Credit: voicetv.co.th
-------
คลิกดูคลิปข่าวได้ที่
http://news.voicetv.co.th/business/83549.html
การแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจสมาร์ทโฟนที่มีเจ้าตลาดอย่างแอปเปิลและซัมซุง แย่งชิงส่วนแบ่งลูกค้า กระทบต่อธุรกิจโทรศัพท์มือถือของโตชิบา ที่ต้องยุติการผลิตสมาร์ทโฟนฟังก์ชั่นดีๆ ลง เพราะทำอย่างไร ก็แข่งกับเจ้าตลาดไม่ได้
บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ของญี่ปุ่น อย่างพานาโซนิค ประกาศเตรียมยุติการวิจัยสมาร์ทโฟนใหม่ๆ สำหรับลูกค้ารายย่อยในญี่ปุ่น เพราะประสบปัญหาในการพยายามรุกเข้าสู่ธุรกิจนี้ ที่มีแอปเปิลและซัมซุงเป็นผู้นำตลาด แต่อย่างไรก็ตาม พานาโซนิค จะยังผลิตสมาร์ทโฟนอยู่ แต่จะเน้นทุ่มเทไปที่การผลิตสมาร์ทโฟนสำหรับตลาดองค์กร ที่ใช้ในธุรกิจกลุ่มคลังสินค้า ที่ต้องใช้ข้อมูลร่วมกันในพื้นที่ขนาดใหญ่
แม้ไตรมาสที่สองของปีนี้ พานาโซนิคมีกำไรสุทธิ 1 แสนล้านเยน เพิ่มขึ้น 742% จากปีก่อน กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 6 หมื่น 4 พัน 2 ร้อยล้านเยน เพิ่มขึ้น 66.3% แต่ในแผนกโทรศัพท์มือถือของพานาโซนิค โมบายล์ คอมมูนิเคชัน ขาดทุนจากการดำเนินงาน 5 พัน 4 ร้อยล้านเยน แม้ว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น 86% ก็ตาม
และจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง อีกทั้งกระแสการเปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจที่มีความคล่องตัวมากขึ้น ผู้ประกอบการจึงเลือกหนทางที่ช่วยประหยัดต้นทุนให้มากที่สุด ล่าสุดโตชิบา เตรียมปรับลดพนักงานลง 50% และจะจ้างคนนอกให้เข้ามาทำงานเพิ่มเป็น 70% เพื่อลดต้นทุนการผลิต หลังจากที่ประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก เนื่องจากยอดจำหน่ายโทรทัศน์ในตลาดโลกลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ โตชิบายังเตรียมปิดโรงงานในต่างประเทศ 2 แห่ง จากทั้งหมด 3 แห่ง แต่ไม่ได้ระบุว่าจะเป็นโรงงานที่จีน อินโดนีเซีย หรือโปแลนด์
ด้าน บริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหม่สัญชาติเยอรมันอย่าง ซีเมนส์ ประกาศปรับลดพนักงานทั่วโลก 15,000 ตำแหน่ง เพื่อลดค่าใช้จ่ายของบริษัท หลังจากปีก่อน ซีเมนส์มีผลกำไรลดลง รวมถึงผลประกอบการในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาก็ลดลงเช่นกัน โดยขั้นตอนการปลดพนักงานคือ ครึ่งหนึ่งของทั้งหมด จะถูกปลดทันที ส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือจะปลดในเวลาต่อไป ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นข้อตกลงที่เห็นชอบร่วมกันระหว่างพนักงานและนายจ้างแล้ว
การปรับลดพนักงาน 15,000 ตำแหน่งนั้น โดยแบ่งการปลดพนักงานในเยอรมัน 5,000 ตำแหน่ง และอีก 10,000 ตำแหน่งในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก โดยพนักงานที่ถูกปลด คิดเป็นสัดส่วน 4% ของพนักงานทั้งหมดที่มีประมาณ 370,000 คน
เมื่อเทรนด์ธุรกิจโลกเปลี่ยน โตชิบา-ซีเมนส์ ปลดคนงานทั่วโลก
-------
คลิกดูคลิปข่าวได้ที่ http://news.voicetv.co.th/business/83549.html
การแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจสมาร์ทโฟนที่มีเจ้าตลาดอย่างแอปเปิลและซัมซุง แย่งชิงส่วนแบ่งลูกค้า กระทบต่อธุรกิจโทรศัพท์มือถือของโตชิบา ที่ต้องยุติการผลิตสมาร์ทโฟนฟังก์ชั่นดีๆ ลง เพราะทำอย่างไร ก็แข่งกับเจ้าตลาดไม่ได้
บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ของญี่ปุ่น อย่างพานาโซนิค ประกาศเตรียมยุติการวิจัยสมาร์ทโฟนใหม่ๆ สำหรับลูกค้ารายย่อยในญี่ปุ่น เพราะประสบปัญหาในการพยายามรุกเข้าสู่ธุรกิจนี้ ที่มีแอปเปิลและซัมซุงเป็นผู้นำตลาด แต่อย่างไรก็ตาม พานาโซนิค จะยังผลิตสมาร์ทโฟนอยู่ แต่จะเน้นทุ่มเทไปที่การผลิตสมาร์ทโฟนสำหรับตลาดองค์กร ที่ใช้ในธุรกิจกลุ่มคลังสินค้า ที่ต้องใช้ข้อมูลร่วมกันในพื้นที่ขนาดใหญ่
แม้ไตรมาสที่สองของปีนี้ พานาโซนิคมีกำไรสุทธิ 1 แสนล้านเยน เพิ่มขึ้น 742% จากปีก่อน กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 6 หมื่น 4 พัน 2 ร้อยล้านเยน เพิ่มขึ้น 66.3% แต่ในแผนกโทรศัพท์มือถือของพานาโซนิค โมบายล์ คอมมูนิเคชัน ขาดทุนจากการดำเนินงาน 5 พัน 4 ร้อยล้านเยน แม้ว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น 86% ก็ตาม
และจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง อีกทั้งกระแสการเปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจที่มีความคล่องตัวมากขึ้น ผู้ประกอบการจึงเลือกหนทางที่ช่วยประหยัดต้นทุนให้มากที่สุด ล่าสุดโตชิบา เตรียมปรับลดพนักงานลง 50% และจะจ้างคนนอกให้เข้ามาทำงานเพิ่มเป็น 70% เพื่อลดต้นทุนการผลิต หลังจากที่ประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก เนื่องจากยอดจำหน่ายโทรทัศน์ในตลาดโลกลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ โตชิบายังเตรียมปิดโรงงานในต่างประเทศ 2 แห่ง จากทั้งหมด 3 แห่ง แต่ไม่ได้ระบุว่าจะเป็นโรงงานที่จีน อินโดนีเซีย หรือโปแลนด์
ด้าน บริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหม่สัญชาติเยอรมันอย่าง ซีเมนส์ ประกาศปรับลดพนักงานทั่วโลก 15,000 ตำแหน่ง เพื่อลดค่าใช้จ่ายของบริษัท หลังจากปีก่อน ซีเมนส์มีผลกำไรลดลง รวมถึงผลประกอบการในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาก็ลดลงเช่นกัน โดยขั้นตอนการปลดพนักงานคือ ครึ่งหนึ่งของทั้งหมด จะถูกปลดทันที ส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือจะปลดในเวลาต่อไป ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นข้อตกลงที่เห็นชอบร่วมกันระหว่างพนักงานและนายจ้างแล้ว
การปรับลดพนักงาน 15,000 ตำแหน่งนั้น โดยแบ่งการปลดพนักงานในเยอรมัน 5,000 ตำแหน่ง และอีก 10,000 ตำแหน่งในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก โดยพนักงานที่ถูกปลด คิดเป็นสัดส่วน 4% ของพนักงานทั้งหมดที่มีประมาณ 370,000 คน