เกร็ดสามก๊ก
ผู้พิทักษ์เสฉวน
ตอนที่ ๔ แม่ทัพผู้มีพิษรอบตัว
เล่าเซี่ยงชุน
ขณะเมื่อ ขงเบ้ง ทำอุบายยักย้ายถ่ายเท จนได้ตัว เกียงอุย ข้าศึกผู้มีสติปัญญาทัดเทียมกัน จากเมืองเทียนซุย มาเป็นเพื่อนคู่คิดมิตรคู่ใจนั้น พระเจ้าโจยอย แห่งวุยก๊กได้เสวยราชสมบัติที่เมืองลกเอี๋ยงราชธานีเดิม ต่อจาก พระเจ้าโจผี พระราชบิดา ยังไม่ทันจะครบขวบปี ขงเบ้งก็ยกพยุหยาตราไปถึงเขากิสาน ตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำอุยซุยฟากตะวันตก เตรียมจะเข้าตีเมืองลกเอี๋ยง
พระเจ้าโจยอยปรึกษากับขุนนางผู้ใหญ่แล้ว ก็ให้ โจจิ๋น ขุนพลเก่าสมัย โจโฉ หรือพระเจ้าวุยอ๋อง ยกกองทัพออกไปต้านทาน โจจิ๋นก็ถ่อมตัวว่าเป็นคนสติปัญญาน้อย กลัวว่าจะทำการไปไม่ตลอด อองลอง ขุนนางเก่าก็กระตุ้นว่า ท่านเป็นผู้ใหญ่เคย ทำราชการมาตั้งแต่ครั้งพระเจ้าวุยอ๋อง ซึ่งมาเจรจาถ่อมตัวเป็นเชิงอยู่ฉะนี้ไม่ชอบ เราช่วยกันทำการอาสาแผ่นดินเถิด ตัวข้าพเจ้าคนแก่นี้อายุก็เจ็ดสิบหกปีแล้ว ก็จะยอมไปกับท่าน โจจิ๋นก็จำต้องยอมรับ
พระเจ้าโจยอยก็ให้ กุยห้วย เป็นปลัดทัพ อองลองเป็นที่ปรึกษา โจจุ้นเป็นกองหน้า คุมทหารยี่สิบหมื่นออกจากเมืองลกเอี๋ยง ข้ามฟากแม่น้ำอุยซุยไปตั้งค่ายอยู่ทางทิศตะวันตก ประจันหน้ากับค่ายของขงเบ้ง
อองลองก็รับอาสา ว่าจะไปเจรจากับขงเบ้งด้วยปากถากด้วยวาจาให้ขงเบ้งยอมพนมมืออ่อนน้อมให้ได้ จะได้ไม่ลำบากแก่ไพร่พล โจจิ๋นจึงให้ทหารถือหนังสือไปนัดขงเบ้ง ให้ยกทหารออกจากค่ายมารบกันแต่เช้าวันรุ่งขึ้น พอได้ฤกษ์กองทัพทั้งสองก็ยกกองทัพอย่างเต็มยศใหญ่ ออกไปสู่สนามรบ เมื่อทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน เสียงตีม้าล่อฆ้องกลองสงบลงแล้ว อองลองก็ขับม้าออกหน้าทหาร เชิญขงเบ้งมาเจรจาด้วย
ขงเบ้งก็ขี่เกวียนประจำตำแหน่ง ออกมาข้างหน้ากองทัพ มีทหารเอกขนาบทั้งซ้ายขวาพร้อมที่จะเจรจาด้วย ต่างคนต่างคำนับกันตามธรรมเนียมแล้ว อองลองก็เปิดฉากว่า
“..ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ เลื่องลือชื่อท่านก็ช้านานอยู่แล้ว เราได้พบกันวันนี้ก็เป็นบุญของเรา ฝ่ายตัวท่านเป็นคนมีวิชา รู้ขนบธรรมเนียมการแผ่นดินอยู่ เหตุใดจึงเข้าเป็นพวกอ้ายคนพาลชาติต่ำ ยกกองทัพมาฉะนี้...."
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้น จึงตอบว่า
"..เหตุใดท่านจึงเจรจาฉะนี้ พระเจ้าเล่าปี่เป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ สั่งเราไว้ว่าให้กำจัดอ้ายพวกโจรศัตรูราชสมบัติเสียให้ได้ เราจึงยกกองทัพมา....."
อองลองก็แจกแจงว่าอันประเพณีการแผ่นดินนั้น จะยึดเอาเป็นเที่ยงอยู่เสมอไปไม่ได้ ผู้ใดมีวาสนามากได้สมบัติก็เรียกว่าเป็นกษัตริย์เมื่อครั้งที่ พระเจ้าเลนเต้ได้ครองราชสมบัติ ก็เกิดโจรโพกผ้าเหลืองขึ้นทำการจลาจล ราษฎรทั้งปวงก็ได้รับความเดือดร้อน พอมาถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ครองราชสมบัตินั้นเล่า แผ่นดินก็เป็นอันตรายตั๋งโต๊ะ ทำหยาบช้าต่าง ๆ แล้วก็เกิดรบกันกับ ลิฉุย กุยกี ขึ้นกลางเมือง อ้วนสุด และอ้วนเสี้ยว อีกทั้ง เล่าเปียว ลิโป้ ก็เป็นขบถแข็งเมืองขึ้นทั้งสิ้น ราษฎรทั้งปวงก็ไม่ได้มีความสุข ครั้งนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้เหมือนไข่ตั้งอยู่บนศิลา หากว่า พระเจ้าวุยอ๋อง นายของเรามีบุญมาก กำจัดศัตรูเหล่านั้นลงเสียได้ พระเจ้าเหี้ยนเต้และราษฎรทั้งปวงจึงได้นอนตาหลับเป็นสุขมากขึ้น ฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล เสบียงอาหารก็บริบูรณ์มิขัดสน แล้วก็สำทับต่อไปว่า
"....อนึ่งคำโบราณกล่าวไว้ว่า เกิดเป็นคนในแผ่นดินให้พิเคราะห์ดูการ ถ้าผู้ใดมีบุญสมภารมาก ก็ให้เข้านอบนบเป็นข้าอยู่ด้วย ผู้นั้นจึงจะได้ความสุข แม้นขืนคำโบราณก็จะ

จนตัวตาย บัดนี้พระเจ้าโจยอยมีรับสั่งให้เราคุมทหารเอกพันหนึ่งทหารเลวยี่สิบหมื่นยกมาเหมือนเพลิงไหม้ป่า พิเคราะห์ดูกองทัพท่านเหมือนหิ่งห้อยติดปลายหญ้า ถ้าจะรบพุ่งกันเข้า ก็เห็นจะเป็นอันตรายยับเยินไปข้างเดียว ตัวท่านเป็นคนมีปัญญาหลักแหลม สาระพัดจะรู้ขนบธรรมเนียมทั้งปวง แม้รู้จักโทษตัวซึ่งคิดผิดไปเข้ากับเล่าปี่นั้นแล้ว ยอมอ่อนน้อมต่อเราโดยดี เราจะกราบทูลพระเจ้าโจยอยให้ตั้งท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ก็จะดีกว่าอยู่กับเล่าเสี้ยนอีก ทแกล้วทหารทั้งปวงก็จะได้ความสุขด้วย...."
ขงเบ้งได้ฟังสำนวนเกลี้ยกล่อมอันยืดยาวแล้วก็หัวเราะว่า ตัวท่านนั้นก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่อยู่กับพระเจ้าเหี้ยนเต้มาก่อน ควรจะเจรจาให้เป็นธรรมตามขนบธรรมเนียม เหตุใดจึงมาว่าฉะนี้ ท่านจงนิ่งฟังเถิด เราจะว่าบ้างสักคำหนึ่ง แล้วก็ร่ายยาวด้วยคารมที่ปรากฏอยู่ในฉบับหลวง ดังนี้
".....เมื่อครั้งพระเจ้าเลนเต้ได้เสวยราชสมบัตินั้น เพราะพวกขันทียุยงต่าง ๆ แผ่นดินจึงเป็นจลาจลเกิดโจรโพกผ้าเหลืองขึ้นมาภายหลังตั๋งโต๊ะและลิฉุยกุยกีกำเริบ ทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน จนพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้รับความเดือดร้อน เพราะพระเจ้าเหี้ยนเต้มิได้พิเคราะห์เอาคนชาติต่ำช้าซึ่งมิได้มีความคิด มาตั้งเป็นขุนนาง ตัวท่านนี้เราก็รู้จักอยู่ เดิมเป็นลูกตระกูลอยู่บ้านกังไฮ คนทั้งปวงนับถือว่าท่านมีสติปัญญารู้จักคุณบิดามารดา พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ควรจะทำการสนองคุณพระเจ้าเหี้ยนเต้โดยสุจริต ช่วยกันยกย่องเชื้อพระวงศ์ขึ้นครองราชสมบัติ และท่านคบคิดเข้าด้วยอ้ายโจรชิงเอาราชสมบัติฉะนี้ โทษก็ผิดอยู่เป็นอันมาก คนทั้งปวงซึ่งสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ก็คิดแค้นท่านนัก ใคร่จะฉีกเนื้อกินเสียทั้งเป็น ถึงเทพยดาในชั้นฟ้าก็จะสังหารท่าน บัดนี้เราพิเคราะห์เห็นว่า บุญแซ่เชื้อพระเจ้าเหี้ยนเต้ยังมากอยู่ พระเจ้าเล่าปี่จึงได้เป็นใหญ่ขึ้นในเมืองเสฉวนต่อพระวงศ์กันมา ตัวเรารับสั่ง พระเจ้าเล่าเสี้ยน ให้ยกกองทัพมาปราบอ้ายโจรราชสมบัติ ตัวท่านเป็นคนอกตัญญู เร่งหนีซุกซ่อนไปเอาตัวรอดให้พ้นความตายเถิด อย่ามายืนหน้าพูดถึงการแผ่นดินเลย ให้เร่งคิดถึงตัวด้วยแก่ชราถึงเพียงนี้แล้ว จะตายดูหน้าวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้กระไรได้....."
แล้วก็ตบท้ายอย่างดุเดือดว่า
".....อ้ายโจรเฒ่า เร่งกลับไปบอกอ้ายพวกขบถ ให้ยกกองทัพมารบจะได้เห็นฝีมือ ว่าผู้ใดจะแพ้และชนะ...."
อองลองขุนนางผู้เฒ่า ซึ่งเป็นหัวโจกใหญ่คนหนึ่ง ในการบังคับให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ยกราชสมบัติให้ โจผี เมื่อโดนถากถางความเก่า ด้วยคำคมประดุจมีดโกนอาบยาพิษของขงเบ้งเข้า ก็เกิดความแค้นใจสุดขีด ร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง แล้วก็พลัดตกจากหลังม้า ถึงแก่ความตายไปต่อหน้ากองทัพของทั้งสองฝ่าย ขงเบ้งจึงเอาพัดที่ถือประจำมือ ชี้หน้าโจจิ๋นแล้วสั่งให้จัดแจงทหารไว้ให้พร้อม พรุ่งนี้จะได้ออกมารบกัน
แต่แล้วทั้งสองฝ่ายก็วางกลอุบาย ที่จะเล่นงานกันในคืนนั้นเอง โดยขงเบ้งให้ จูล่ง กับ อุยเอี๋ยน ยกทหารไปทำทีจะเข้าตีค่ายโจจิ๋น ซึ่งกำลังสาละวนจัดการศพอองลองอยู่ โจจิ๋นรู้ทันก็ให้ โจจุ้น กับ จูจ้าน แอบคุมทหารออกจากค่าย ไปตีค่ายขงเบ้ง แต่ขงเบ้งก็เตรียมรับโดยเอาทหารไปซุ่มดักที่นอกค่าย พอโจจุ้นเข้าตีก็ยกมาโอบล้อมตีโจจุ้นแตกตื่นกลับไป ระหว่างทางก็ถูกทหารของขงเบ้งที่ซุ่มอยู่โจมตีไปตลอด พอจะเข้าค่ายของตนก็เกิดการเข้าใจผิด รบกันเองกับทหารในค่ายเสียอีก เลยเสียทหารไปมากมาย กว่าจะเข้าไปตั้งหลักในค่ายได้ดังเดิม
กุยห้วยจึงแนะนำให้โจจิ๋น มีหนังสือไปถึงเจ้าเมืองเสเกี๋ยง ซึ่งอยู่นอกอาณาเขตเมืองจีนด้านทิศตะวันตก ให้ยกกองทัพมาช่วยรบกับขงเบ้ง เมืองเสเกี๋ยงก็ยกพลมาถึงยี่สิบห้าหมื่นและมีอาวุธหนักสำหรับเผด็จศึก คือเกวียนเหล็กซึ่งเมืองจีนยุคสามก๊กยังไม่เคยมีอีกด้วย
ครั้งแรก กวนหิน เตียวเปา ม้าต้าย เข้ารบก็เกือบจะพ่ายแพ้ ดีแต่อสุรกายกวนอูมาช่วยไว้จึงพากันถอยกลับมาได้ เผอิญเวลานั้นเป็นฤดูหนาวตอนดึกน้ำค้างลงมาคลุมพื้นดินเป็นน้ำแข็ง ขงเบ้งกับเกียงอุยจึงร่วมกันทำกลขุดคูไว้หน้าค่ายเอาขัดแตะปูปิด และเอาฟางกับดินเกลี่ยไว้ พอเช้าน้ำค้างจับแข็งเห็นพื้นดินขาวดุจนาเกลือ ขงเบ้งก็ขี่เกวียนน้อยออกไปล่อกองเกวียนเหล็กให้ไล่ตาม และให้ทหารเอกคุมพลคอยขัดขวางเป็นระยะ จนข้าศึกตายใจตามไปโดยไม่ระวังตัว ก็ตกลงไปในคูกลจนหมดทั้งสิ้น แม่ทัพที่ถูกจับได้ ขงเบ้งก็ปล่อยตัวไปพร้อมกับคืนทหาร และศาสตราวุธที่ยึดไว้ให้ไปด้วย ข้าศึกนอกอาณาจักรด้านตะวันตก จึงเป็นพันธมิตรกับขงเบ้งอีกด้านหนึ่ง
ฝ่ายโจจิ๋นเห็นขงเบ้งยกทหารออกจากค่าย ไปรบกับกองทัพต่างเมืองหายเงียบไปเป็นเวลานาน ก็ยกทหารเข้าตีค่ายของขงเบ้งริมแม่น้ำอุยซุย แต่ที่แท้ขงเบ้งให้อุยเอี๋ยนกับจูล่งอยู่รักษา และคอยระวังตัวพร้อมจึงโดนตีโต้อย่างเข้มแข็ง โจจุ้นรบกับอุยเอี๋ยนได้สามเพลง ก็ถูกฟันด้วยดาบตกม้าตาย จูจ้านรบกับจูล่งได้พริบตาเดียว ก็โดนทวนแทงตกม้าตายตามไปอีก เหลือโจจิ๋นกับกุยห้วนต้องฝ่าฟันออกจากที่ล้อม หนีข้ามฟากแม่น้ำกลับไปตั้งหลักที่ฝั่งตรงข้าม แล้วมีหนังสือแจ้งไปถึงพระเจ้า โจยอย ที่เมืองลกเอี๋ยง ขอกองทัพหนุนมาช่วยทำศึกต่อไป
พระเจ้าโจยอยจึงส่ง สุมาอี้ มหาอุปราชที่ถูกถอด ให้กลับมาเป็นแม่ทัพยกไปรบกับขงเบ้งใหม่ จึงกลายเป็นศึกยืดเยื้อต่อไปอีกถึงเจ็ดปี
ก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่า มหาอุปราชแซ่เดียวกับ สุมาเต๊กโช อาจารย์ของฮกหลง ขงเบ้ง จะสามารถเอาชนะแก่มหาอุปราชของพระเจ้าเล่าเสี้ยน ผู้มีทั้งสติปัญญาเฉียบแหลมลึกซึ้ง และมีฝีปากอันคมกริบ ใช้วาจาหลอกล่อทำลายศัตรูมามากต่อมากแล้ว ได้ด้วยวิธีใด.
##########
วางเมื่อ ๑ ต.ค.๕๖ เวลา ๐๗.๒๖
เกร็ดสามก๊ก ๑ ต.ค.๕๖
ผู้พิทักษ์เสฉวน
ตอนที่ ๔ แม่ทัพผู้มีพิษรอบตัว
เล่าเซี่ยงชุน
ขณะเมื่อ ขงเบ้ง ทำอุบายยักย้ายถ่ายเท จนได้ตัว เกียงอุย ข้าศึกผู้มีสติปัญญาทัดเทียมกัน จากเมืองเทียนซุย มาเป็นเพื่อนคู่คิดมิตรคู่ใจนั้น พระเจ้าโจยอย แห่งวุยก๊กได้เสวยราชสมบัติที่เมืองลกเอี๋ยงราชธานีเดิม ต่อจาก พระเจ้าโจผี พระราชบิดา ยังไม่ทันจะครบขวบปี ขงเบ้งก็ยกพยุหยาตราไปถึงเขากิสาน ตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำอุยซุยฟากตะวันตก เตรียมจะเข้าตีเมืองลกเอี๋ยง
พระเจ้าโจยอยปรึกษากับขุนนางผู้ใหญ่แล้ว ก็ให้ โจจิ๋น ขุนพลเก่าสมัย โจโฉ หรือพระเจ้าวุยอ๋อง ยกกองทัพออกไปต้านทาน โจจิ๋นก็ถ่อมตัวว่าเป็นคนสติปัญญาน้อย กลัวว่าจะทำการไปไม่ตลอด อองลอง ขุนนางเก่าก็กระตุ้นว่า ท่านเป็นผู้ใหญ่เคย ทำราชการมาตั้งแต่ครั้งพระเจ้าวุยอ๋อง ซึ่งมาเจรจาถ่อมตัวเป็นเชิงอยู่ฉะนี้ไม่ชอบ เราช่วยกันทำการอาสาแผ่นดินเถิด ตัวข้าพเจ้าคนแก่นี้อายุก็เจ็ดสิบหกปีแล้ว ก็จะยอมไปกับท่าน โจจิ๋นก็จำต้องยอมรับ
พระเจ้าโจยอยก็ให้ กุยห้วย เป็นปลัดทัพ อองลองเป็นที่ปรึกษา โจจุ้นเป็นกองหน้า คุมทหารยี่สิบหมื่นออกจากเมืองลกเอี๋ยง ข้ามฟากแม่น้ำอุยซุยไปตั้งค่ายอยู่ทางทิศตะวันตก ประจันหน้ากับค่ายของขงเบ้ง
อองลองก็รับอาสา ว่าจะไปเจรจากับขงเบ้งด้วยปากถากด้วยวาจาให้ขงเบ้งยอมพนมมืออ่อนน้อมให้ได้ จะได้ไม่ลำบากแก่ไพร่พล โจจิ๋นจึงให้ทหารถือหนังสือไปนัดขงเบ้ง ให้ยกทหารออกจากค่ายมารบกันแต่เช้าวันรุ่งขึ้น พอได้ฤกษ์กองทัพทั้งสองก็ยกกองทัพอย่างเต็มยศใหญ่ ออกไปสู่สนามรบ เมื่อทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน เสียงตีม้าล่อฆ้องกลองสงบลงแล้ว อองลองก็ขับม้าออกหน้าทหาร เชิญขงเบ้งมาเจรจาด้วย
ขงเบ้งก็ขี่เกวียนประจำตำแหน่ง ออกมาข้างหน้ากองทัพ มีทหารเอกขนาบทั้งซ้ายขวาพร้อมที่จะเจรจาด้วย ต่างคนต่างคำนับกันตามธรรมเนียมแล้ว อองลองก็เปิดฉากว่า
“..ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ เลื่องลือชื่อท่านก็ช้านานอยู่แล้ว เราได้พบกันวันนี้ก็เป็นบุญของเรา ฝ่ายตัวท่านเป็นคนมีวิชา รู้ขนบธรรมเนียมการแผ่นดินอยู่ เหตุใดจึงเข้าเป็นพวกอ้ายคนพาลชาติต่ำ ยกกองทัพมาฉะนี้...."
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้น จึงตอบว่า
"..เหตุใดท่านจึงเจรจาฉะนี้ พระเจ้าเล่าปี่เป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ สั่งเราไว้ว่าให้กำจัดอ้ายพวกโจรศัตรูราชสมบัติเสียให้ได้ เราจึงยกกองทัพมา....."
อองลองก็แจกแจงว่าอันประเพณีการแผ่นดินนั้น จะยึดเอาเป็นเที่ยงอยู่เสมอไปไม่ได้ ผู้ใดมีวาสนามากได้สมบัติก็เรียกว่าเป็นกษัตริย์เมื่อครั้งที่ พระเจ้าเลนเต้ได้ครองราชสมบัติ ก็เกิดโจรโพกผ้าเหลืองขึ้นทำการจลาจล ราษฎรทั้งปวงก็ได้รับความเดือดร้อน พอมาถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ครองราชสมบัตินั้นเล่า แผ่นดินก็เป็นอันตรายตั๋งโต๊ะ ทำหยาบช้าต่าง ๆ แล้วก็เกิดรบกันกับ ลิฉุย กุยกี ขึ้นกลางเมือง อ้วนสุด และอ้วนเสี้ยว อีกทั้ง เล่าเปียว ลิโป้ ก็เป็นขบถแข็งเมืองขึ้นทั้งสิ้น ราษฎรทั้งปวงก็ไม่ได้มีความสุข ครั้งนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้เหมือนไข่ตั้งอยู่บนศิลา หากว่า พระเจ้าวุยอ๋อง นายของเรามีบุญมาก กำจัดศัตรูเหล่านั้นลงเสียได้ พระเจ้าเหี้ยนเต้และราษฎรทั้งปวงจึงได้นอนตาหลับเป็นสุขมากขึ้น ฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล เสบียงอาหารก็บริบูรณ์มิขัดสน แล้วก็สำทับต่อไปว่า
"....อนึ่งคำโบราณกล่าวไว้ว่า เกิดเป็นคนในแผ่นดินให้พิเคราะห์ดูการ ถ้าผู้ใดมีบุญสมภารมาก ก็ให้เข้านอบนบเป็นข้าอยู่ด้วย ผู้นั้นจึงจะได้ความสุข แม้นขืนคำโบราณก็จะ
ขงเบ้งได้ฟังสำนวนเกลี้ยกล่อมอันยืดยาวแล้วก็หัวเราะว่า ตัวท่านนั้นก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่อยู่กับพระเจ้าเหี้ยนเต้มาก่อน ควรจะเจรจาให้เป็นธรรมตามขนบธรรมเนียม เหตุใดจึงมาว่าฉะนี้ ท่านจงนิ่งฟังเถิด เราจะว่าบ้างสักคำหนึ่ง แล้วก็ร่ายยาวด้วยคารมที่ปรากฏอยู่ในฉบับหลวง ดังนี้
".....เมื่อครั้งพระเจ้าเลนเต้ได้เสวยราชสมบัตินั้น เพราะพวกขันทียุยงต่าง ๆ แผ่นดินจึงเป็นจลาจลเกิดโจรโพกผ้าเหลืองขึ้นมาภายหลังตั๋งโต๊ะและลิฉุยกุยกีกำเริบ ทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน จนพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้รับความเดือดร้อน เพราะพระเจ้าเหี้ยนเต้มิได้พิเคราะห์เอาคนชาติต่ำช้าซึ่งมิได้มีความคิด มาตั้งเป็นขุนนาง ตัวท่านนี้เราก็รู้จักอยู่ เดิมเป็นลูกตระกูลอยู่บ้านกังไฮ คนทั้งปวงนับถือว่าท่านมีสติปัญญารู้จักคุณบิดามารดา พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ควรจะทำการสนองคุณพระเจ้าเหี้ยนเต้โดยสุจริต ช่วยกันยกย่องเชื้อพระวงศ์ขึ้นครองราชสมบัติ และท่านคบคิดเข้าด้วยอ้ายโจรชิงเอาราชสมบัติฉะนี้ โทษก็ผิดอยู่เป็นอันมาก คนทั้งปวงซึ่งสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ก็คิดแค้นท่านนัก ใคร่จะฉีกเนื้อกินเสียทั้งเป็น ถึงเทพยดาในชั้นฟ้าก็จะสังหารท่าน บัดนี้เราพิเคราะห์เห็นว่า บุญแซ่เชื้อพระเจ้าเหี้ยนเต้ยังมากอยู่ พระเจ้าเล่าปี่จึงได้เป็นใหญ่ขึ้นในเมืองเสฉวนต่อพระวงศ์กันมา ตัวเรารับสั่ง พระเจ้าเล่าเสี้ยน ให้ยกกองทัพมาปราบอ้ายโจรราชสมบัติ ตัวท่านเป็นคนอกตัญญู เร่งหนีซุกซ่อนไปเอาตัวรอดให้พ้นความตายเถิด อย่ามายืนหน้าพูดถึงการแผ่นดินเลย ให้เร่งคิดถึงตัวด้วยแก่ชราถึงเพียงนี้แล้ว จะตายดูหน้าวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้กระไรได้....."
แล้วก็ตบท้ายอย่างดุเดือดว่า
".....อ้ายโจรเฒ่า เร่งกลับไปบอกอ้ายพวกขบถ ให้ยกกองทัพมารบจะได้เห็นฝีมือ ว่าผู้ใดจะแพ้และชนะ...."
อองลองขุนนางผู้เฒ่า ซึ่งเป็นหัวโจกใหญ่คนหนึ่ง ในการบังคับให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ยกราชสมบัติให้ โจผี เมื่อโดนถากถางความเก่า ด้วยคำคมประดุจมีดโกนอาบยาพิษของขงเบ้งเข้า ก็เกิดความแค้นใจสุดขีด ร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง แล้วก็พลัดตกจากหลังม้า ถึงแก่ความตายไปต่อหน้ากองทัพของทั้งสองฝ่าย ขงเบ้งจึงเอาพัดที่ถือประจำมือ ชี้หน้าโจจิ๋นแล้วสั่งให้จัดแจงทหารไว้ให้พร้อม พรุ่งนี้จะได้ออกมารบกัน
แต่แล้วทั้งสองฝ่ายก็วางกลอุบาย ที่จะเล่นงานกันในคืนนั้นเอง โดยขงเบ้งให้ จูล่ง กับ อุยเอี๋ยน ยกทหารไปทำทีจะเข้าตีค่ายโจจิ๋น ซึ่งกำลังสาละวนจัดการศพอองลองอยู่ โจจิ๋นรู้ทันก็ให้ โจจุ้น กับ จูจ้าน แอบคุมทหารออกจากค่าย ไปตีค่ายขงเบ้ง แต่ขงเบ้งก็เตรียมรับโดยเอาทหารไปซุ่มดักที่นอกค่าย พอโจจุ้นเข้าตีก็ยกมาโอบล้อมตีโจจุ้นแตกตื่นกลับไป ระหว่างทางก็ถูกทหารของขงเบ้งที่ซุ่มอยู่โจมตีไปตลอด พอจะเข้าค่ายของตนก็เกิดการเข้าใจผิด รบกันเองกับทหารในค่ายเสียอีก เลยเสียทหารไปมากมาย กว่าจะเข้าไปตั้งหลักในค่ายได้ดังเดิม
กุยห้วยจึงแนะนำให้โจจิ๋น มีหนังสือไปถึงเจ้าเมืองเสเกี๋ยง ซึ่งอยู่นอกอาณาเขตเมืองจีนด้านทิศตะวันตก ให้ยกกองทัพมาช่วยรบกับขงเบ้ง เมืองเสเกี๋ยงก็ยกพลมาถึงยี่สิบห้าหมื่นและมีอาวุธหนักสำหรับเผด็จศึก คือเกวียนเหล็กซึ่งเมืองจีนยุคสามก๊กยังไม่เคยมีอีกด้วย
ครั้งแรก กวนหิน เตียวเปา ม้าต้าย เข้ารบก็เกือบจะพ่ายแพ้ ดีแต่อสุรกายกวนอูมาช่วยไว้จึงพากันถอยกลับมาได้ เผอิญเวลานั้นเป็นฤดูหนาวตอนดึกน้ำค้างลงมาคลุมพื้นดินเป็นน้ำแข็ง ขงเบ้งกับเกียงอุยจึงร่วมกันทำกลขุดคูไว้หน้าค่ายเอาขัดแตะปูปิด และเอาฟางกับดินเกลี่ยไว้ พอเช้าน้ำค้างจับแข็งเห็นพื้นดินขาวดุจนาเกลือ ขงเบ้งก็ขี่เกวียนน้อยออกไปล่อกองเกวียนเหล็กให้ไล่ตาม และให้ทหารเอกคุมพลคอยขัดขวางเป็นระยะ จนข้าศึกตายใจตามไปโดยไม่ระวังตัว ก็ตกลงไปในคูกลจนหมดทั้งสิ้น แม่ทัพที่ถูกจับได้ ขงเบ้งก็ปล่อยตัวไปพร้อมกับคืนทหาร และศาสตราวุธที่ยึดไว้ให้ไปด้วย ข้าศึกนอกอาณาจักรด้านตะวันตก จึงเป็นพันธมิตรกับขงเบ้งอีกด้านหนึ่ง
ฝ่ายโจจิ๋นเห็นขงเบ้งยกทหารออกจากค่าย ไปรบกับกองทัพต่างเมืองหายเงียบไปเป็นเวลานาน ก็ยกทหารเข้าตีค่ายของขงเบ้งริมแม่น้ำอุยซุย แต่ที่แท้ขงเบ้งให้อุยเอี๋ยนกับจูล่งอยู่รักษา และคอยระวังตัวพร้อมจึงโดนตีโต้อย่างเข้มแข็ง โจจุ้นรบกับอุยเอี๋ยนได้สามเพลง ก็ถูกฟันด้วยดาบตกม้าตาย จูจ้านรบกับจูล่งได้พริบตาเดียว ก็โดนทวนแทงตกม้าตายตามไปอีก เหลือโจจิ๋นกับกุยห้วนต้องฝ่าฟันออกจากที่ล้อม หนีข้ามฟากแม่น้ำกลับไปตั้งหลักที่ฝั่งตรงข้าม แล้วมีหนังสือแจ้งไปถึงพระเจ้า โจยอย ที่เมืองลกเอี๋ยง ขอกองทัพหนุนมาช่วยทำศึกต่อไป
พระเจ้าโจยอยจึงส่ง สุมาอี้ มหาอุปราชที่ถูกถอด ให้กลับมาเป็นแม่ทัพยกไปรบกับขงเบ้งใหม่ จึงกลายเป็นศึกยืดเยื้อต่อไปอีกถึงเจ็ดปี
ก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่า มหาอุปราชแซ่เดียวกับ สุมาเต๊กโช อาจารย์ของฮกหลง ขงเบ้ง จะสามารถเอาชนะแก่มหาอุปราชของพระเจ้าเล่าเสี้ยน ผู้มีทั้งสติปัญญาเฉียบแหลมลึกซึ้ง และมีฝีปากอันคมกริบ ใช้วาจาหลอกล่อทำลายศัตรูมามากต่อมากแล้ว ได้ด้วยวิธีใด.
##########
วางเมื่อ ๑ ต.ค.๕๖ เวลา ๐๗.๒๖