหาตัวแทนจำหน่าย เพื่อนร่วมหุ้นของเขาจะเป็นฝ่ายดำเนินงานมากกว่า
บางที วันนี้เขาควรเข้าร้านอินเทอร์เน็ตเพียงอย่างเดียว
ขณะกำลังตัดสินใจ ธารินก็ได้ยินเสียงจักรยานยนต์ของลุงพุดดังแว่วมา รอไม่นานนัก พาหนะสองล้อขนาดกลางเก่าคร่ำคร่าก็แล่นผ่านประตูรั้วที่เปิดค้างไว้เข้ามาในเขตที่ดินของเขา ทว่าผู้ขับไม่ใช่ชายชราอดีตทหารอย่างที่คาดเดาไว้ แต่เป็นลูกชายของลุงพุดที่ชื่อว่าพิง
ในวันที่ได้รับเชิญให้ร่วมรับประทานอาหารเย็นที่บ้านของลุงพุดเป็นครั้งแรก ธารินรู้จากบทสนทนาระหว่างป้าจวงกับสมพลว่าครอบครัวนี้มีกันทั้งหมดสี่คน พิง ลูกชายคนโต อายุน้อยกว่าเขาหลายปี เป็นคนขยันขันแข็ง หัวดี แต่กลับเรียนจบแค่ชั้นมัธยมปลาย ซึ่งเจ้าตัวก็อธิบายเหตุผลทันทีว่าตนมีกิจการของตัวเองให้ดูแลอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเรียนเพิ่มอีกสี่ปีเพื่อคว้าใบปริญญาบัตรที่มีค่าแค่ภาพประดับผนัง
ส่วนสมาชิกอีกคนที่ชายหนุ่มยังไม่เคยพบหน้าเลยคือพิณ น้องสาวของพิง ซึ่งตอนนั้นกำลังศึกษาระดับชั้นปริญญาตรีปีสามที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ดูเหมือนว่าเด็กสาวคนนี้จะเป็นลูกรักของป้าจวง เพราะนางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เวลาเล่าถึงอดีตของลูกสาว ขณะที่ลุงพุด สมพล และพิง กลับทำแค่ลอบสบตากันอย่างกระอักกระอ่วนใจ ความอึดอัดที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ชายสามคนทำให้ธารินรู้ว่าครอบครัวนี้ก็มีปัญหาภายในเช่นเดียวกับทุกครอบครัวบนโลกใบนี้
และเขาไม่อยากร่วมรับรู้ด้วยเลยสักนิด
แต่การร่วมรับประทานอาหารเย็นในครั้งนั้นไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ด้วยเหตุผลบางประการ ธารินกลายเป็นแขกประจำคนหนึ่งของครอบครัวลุงพุดในแบบที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว ป้าจวงมักจะส่งลูกชายมาตามเขาไปทานอาหารเย็นด้วยกัน บางครั้งลุงพุดก็ขับจักรยานยนต์มาที่บ้านของเขาเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องงานเกษตร แถมยังให้คำแนะนำในเรื่องการเพาะปลูกด้วย ส่วนพิงซึ่งกลายเป็นสารถีจำเป็น สนิทกับเขาในระดับที่หยอกล้อกันได้พอหอมปากหอมคอ แม้ไม่ถึงขนาดพูดจาเล่นหัวด้วยภาษาโบราณหรือมุกตลกทะลึ่งตึงตังแบบที่หนุ่มคนนี้เล่นกับเพื่อนสนิทในกลุ่มเกษตรกร
อย่างไรก็ตาม ธารินกับครอบครัวของลุงพุดจะพบกันหลังเลิกงานแล้วเท่านั้น การที่พิงแวะมาหาเขาในช่วงเวลาก่อนเที่ยงถือเป็นเรื่องผิดปกติอย่างยิ่ง
หรือว่าบ้านลุงพุดจะเกิดเหตุอะไรขึ้น
ความกังวลทำให้ธารินก้าวลงบันไดหน้าบ้านที่มีเพียงห้าขั้นอย่างรวดเร็ว แต่แล้วความรู้สึกนั้นก็พลันหายวับเมื่อเห็นว่าพิงกำลังส่งยิ้มกว้างให้เป็นเชิงทักทาย ผู้ชายคนนี้คือภาพจำลองของลุงพุดในวัยหนุ่ม เพียงแต่ดวงตาไม่เข้มงวดเท่าและมีลักษณะเฉพาะตัวที่ดูเป็นกันเอง
“จะไปข้างนอกหรือครับ พี่น้ำ” ผู้มาเยือนเป็นฝ่ายถามก่อนขณะจอดรถใกล้กับบันไดขึ้นบ้านแต่ยังไม่ดับเครื่องยนต์ ธารินรอจนอีกฝ่ายกลับรถเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงตอบ
“ครับ”
ชายอายุน้อยกว่าเหลียวหลังมองเขา กวาดสายตาอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่งและถามอีก “จะไปตัดผมหรือพี่”
“ไปร้านอินเทอร์เน็ตน่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นรถเลยครับ” พิงพูดพลางตบเบาะด้านหลัง แต่พอเห็นอีกฝ่ายยังยืนเฉยจึงอธิบายต่อ “แม่ให้มาตามพี่ไปกินข้าวด้วยกัน วันนี้แม่ทำมัสมั่นไก่หม้อเบ้อเร่อเลย พ่อก็มีธุระจะคุยกับพี่ด้วยครับ แต่ผมไม่ได้ถามพ่อนะว่าเรื่องอะไร ถ้าพี่จะใช้เน็ตก็ใช้ของผมได้ จ่ายรายเดือนอยู่แล้ว”
“พี่ขับรถตามไปดีกว่า” พูดจบ ธารินก็ทำท่าจะเดินไปทางรถกระบะสีดำของตนที่จอดอยู่ในโรงรถติดกับตัวบ้าน แต่หางตาของเขาเห็นพิงเลิกคิ้วเสียก่อนจึงรีบกล่าวเสริม “พิงจะได้ไม่ต้องมาส่ง”
“โธ่เอ๊ย นึกว่าเรื่องอะไร ไม่ต้องห่วงหรอกพี่น้ำ นั่นแหละเจตนาของผมเลย” พิงหัวเราะร่วนแล้วชูนิ้วก้อยขึ้น “ผมจะใช้พี่เป็นข้ออ้างแวะไปหาไหมครับ”
ธารินต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะนึกออกว่าไหมคือสายไหม ว่าที่เจ้าสาวของพิง ลูกสาวของลุงอิ่ม ซึ่งเป็นเกษตรกรในหมู่บ้านเดียวกัน เขาพยักหน้าช้าๆ อย่างเข้าใจ ก่อนจะก้าวไปซ้อนท้ายจักรยานยนต์โดยไม่อิดออดอีก ทว่าคนขับไม่ออกรถในทันที แต่กลับมองหน้าเขาเหมือนกำลังพินิจดูสัตว์ประหลาด
“พี่ไม่คิดจะตัดผมบ้างเลยหรือ”
คนฟังเลิกคิ้วข้างหนึ่งแล้วถามกลับ “ทำไมครับ”
“รู้หรือเปล่าว่าหน้าตาของพี่ตอนนี้ดูไม่จืดเลย” พิงโคลงศีรษะช้าๆ “ที่จริงไอ้ทรงผมก็ไม่เท่าไรหรอก แต่หนวดนี่สิยาวเป็นบ้า โกนบ้างเถอะพี่ เดี๋ยวพวกเพื่อนผมมาเห็นเข้าจะเอาลูกซองยิงเพราะคิดว่าพี่เป็นหมี”
ชายหนุ่มเลียริมฝีปากและยิ้มกับคำกระเซ้า แต่อีกฝ่ายทันไม่เห็นเพราะเริ่มขับรถแล้ว