ฮัจญ์ บทเรียนสอนชีวิต

ฮัจญ์ บทเรียนสอนชีวิต

บทความโดยอาจารย์บรรจง บินกาซัน ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน



ภาพถ่ายมัสยิดฮะรอมมุมสูง



ช่วงเดือนกันยายนนี้เป็นช่วงเวลาที่ชาวโลกได้เห็นการเดินทางครั้งใหญ่ประจำปีของชาวมุสลิมทั่วโลกนับล้านคนจากทุกเผ่าพันธุ์และสีผิว จุดหมายปลายทางของคนเหล่านี้คือเมืองมักก๊ะฮฺในประเทศซาอุดิอาระเบียอันเป็นที่ตั้งบัยตุลลอฮฺ(บ้านของอัลลอฮฺ) ศูนย์กลางทางจิตวิญญาณของชาวมุสลิม ทั้งนี้เพื่อไปทำพิธีฮัจญ์อันเป็นศาสนพิธีสำคัญอย่างหนึ่งที่ถูกกำหนดให้มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติครั้งหนึ่งในชีวิตหากมีความสามารถ         


ดังนั้น สนามบินทุกแห่งที่มีสายการบินเดินทางไปยังซาอุดิอาระเบียจะแออัดไปด้วยผู้คนที่เดินทางไปทำพิธีฮัจญ์และผู้ไปส่งที่มีจำนวนมากกว่าผู้ไปนับเป็นสิบเท่า          การไปส่งผู้เดินทางไปทำพิธีฮัจญ์แตกต่างไปจากการส่งคนเดินทางทั่วไปตรงที่นอกจากเป็นการแสดงความยินดีและความมีน้ำใจแล้ว ผู้ไปส่งยังได้รับผลบุญและมีบทเรียนเรื่องการเดินทางของวิญญาณแฝงไว้อีกด้วย ส่วนใครจะได้รับบทเรียนนี้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการใช้สติปัญญาของแต่ละคน         


ในคัมภีร์กุรอานมีคำสอนเรื่องความจริงแห่งชีวิตสั้นๆตอนหนึ่งว่า “อินนาลิลลาฮ์ วะอินนาอิลัยฮิรอญิอูน” ซึ่งมีความหมายว่า “แท้จริง เราเป็นของอัลลอฮฺ และยังพระองค์ที่เราจะกลับไป” นบีมุฮัมมัดสั่งให้มุสลิมกล่าวคำนี้เมื่อได้ยินข่าวการตายเพื่อเป็นการเตือนตัวเอง        

 การไปส่งคนเดินทางคือการส่งคนที่จากเราไป คนเดินทางออกจากสนามบินไปก็เปรียบได้กับวิญญาณที่เดินทางออกจากร่าง จะต่างกันก็ตรงที่คนเดินทางไปทำพิธีฮัจญ์มีตั๋วเดินทางไปและกลับแน่นอน แต่วิญญาณจะเดินทางออกจากร่างของเราไปเมื่อใดนั้น เราไม่รู้กำหนดการที่แน่นอน

และเมื่อวิญญาณเดินทางออกไปแล้ว มันไม่มีตั๋วเที่ยวกลับ มันมีแค่ตั๋วไปเที่ยวเดียว เมื่อไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก จุดหมายปลายทางของผู้ไปทำฮัจญ์คือบัยตุลลอฮฺ แต่จุดหมายปลายทางของวิญญาณคือการกลับไปหาอัลลอฮฺพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของมันและส่งมันมา



ภาพบัยตุลลอฮฺ         


ในสมัยที่ยังไม่มีเครื่องบิน การเดินทางต้องอาศัยเรือซึ่งใช้เวลานาน ก่อนการเดินทางครั้งใหญ่ในชีวิต คนที่จะเดินทางไปต้องเตรียมเสบียงมากมาย แต่เมื่อโลกเจริญขึ้นจนมีเครื่องบินที่เดินทางสะดวกรวดเร็ว สิ่งที่คนไปทำพิธีฮัจญ์ต้องเตรียมก็คือเงินทองเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย บางคนต้องเก็บออมทั้งชีวิตกว่าจะได้ไป

แต่สำหรับการเดินทางของวิญญาณ เสบียงของมันไม่ใช่วัตถุ หากแต่เป็นความยำเกรงพระเจ้าซึ่งจะทำให้มันไม่กล้าบงการร่างที่มันอาศัยอยู่ให้ทำชั่วแม้มีเงินแล้วก็ตาม ก่อนเดินทาง ผู้จะไปทำพิธีฮัจญ์ต้องเคลียร์เรื่องหนี้สินหรือสั่งเสียทายาทของตนให้รับผิดชอบเรื่องหนี้สินที่ค้างอยู่

หลังจากนั้นก็ต้องไปขออภัยต่อญาติสนิทมิตรสหายที่ตัวเองอาจเคยล่วงเกินทั้งกาย วาจาและใจ เพราะไม่มีใครรู้ว่าหลังจากเดินทางไปแล้ว ตัวเองจะได้กลับมาหรือไม่แม้จะมีตั๋วเดินทางกลับก็ตาม

ในอิสลาม การตายโดยไม่ได้รับอโหสิกรรมจากมนุษย์ด้วยกันจะทำให้คนผู้นั้นไม่ได้รับการอภัยจากพระเจ้า เช่นเดียวกัน หากมีหนี้สินที่ยังไม่ได้ชำระ แม้จะตายอย่างมีเกียรติอย่างไรก็ได้แค่นั่งอยู่ที่หน้าประตูสวรรค์ จนกว่าจะมีคนมาชำระหนี้แทนให้ จึงจะได้เข้าไปการเดินทางไปทำ

พิธีฮัจญ์จึงให้บทเรียนแก่ชีวิตว่าขณะที่มีวิญญาณอยู่ในร่าง จงอย่าไปล่วงละเมิดผู้อื่น และหากเป็นไปได้ก็จงอย่ามีหนี้สิน หรือถ้ามีก็ต้องเตรียมการชำระหนี้ของตัวเองไว้ด้วย เพราะวิญญาณจะเดินทางออกจากร่างไปเมื่อใด ไม่มีใครรู้

การทำพิธีฮัจญ์ของคนนับล้านคนในเวลาเดียวกันทำให้ต้องมีการเบียดเสียดยัดเยียดเพราะทุกคนต่างต้องทำสิ่งที่ตัวเองเตรียมตัวมาให้สำเร็จเสร็จสิ้น คุณธรรมสำคัญที่ทุกคนถูกกำชับให้ยึดถือและเป็นคุณธรรมอันสูงส่งของทุกศาสดาคือความอดทนและการให้อภัย ไม่มีคุณธรรมสองอย่างนี้ ชีวิตก็ไม่อาจประสบความสำเร็จ ด้วยคุณธรรมสองอย่างนี้เองที่ทำให้พิธีฮัจญ์ไม่มีการทะเลาะหรือการตบตีกัน แม้จะมีคนนับล้านมาชุมนุมร่วมกันก็ตาม



ทุกคนที่อยู่ในพิธีฮัจญ์จะได้เห็นถึงความเสมอภาคที่แท้จริงของมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์และสีผิว รอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺ ใครจะมีสถานะยิ่งใหญ่จากที่ไหนมาก็ตาม แต่เมื่อมาที่นี่ ทุกคนที่เป็นผู้ชายต้องอยู่ในสภาพที่ต้องนุ่งห่มร่างกายด้วยผ้าขาวธรรมดาสองผืน  น้อยกว่าผ้าห่อศพเสียอีก


และที่รอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺอีกเช่นกันที่ทุกคนได้รู้ว่ามนุษย์เป็นสิ่งถูกสร้างที่ต้องกราบสักการะพระเจ้าผู้ทรงสร้าง มิใช่สิ่งถูกสร้างด้วยกันวันสำคัญที่สุดของการทำพิธีฮัจญ์คือวันที่ทุกคนต้องไปชุมนุมกันที่ทุ่งกว้างแห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่าทุ่งอะเราะฟะฮฺในตอนบ่าย ใครที่เสียเงินนับแสนเดินทางมา แต่ไม่ได้ไปอยู่ในสถานที่แห่งนี้ในเวลาบ่ายถือว่าคนผู้นั้นไม่ได้ไปทำพิธีฮัจญ์

ณ ทุ่งอะเราะฟะฮฺนี้เอง ผู้ไปทำฮัจญ์จะเห็นภาพจำลองสถานการณ์วันแห่งการฟื้นคืนชีพหลังความตายและเข้าใจได้ทันทีถึงวันแห่งการชุมนุมใหญ่ที่จะมีขึ้นหลังวันอวสานของโลก วันนั้นเป็นวันที่วิญญาณของมนุษย์ทั้งหมดตั้งแต่คนแรกถึงคนสุดท้ายจะถูกทำให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาพร้อมๆกันในร่างที่สามารถรับความรู้สึกได้

ทั้งนี้เพื่อรอรับความยุติธรรมอันสมบูรณ์จากการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงเที่ยงธรรม  ที่สุดอนาคตชีวิตที่แท้จริงของแต่ละคนจะเป็นอย่างไรจะเริ่มหลังจากการพิพากษาในวันนั้น กระบวนการยุติธรรมของพระเจ้าไม่มีใครสามารถเปลี่ยนสำนวนคดีหรือติดสินบนเจ้าหน้าที่ได้เหมือนในโลกนี้ ดังนั้น เสบียงที่ดีที่สุดสำหรับการเดินทางของชีวิตคือความยำเกรงพระเจ้า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่