"...ท่านกำลังเข้าสู่บริการรับฝากหัวใจ ลงทะเบียนฝากไว้ตัวเอากลับไป ใจให้เก็บรักษา..."
เป็นท่อนฮุกติดหูคนฟังไปทั่วประเทศ พร้อมกับท่าเต้นเด้งอกที่เหล่าบรรดาศิลปินคนดัง นิยมนำไปสร้างสีสันตามงานอีเวนต์ต่าง ๆ รวมไปถึงกระแสในยูทิวบ์ที่เก้ง กวาง บ่าง ชะนี ลุกขึ้นมาตามเทรนด์ขอใจเธอแลกเบอร์โทรกันสุดฤทธิ์
ไม่แปลกที่เพลงนี้จะสร้างปรากฏการณ์ยอดวิวบนยูทิวบ์ถล่มทลาย ด้วยตัวเลขสูงถึง 39,932,249 วิว หลังจากถูกเผยแพร่เมื่อ 23 ม.ค. 2013 ทำให้ชื่อของ หญิงลี ศรีจุมพล (ธิดารัตน์ ศรีจุมพล) เจ้าของผลงานเพลงฮิต เป็นที่รู้จักไปทั่วบ้านทั่วเมือง
ครั้งนี้ นับเป็นโอกาสอันดีของทีมงาน M-OPEN ที่สามารถแทรกคิวซุป'ตาร์สาวลำซิ่งท่านนี้มานั่งเปิดใจพูดคุยถึงชีวิต และแง่มุมต่าง ๆ ผ่านการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก ซึ่งบางเรื่อง ต้องบอกเลยว่า ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน แต่จะเปิดเผยที่นี่เป็นที่แรก
หญิงลี ชื่อนี้คนรู้จักไปทั่วประเทศ
ทีมงานเปิดประเด็นแรกถึงกระแสเพลง "ขอใจเธอแลกเบอร์โทร" ที่ดังเป็นพลุแตกไปทั่วประเทศ ทำให้ชื่อของ "หญิงลี" เป็นที่รู้จัก ไม่เฉพาะแต่ในแถบอีสานบ้านเกิดอย่างเดียว และนี่คือความรู้สึกของหมอลำซิ่งสาวสวยที่ฮอตที่สุดในเวลานี้
"ตื่นเต้น ดีใจปนความแปลกใจค่ะที่มีคนนำเพลงของหญิงลีไปร้อง หรือนำไปคอฟเวอร์ ซึ่งกระแสส่วนหนึ่งก็มาจากพี่ศิลปินอย่างพี่อ๊อฟ ปองศักดิ์ หญิงลีต้องขอบคุณพี่เขาที่ทำให้แฟนเพลงสตริง โดยเฉพาะวัยรุ่น เยาวชนมาดูว่า เอ๊ะ! ทำไมพี่อ๊อฟ ถึงนำมาร้อง ตรงนี้ต้องขอบคุณพี่อ๊อฟมากๆ ถือว่าช่วยโปรโมตได้มากเลยค่ะ"
"ที่ขาดไม่ได้คือ แฟนเพลงค่ะ จากหญิงลีโนเนม นักร้องหมอลำที่ไหนก็ไม่รู้ มาวันนี้มีแฟนเพลงตอบรับอย่างท่วมท้น ทำให้หญิงลีรู้ว่าชีวิตมีคุณค่า เหมือนได้รับรางวัล ณ เวลานี้ว่า ทุกสิ่งที่เราตั้งใจทำผลงานเพลงออกมา หญิงมีคนรู้จัก มีคนชอบเพลงหญิง อย่างเวลาเดินห้าง วัยรุ่นก็ฮือฮา นั่งกินไอติมอยู่ก็กรี๊ดๆ อ๊ายๆ หญิงลีมา ชอบมากเลยคนนี้" เธอเผยถึงกระแสที่ดีเกินคาด
วันวานหญิงลี เคยดัง แต่ถูกแบน
แต่ก่อนที่จะมีวันนี้ หากย้อนวันวานกลับไป เส้นทางชีวิตของเธอไม่ได้โรยรายด้วยกลีบกุหลาบ กลับมีขวากหนามมากมายให้ต้องฝ่าฟัน
"ย้อนหลังกลับไป 9 ปี หญิงเคยมีอัลบั้มแรก และมีเพลงสร้างชื่อคือ บ่ย่านบาป ซึ่งเพลงนี้ถือว่ามีกระแสโด่งดังในภาคอีสานอย่างมาก แต่ตัวศิลปินไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก (หัวเราะ) สุดท้ายก็ถูกกระทรวงวัฒนธรรมออกมาแบนห้ามออกอากาศ โดยให้เหตุผลว่า เนื้อเพลงล่อแหลม รักลูกผัวเขา แก่แดดเกินวัย 20 ปี ผลก็คือทางค่าย ไม่โปรโมตต่อ หันไปโปรโมตนักร้องชายในอัลบัมแทน หญิงลีเลยเข้าไปคุยกับทางค่าย สุดท้ายก็ไปจบกันที่ศาล"
"บอกตรงๆ ชีวิตตอนนั้นล้มเหลวมากค่ะ หลังจากเกิดเรื่องก็กลับมาลำซิ่งตามเดิม ลงทุนอะไรก็ขาดทุน มีทำอัลบั้มเอง มีร้านเสริมสวยเป็นของตัวเอง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนความรักก็มาผิดหวังอีก ทั้งหมดนี้ มันกลายเป็นความชินชาที่ตัวหญิงเองก็ไม่ได้อะไรมากนะ เดินหน้าต่อไป สู้ชีวิตต่อไป สู้ด้วยความหวังว่าสักวันเราจะได้รับโอกาสดีๆ เข้ามาบ้าง" หญิงลี เล่าถึงวันวานที่สุดแสนจะกล้ำกลืน
วันนี้หญิงลี ศรีจุมพล ความเซ็กซี่ของ กลอนลำ กลับมากับค่ายใหม่ แกรมมี่ โกลด์ หลังจากที่เคยออกอัลบั้มชุดแรกมากว่า 9 ปี
"หญิงลีเป็นลำซิ่งเมียงูมาก่อน รับจ้างร้องเพลงหมอลำซิ่ง อ.สวัสดิ์ สารคาม ท่านเป็นคนคนเดียวกันที่ทำอัมบั้มบ่ย่านบาปที่เคยโด่งดังเมื่อ 9 ปีก่อน ด้วยความโชคดีที่หญิงลีเป็นลูกศิษย์ท่านอยู่แล้ว และท่านก็เห็นความเคลื่อนไหวของเรา เพราะเราค่อนข้างมีชื่อในตลาดงานวัด งานบุญ งานชิงช้าสวรรค์ งานปาลูกโป่งทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล ท่านเลยชักชวนให้เข้ามาทดสอบเสียงที่แกรมมี่โกลด์ ทีแรกจะเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มในภาคอีสาน แต่พอเพลงขอใจเธอแลกเบอร์โทร เป็นกระแสฮอตฮิตไปทั่วประเทศ มีศิลปินนำไปร้อง นำไปเต้น ก็ถือว่าเป็นความโชคดีของหญิงมากๆ" เธอเผยความรู้สึก
เมื่อถามถึงชีวิตครอบครัว เธอบอกสั้นๆ แค่ว่า ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ก่อนจะขยายความให้เห็นภาพความเป็นอยู่ของครอบครัว
"หญิงเป็นคนจ.บุรีรัมย์ แม่ทอผ้าไหมค่ะ ส่วนพ่อทำงานก่อสร้าง เวลาทำนาเราจะมารวมตัวเพื่อช่วยกัน พ่อของหญิงเป็นคนลำบาก ขาก็ไม่ดี เพราะเกิดอุบัติเหตุตกต้นไม้ตั้งแต่เด็ก ยิ่งแก่ตัวไป ขาก็งอเข้าๆ แต่ท่านก็อดทนยึดอาชีพก่อสร้างหาเลี้ยงครอบครัวมาตลอด หญิงเห็นแล้วสงสารท่าน เพราะเวลายืนนานๆ ท่านจะเจ็บ เคยนะที่บอกให้พ่อไปรักษา แต่ท่านไม่ยอม" เธอเล่า
แววนักร้อง..เธอได้แต่ใดมา
ลึกลงไปถึงแววความเป็นนักร้อง หญิงลีชอบร้องเพลงตั้งแต่อายุ 9 ขวบ เริ่มจากขึ้นร้องเพลงในงานทอดผ้าป่าที่วัดแถวบ้าน
"ตอนนั้นได้รางวัลเยอะมาก (หัวเราะ) เพราะย่านนั้นไม่ค่อยมีนักร้อง พอเราเป็นนักร้องตัวน้อยๆ ขึ้นไปร้องเพลงโบรักสีดำ ร้องเสร็จก็ได้รับค่าทิปจากคนดู แบงก์สิบบ้าง ยี่สิบบ้าง รวมทั้งเสียงปรบมือ ดีใจมากที่หาเงินค่าขนมได้เอง มากกว่าที่พ่อแม่ เคยให้ครั้งละ 5 บาท ตอนนั้นบอกตรง ๆ ว่าเกิดแรงบันดาลใจว่า โอ๊ย! ตัวเราเรียนหนังสือไม่เก่ง คงไม่ได้เป็นครู เป็นหมอ เป็นพยาบาล และความเป็นนักร้องก็เกิดขึ้นตอนนั้นค่ะ" หญิงลีเริ่มเผยที่มาถึงแววความเป็นนักร้อง
จากครั้งแรกบนเวทีในวันนั้น จึงเกิดแรงบันดาลใจอยากเป็นนักร้องอาชีพ เธอร้องเพลงตามงานต่างๆ มาเรื่อยๆ โดยเพลงส่วนใหญ่ก็จำเอา จดเนื้อมาหัดร้องเอง และด้วยเสียงปรบมือและค่าร้องเล็กๆ น้อยๆ ตรงนี้เองที่เด็กน้อยเริ่มหัดร้องหมอลำ จนเป็นที่รู้จักกันดีในแถวหมู่บ้าน โดยเพลงที่ร้องจะเป็นเพลงหมอลำตลาดๆ ที่คุ้นกันดี เช่น เพลงของ จินตหรา พูลลาภ ศิริพร อำไพพงษ์ เป็นต้น
กระทั่งอายุ 14 ปี เรียนชั้น ม.2 อาจารย์ที่โรงเรียนที่อยู่คนละหมู่บ้าน เห็นแววในการร้องเพลง เลยทาบทามมาร้องในวงอิเลกโทน ชื่อวงลูกน้ำ นับเป็นการก้าวเข้าสู่การเป็นนักร้องอาชีพเป็นครั้งแรก
ด้วยความที่เป็นผู้หญิง ไปงานดึกๆ พ่อแม่ก็เริ่มเป็นห่วง กลัวจะถูกมองไปในทางที่ไม่ดี แต่เธอก็คิดแค่ว่า อยากได้เงิน เพราะการร้องเพลงสามารถทำเงินได้มาก และตัวเองก็ไม่ใช่ลูกคนรวยอะไร ก็เลยขอร้องเพลงต่อไป
"ตอนนั้น พ่อกับแม่ไม่อยากให้ไป เพราะกลัวลูกสาวเกเร เรียนไม่จบ และการร้องเพลงก็เป็นอาชีพเต้นกินรำกิน กลัวจะถูกคนอื่นดูถูก และที่กลัวมากไปกว่านั้นคือ กลัวเราจะมีสามีก่อนวัยอันควร (หัวเราะ) แต่หญิงก็พยายามพิสูจน์ตัวเอง เพราะกลัวไม่ได้ร้องเพลง" เธอเผย
ค้นพบทางที่ใช่ นักร้องคือทางของฉัน
อย่างไรก็ดี การร้องเพลงกับวงลูกน้ำ ทำให้เธอคิดว่า ต่อไปต้องทำอาชีพนี้ อาชีพร้องเพลง เพราะเคยบอกกับตัวเองเอาไว้ว่า ถ้าเรียนจบแล้วแต่ยังไม่ได้ร้องเพลง ก็จะไปสมัครงานตามโรงงาน คิดแบบสาวต่างจังหวัดที่นิยมคิดอนาคตไว้แค่นี้
พอขึ้นชั้น ม.4 มีวงประสิทธิ ปักธงชัย วงอิเลกโทนที่โคราช ทาบทามมาให้ไปร่วมร้องเพลงในคณะ สาเหตุที่วงนี้ต้องการเธอไปร่วมร้องเพลงด้วย เพราะเธอร้องหมอลำได้ (วงที่โคราชส่วนใหญ่นักร้องจะร้องหมอลำไม่ค่อยได้)
จากการที่ทำงานหาเงินเองตั้งแต่เด็ก เธอเริ่มมีความมั่นใจภูมิใจในตัวเองสูงมากขึ้น และเคยนำเงินเก็บจากการร้องเพลงมาซื้อปุ๋ยให้พ่อแม่ 3000-5000 บาท
แม้จะจบแค่ม.6 แต่หญิงลีก็สามารถหาเลี้ยงตัวเอง และครอบครัวด้วยการร้องเพลง ซึ่งเธอไม่สนใจว่าใครจะมองเป็นอาชีพเต้นกินรำกิน
"หญิงลี เรียนหนังสือจบแค่ม.6 นะ เพราะว่าหญิงลีเป็นคนเรียนไม่เก่ง พยายามที่จะอยากเรียนปริญญาตรีบ่อยครั้ง แต่ก็ไม่มีเวลา อย่างตัวเองเคยเรียนรามมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ก็ไม่ไหว หญิงเลยรู้สึกว่า จบม.6 ก็พอละ และถ้ามีโอกาสเรียนต่อ ก็จะลองดูใหม่ แต่ตอนนี้ก็คงทำงานร้องเพลงไปก่อน เพราะหญิงเชื่อว่า คุณค่าในชีวิตของคนเราไม่ได้อยู่ที่ใบปริญญา แต่มันขึ้นอยู่กับที่เรามีปัญญาทำมาหากินดูแลตัวเอง และพ่อแม่ได้หรือไม่ต่างหาก"
คิดจะเป็น "นักร้อง" ต้องอดทน
ปฏิเสธไม่ได้ว่า อาชีพนักร้องคือหนึ่งในความสุขของเธอ แต่สิ่งที่ต้องมาควบคู่กันด้วยก็คือ ความอดทน และนึกถึงความรู้สึกของแฟนเพลงให้มากๆ
"หญิงมีความสุขกับการร้องเพลง แต่บางทีก็มีเหนื่อยบ้างเหมือนกัน เพราะเดินสายตลอด ซึ่งหญิงจะเต็มที่ทั้งบนเวที และข้างล่างเวที บางคอนเสิร์ตหญิงเล่น 1 ชั่วโมงครึ่งต่อเนื่อง ให้แฟนๆ เพลงถ่ายรูปอีก 1 ชั่วโมง หญิงจะให้ถ่ายทุกคนไปจนถึงคนสุดท้าย ศิลปินบางคนคิดว่านี่เหนื่อยแล้ว แต่หญิงไม่ หญิงไม่เคยคิดว่าตัวเองลำบาก เพราะโชคดีแค่ไหนที่มีคนชอบ และรักเรา มีรอยยิ้มให้กับเราตลอดเวลา อยากถ่ายรูปคู่กับเรา ซึ่งเราก็เคยเป็นแบบนั้น ชอบศิลปินคนไหนก็อยากจะถ่ายรูปด้วย"
และนี่คือช่วงเวลาประทับใจระหว่างเธอกับแฟนเพลง ที่เธอยกมาเล่าสู่กันฟัง
"มี 2 คนต่างวาระ ต่างโอกาส คนหนึ่งวิ่งเข้ามาจับมือเรา จากนั้นถ่ายรูปแล้วกรี๊ด ๆ กระโดดๆ ด้วยความดีใจ แล้วบอกเราว่า รักเรามาก คลั่งไคล้เรามาก ตอนนั้นบอกตรง ๆ น้ำตาไหลให้เห็นเลย ส่วนอีกคนเจอที่เชียงใหม่ ก็เป็นในลักษณะเดียวกัน ทำให้เรารู้สึกว่า โห เรามีคนรักมากขนาดนี้เลยเหรอ ดังนั้นหญิงจะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังเด็ดขาด และอยากจะบอกด้วยว่า หญิงรัก และขอบคุณแฟน ๆ เพลงของหญิงทุกคน" เธอเล่าถึงช่วงเวลาประทับใจระหว่างเธอกับแฟนเพลง
ผู้ชายมือไว วิธีรับมือ สไตล์ "หญิงลี"
อย่างไรก็ดี การเป็นนักร้องหญิง แน่นอนว่า ต้องเคยมีประสบการณ์ถูกชายมือไวแต๊ะอั๋งกันมาบ้างไม่มากก็น้อย เช่นเดียวกับหญิงลีที่เคยพบเจอตามงานแสดงต่างๆ
"หนุ่มๆ บางคนขอจับมือเราก็ให้จับนะ แต่จะมาจับนม จับก้นไม่ได้ หญิงจะไม่ต่อว่าเขาค่ะ เพราะเราต้องให้เกียรติกันและกัน แต่ถ้าเกินเลย ก็จะให้ทีมงานช่วย ส่วนบนเวที ถ้าดึงแรงๆ หญิงก็จะพูดเลยว่า อย่าดึงนะคะ หญิงลีตัวเล็ก เดี๋ยวตกเวทีนะคะ (ลากเสียงยาว) ถ้าจับแบบไม่ดึง ไม่ลาก หญิงลีให้จับทั้งคืนเลยนะคะ (ลากเสียงยาว) แต่ถ้าถูกดึงครั้งที่สอง หญิงจะพูดบอกเขาดีๆ ว่า ขออนุญาตไม่ให้จับมือแล้วนะคะ เพราะหญิงลีถูกดึงสองครั้งแล้ว จากนั้นก็เดินไปจับกลุ่มกับแฟนเพลงที่ไม่ดึงเราแรง เพราะหญิงลีมองว่า นี่ไม่ใช่ความผิดของหญิง เราให้โอกาสคุณแล้ว แต่ยังดึงจนเกือบจะตกเวที แบบนี้ก็ไม่ไหว ซึ่งเราก็พูดดีๆ นะ ไม่ได้ไปต่อว่าเขาตรงๆ เพราะเราก็ให้เกียรติเขา" เธอเล่า
เปิดใจ "หญิงลี" ซุป'ตาร์สาวลำซิ่งที่ฮอตที่สุดในตอนนี้
เป็นท่อนฮุกติดหูคนฟังไปทั่วประเทศ พร้อมกับท่าเต้นเด้งอกที่เหล่าบรรดาศิลปินคนดัง นิยมนำไปสร้างสีสันตามงานอีเวนต์ต่าง ๆ รวมไปถึงกระแสในยูทิวบ์ที่เก้ง กวาง บ่าง ชะนี ลุกขึ้นมาตามเทรนด์ขอใจเธอแลกเบอร์โทรกันสุดฤทธิ์
ไม่แปลกที่เพลงนี้จะสร้างปรากฏการณ์ยอดวิวบนยูทิวบ์ถล่มทลาย ด้วยตัวเลขสูงถึง 39,932,249 วิว หลังจากถูกเผยแพร่เมื่อ 23 ม.ค. 2013 ทำให้ชื่อของ หญิงลี ศรีจุมพล (ธิดารัตน์ ศรีจุมพล) เจ้าของผลงานเพลงฮิต เป็นที่รู้จักไปทั่วบ้านทั่วเมือง
ครั้งนี้ นับเป็นโอกาสอันดีของทีมงาน M-OPEN ที่สามารถแทรกคิวซุป'ตาร์สาวลำซิ่งท่านนี้มานั่งเปิดใจพูดคุยถึงชีวิต และแง่มุมต่าง ๆ ผ่านการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก ซึ่งบางเรื่อง ต้องบอกเลยว่า ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน แต่จะเปิดเผยที่นี่เป็นที่แรก
หญิงลี ชื่อนี้คนรู้จักไปทั่วประเทศ
ทีมงานเปิดประเด็นแรกถึงกระแสเพลง "ขอใจเธอแลกเบอร์โทร" ที่ดังเป็นพลุแตกไปทั่วประเทศ ทำให้ชื่อของ "หญิงลี" เป็นที่รู้จัก ไม่เฉพาะแต่ในแถบอีสานบ้านเกิดอย่างเดียว และนี่คือความรู้สึกของหมอลำซิ่งสาวสวยที่ฮอตที่สุดในเวลานี้
"ตื่นเต้น ดีใจปนความแปลกใจค่ะที่มีคนนำเพลงของหญิงลีไปร้อง หรือนำไปคอฟเวอร์ ซึ่งกระแสส่วนหนึ่งก็มาจากพี่ศิลปินอย่างพี่อ๊อฟ ปองศักดิ์ หญิงลีต้องขอบคุณพี่เขาที่ทำให้แฟนเพลงสตริง โดยเฉพาะวัยรุ่น เยาวชนมาดูว่า เอ๊ะ! ทำไมพี่อ๊อฟ ถึงนำมาร้อง ตรงนี้ต้องขอบคุณพี่อ๊อฟมากๆ ถือว่าช่วยโปรโมตได้มากเลยค่ะ"
"ที่ขาดไม่ได้คือ แฟนเพลงค่ะ จากหญิงลีโนเนม นักร้องหมอลำที่ไหนก็ไม่รู้ มาวันนี้มีแฟนเพลงตอบรับอย่างท่วมท้น ทำให้หญิงลีรู้ว่าชีวิตมีคุณค่า เหมือนได้รับรางวัล ณ เวลานี้ว่า ทุกสิ่งที่เราตั้งใจทำผลงานเพลงออกมา หญิงมีคนรู้จัก มีคนชอบเพลงหญิง อย่างเวลาเดินห้าง วัยรุ่นก็ฮือฮา นั่งกินไอติมอยู่ก็กรี๊ดๆ อ๊ายๆ หญิงลีมา ชอบมากเลยคนนี้" เธอเผยถึงกระแสที่ดีเกินคาด
วันวานหญิงลี เคยดัง แต่ถูกแบน
แต่ก่อนที่จะมีวันนี้ หากย้อนวันวานกลับไป เส้นทางชีวิตของเธอไม่ได้โรยรายด้วยกลีบกุหลาบ กลับมีขวากหนามมากมายให้ต้องฝ่าฟัน
"ย้อนหลังกลับไป 9 ปี หญิงเคยมีอัลบั้มแรก และมีเพลงสร้างชื่อคือ บ่ย่านบาป ซึ่งเพลงนี้ถือว่ามีกระแสโด่งดังในภาคอีสานอย่างมาก แต่ตัวศิลปินไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก (หัวเราะ) สุดท้ายก็ถูกกระทรวงวัฒนธรรมออกมาแบนห้ามออกอากาศ โดยให้เหตุผลว่า เนื้อเพลงล่อแหลม รักลูกผัวเขา แก่แดดเกินวัย 20 ปี ผลก็คือทางค่าย ไม่โปรโมตต่อ หันไปโปรโมตนักร้องชายในอัลบัมแทน หญิงลีเลยเข้าไปคุยกับทางค่าย สุดท้ายก็ไปจบกันที่ศาล"
"บอกตรงๆ ชีวิตตอนนั้นล้มเหลวมากค่ะ หลังจากเกิดเรื่องก็กลับมาลำซิ่งตามเดิม ลงทุนอะไรก็ขาดทุน มีทำอัลบั้มเอง มีร้านเสริมสวยเป็นของตัวเอง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนความรักก็มาผิดหวังอีก ทั้งหมดนี้ มันกลายเป็นความชินชาที่ตัวหญิงเองก็ไม่ได้อะไรมากนะ เดินหน้าต่อไป สู้ชีวิตต่อไป สู้ด้วยความหวังว่าสักวันเราจะได้รับโอกาสดีๆ เข้ามาบ้าง" หญิงลี เล่าถึงวันวานที่สุดแสนจะกล้ำกลืน
วันนี้หญิงลี ศรีจุมพล ความเซ็กซี่ของ กลอนลำ กลับมากับค่ายใหม่ แกรมมี่ โกลด์ หลังจากที่เคยออกอัลบั้มชุดแรกมากว่า 9 ปี
"หญิงลีเป็นลำซิ่งเมียงูมาก่อน รับจ้างร้องเพลงหมอลำซิ่ง อ.สวัสดิ์ สารคาม ท่านเป็นคนคนเดียวกันที่ทำอัมบั้มบ่ย่านบาปที่เคยโด่งดังเมื่อ 9 ปีก่อน ด้วยความโชคดีที่หญิงลีเป็นลูกศิษย์ท่านอยู่แล้ว และท่านก็เห็นความเคลื่อนไหวของเรา เพราะเราค่อนข้างมีชื่อในตลาดงานวัด งานบุญ งานชิงช้าสวรรค์ งานปาลูกโป่งทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล ท่านเลยชักชวนให้เข้ามาทดสอบเสียงที่แกรมมี่โกลด์ ทีแรกจะเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มในภาคอีสาน แต่พอเพลงขอใจเธอแลกเบอร์โทร เป็นกระแสฮอตฮิตไปทั่วประเทศ มีศิลปินนำไปร้อง นำไปเต้น ก็ถือว่าเป็นความโชคดีของหญิงมากๆ" เธอเผยความรู้สึก
เมื่อถามถึงชีวิตครอบครัว เธอบอกสั้นๆ แค่ว่า ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ก่อนจะขยายความให้เห็นภาพความเป็นอยู่ของครอบครัว
"หญิงเป็นคนจ.บุรีรัมย์ แม่ทอผ้าไหมค่ะ ส่วนพ่อทำงานก่อสร้าง เวลาทำนาเราจะมารวมตัวเพื่อช่วยกัน พ่อของหญิงเป็นคนลำบาก ขาก็ไม่ดี เพราะเกิดอุบัติเหตุตกต้นไม้ตั้งแต่เด็ก ยิ่งแก่ตัวไป ขาก็งอเข้าๆ แต่ท่านก็อดทนยึดอาชีพก่อสร้างหาเลี้ยงครอบครัวมาตลอด หญิงเห็นแล้วสงสารท่าน เพราะเวลายืนนานๆ ท่านจะเจ็บ เคยนะที่บอกให้พ่อไปรักษา แต่ท่านไม่ยอม" เธอเล่า
แววนักร้อง..เธอได้แต่ใดมา
ลึกลงไปถึงแววความเป็นนักร้อง หญิงลีชอบร้องเพลงตั้งแต่อายุ 9 ขวบ เริ่มจากขึ้นร้องเพลงในงานทอดผ้าป่าที่วัดแถวบ้าน
"ตอนนั้นได้รางวัลเยอะมาก (หัวเราะ) เพราะย่านนั้นไม่ค่อยมีนักร้อง พอเราเป็นนักร้องตัวน้อยๆ ขึ้นไปร้องเพลงโบรักสีดำ ร้องเสร็จก็ได้รับค่าทิปจากคนดู แบงก์สิบบ้าง ยี่สิบบ้าง รวมทั้งเสียงปรบมือ ดีใจมากที่หาเงินค่าขนมได้เอง มากกว่าที่พ่อแม่ เคยให้ครั้งละ 5 บาท ตอนนั้นบอกตรง ๆ ว่าเกิดแรงบันดาลใจว่า โอ๊ย! ตัวเราเรียนหนังสือไม่เก่ง คงไม่ได้เป็นครู เป็นหมอ เป็นพยาบาล และความเป็นนักร้องก็เกิดขึ้นตอนนั้นค่ะ" หญิงลีเริ่มเผยที่มาถึงแววความเป็นนักร้อง
จากครั้งแรกบนเวทีในวันนั้น จึงเกิดแรงบันดาลใจอยากเป็นนักร้องอาชีพ เธอร้องเพลงตามงานต่างๆ มาเรื่อยๆ โดยเพลงส่วนใหญ่ก็จำเอา จดเนื้อมาหัดร้องเอง และด้วยเสียงปรบมือและค่าร้องเล็กๆ น้อยๆ ตรงนี้เองที่เด็กน้อยเริ่มหัดร้องหมอลำ จนเป็นที่รู้จักกันดีในแถวหมู่บ้าน โดยเพลงที่ร้องจะเป็นเพลงหมอลำตลาดๆ ที่คุ้นกันดี เช่น เพลงของ จินตหรา พูลลาภ ศิริพร อำไพพงษ์ เป็นต้น
กระทั่งอายุ 14 ปี เรียนชั้น ม.2 อาจารย์ที่โรงเรียนที่อยู่คนละหมู่บ้าน เห็นแววในการร้องเพลง เลยทาบทามมาร้องในวงอิเลกโทน ชื่อวงลูกน้ำ นับเป็นการก้าวเข้าสู่การเป็นนักร้องอาชีพเป็นครั้งแรก
ด้วยความที่เป็นผู้หญิง ไปงานดึกๆ พ่อแม่ก็เริ่มเป็นห่วง กลัวจะถูกมองไปในทางที่ไม่ดี แต่เธอก็คิดแค่ว่า อยากได้เงิน เพราะการร้องเพลงสามารถทำเงินได้มาก และตัวเองก็ไม่ใช่ลูกคนรวยอะไร ก็เลยขอร้องเพลงต่อไป
"ตอนนั้น พ่อกับแม่ไม่อยากให้ไป เพราะกลัวลูกสาวเกเร เรียนไม่จบ และการร้องเพลงก็เป็นอาชีพเต้นกินรำกิน กลัวจะถูกคนอื่นดูถูก และที่กลัวมากไปกว่านั้นคือ กลัวเราจะมีสามีก่อนวัยอันควร (หัวเราะ) แต่หญิงก็พยายามพิสูจน์ตัวเอง เพราะกลัวไม่ได้ร้องเพลง" เธอเผย
ค้นพบทางที่ใช่ นักร้องคือทางของฉัน
อย่างไรก็ดี การร้องเพลงกับวงลูกน้ำ ทำให้เธอคิดว่า ต่อไปต้องทำอาชีพนี้ อาชีพร้องเพลง เพราะเคยบอกกับตัวเองเอาไว้ว่า ถ้าเรียนจบแล้วแต่ยังไม่ได้ร้องเพลง ก็จะไปสมัครงานตามโรงงาน คิดแบบสาวต่างจังหวัดที่นิยมคิดอนาคตไว้แค่นี้
พอขึ้นชั้น ม.4 มีวงประสิทธิ ปักธงชัย วงอิเลกโทนที่โคราช ทาบทามมาให้ไปร่วมร้องเพลงในคณะ สาเหตุที่วงนี้ต้องการเธอไปร่วมร้องเพลงด้วย เพราะเธอร้องหมอลำได้ (วงที่โคราชส่วนใหญ่นักร้องจะร้องหมอลำไม่ค่อยได้)
จากการที่ทำงานหาเงินเองตั้งแต่เด็ก เธอเริ่มมีความมั่นใจภูมิใจในตัวเองสูงมากขึ้น และเคยนำเงินเก็บจากการร้องเพลงมาซื้อปุ๋ยให้พ่อแม่ 3000-5000 บาท
แม้จะจบแค่ม.6 แต่หญิงลีก็สามารถหาเลี้ยงตัวเอง และครอบครัวด้วยการร้องเพลง ซึ่งเธอไม่สนใจว่าใครจะมองเป็นอาชีพเต้นกินรำกิน
"หญิงลี เรียนหนังสือจบแค่ม.6 นะ เพราะว่าหญิงลีเป็นคนเรียนไม่เก่ง พยายามที่จะอยากเรียนปริญญาตรีบ่อยครั้ง แต่ก็ไม่มีเวลา อย่างตัวเองเคยเรียนรามมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ก็ไม่ไหว หญิงเลยรู้สึกว่า จบม.6 ก็พอละ และถ้ามีโอกาสเรียนต่อ ก็จะลองดูใหม่ แต่ตอนนี้ก็คงทำงานร้องเพลงไปก่อน เพราะหญิงเชื่อว่า คุณค่าในชีวิตของคนเราไม่ได้อยู่ที่ใบปริญญา แต่มันขึ้นอยู่กับที่เรามีปัญญาทำมาหากินดูแลตัวเอง และพ่อแม่ได้หรือไม่ต่างหาก"
คิดจะเป็น "นักร้อง" ต้องอดทน
ปฏิเสธไม่ได้ว่า อาชีพนักร้องคือหนึ่งในความสุขของเธอ แต่สิ่งที่ต้องมาควบคู่กันด้วยก็คือ ความอดทน และนึกถึงความรู้สึกของแฟนเพลงให้มากๆ
"หญิงมีความสุขกับการร้องเพลง แต่บางทีก็มีเหนื่อยบ้างเหมือนกัน เพราะเดินสายตลอด ซึ่งหญิงจะเต็มที่ทั้งบนเวที และข้างล่างเวที บางคอนเสิร์ตหญิงเล่น 1 ชั่วโมงครึ่งต่อเนื่อง ให้แฟนๆ เพลงถ่ายรูปอีก 1 ชั่วโมง หญิงจะให้ถ่ายทุกคนไปจนถึงคนสุดท้าย ศิลปินบางคนคิดว่านี่เหนื่อยแล้ว แต่หญิงไม่ หญิงไม่เคยคิดว่าตัวเองลำบาก เพราะโชคดีแค่ไหนที่มีคนชอบ และรักเรา มีรอยยิ้มให้กับเราตลอดเวลา อยากถ่ายรูปคู่กับเรา ซึ่งเราก็เคยเป็นแบบนั้น ชอบศิลปินคนไหนก็อยากจะถ่ายรูปด้วย"
และนี่คือช่วงเวลาประทับใจระหว่างเธอกับแฟนเพลง ที่เธอยกมาเล่าสู่กันฟัง
"มี 2 คนต่างวาระ ต่างโอกาส คนหนึ่งวิ่งเข้ามาจับมือเรา จากนั้นถ่ายรูปแล้วกรี๊ด ๆ กระโดดๆ ด้วยความดีใจ แล้วบอกเราว่า รักเรามาก คลั่งไคล้เรามาก ตอนนั้นบอกตรง ๆ น้ำตาไหลให้เห็นเลย ส่วนอีกคนเจอที่เชียงใหม่ ก็เป็นในลักษณะเดียวกัน ทำให้เรารู้สึกว่า โห เรามีคนรักมากขนาดนี้เลยเหรอ ดังนั้นหญิงจะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังเด็ดขาด และอยากจะบอกด้วยว่า หญิงรัก และขอบคุณแฟน ๆ เพลงของหญิงทุกคน" เธอเล่าถึงช่วงเวลาประทับใจระหว่างเธอกับแฟนเพลง
ผู้ชายมือไว วิธีรับมือ สไตล์ "หญิงลี"
อย่างไรก็ดี การเป็นนักร้องหญิง แน่นอนว่า ต้องเคยมีประสบการณ์ถูกชายมือไวแต๊ะอั๋งกันมาบ้างไม่มากก็น้อย เช่นเดียวกับหญิงลีที่เคยพบเจอตามงานแสดงต่างๆ
"หนุ่มๆ บางคนขอจับมือเราก็ให้จับนะ แต่จะมาจับนม จับก้นไม่ได้ หญิงจะไม่ต่อว่าเขาค่ะ เพราะเราต้องให้เกียรติกันและกัน แต่ถ้าเกินเลย ก็จะให้ทีมงานช่วย ส่วนบนเวที ถ้าดึงแรงๆ หญิงก็จะพูดเลยว่า อย่าดึงนะคะ หญิงลีตัวเล็ก เดี๋ยวตกเวทีนะคะ (ลากเสียงยาว) ถ้าจับแบบไม่ดึง ไม่ลาก หญิงลีให้จับทั้งคืนเลยนะคะ (ลากเสียงยาว) แต่ถ้าถูกดึงครั้งที่สอง หญิงจะพูดบอกเขาดีๆ ว่า ขออนุญาตไม่ให้จับมือแล้วนะคะ เพราะหญิงลีถูกดึงสองครั้งแล้ว จากนั้นก็เดินไปจับกลุ่มกับแฟนเพลงที่ไม่ดึงเราแรง เพราะหญิงลีมองว่า นี่ไม่ใช่ความผิดของหญิง เราให้โอกาสคุณแล้ว แต่ยังดึงจนเกือบจะตกเวที แบบนี้ก็ไม่ไหว ซึ่งเราก็พูดดีๆ นะ ไม่ได้ไปต่อว่าเขาตรงๆ เพราะเราก็ให้เกียรติเขา" เธอเล่า