เรื่องประวัติสมเด็จโตฯ ตอนหนึ่งแล้วประทับใจเลยเอามาฝากครับ
โดยย่อคือ ร.๔ ทรงสร้างที่ประทับ มีเกาะ และขุดสระอันสวยงาม และนิมนต์พระเถระต่างๆ พายเรือมารับบิณฑบาต วันหนึ่งนิมนต์สมเด็จโตฯ มารับบิณฑบาต แล้ว ร.๔ ทรงตรัสถามว่า
“ดีไหม ขรัวโต สวนสระปทุม” ? สมเด็จฯ ถวายพระพรทูลว่า “
สระปทุมนี้ตระการเหมือนราชรถ” ขอถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ พระพักตร์บึ้ง....
การที่สมเด็จโตฯ ทูลถวายพระพรว่า
“สระปทุมตระการเหมือนราชรถ” นั้น เป็นนัยยะที่เข้าใจเฉพาะผู้ที่เรียนศึกษาพุทธพจน์มาพอสมควรจึงจะทราบได้ เพราะมีพระคาถาพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า
“เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ จิตฺตํ ราชรถูปมํ ยตฺถ พาลา วิสีทนฺติ นตฺถิ สงฺโค วิชานตํ ฯ
สูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้ อันตระการตาดุจราชรถ ที่พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่พวกผู้รู้หาข้องอยู่ไม่."
( โลกวคฺค ธมฺมปท. ขุ.ธ. ๒๕/๓๘ )
http://dhambook.exteen.com/20090901/entry
ขยายความตามความเข้าใจของผมก็คือ สิ่งต่างๆที่ชาวโลกสมมุติว่าเป็นของสวยงาม มีแต่คนที่มัวเมาในกิเลสที่ยังติดอยู่ แต่ผู้รู้พิจารณาว่าของเหล่านี้ไม่เที่ยง มิใช่สิ่งที่ควรยึดติด ย่อมรู้และไม่ยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น
แสดงถึงภูมิธรรมของสมเด็จโตฯ ที่ผมมองเห็นอย่างน้อยสองอย่างคือ
๑.รู้ว่าควรสอนอะไรให้กับผู้ฟังซึ่งมีพื้นฐานความรู้ด้านธรรมะ ด้วยการกล่าวเพียงสั้นๆ แต่ทำให้ผู้ฟังได้ฉุกคิด และเข้าใจความหมายอย่างลึกซึ้ง
๒.เป็นผู้มีวาจาสัตย์ เห็นประโยชน์ที่ผู้ฟังควรได้รับฟังธรรมะ มากกว่าคำสรรเสริญที่คนทั่วไปมักยินดี แต่ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ
สมเด็จโตฯ ถวายพระพร เตือนสติกษัตริย์
โดยย่อคือ ร.๔ ทรงสร้างที่ประทับ มีเกาะ และขุดสระอันสวยงาม และนิมนต์พระเถระต่างๆ พายเรือมารับบิณฑบาต วันหนึ่งนิมนต์สมเด็จโตฯ มารับบิณฑบาต แล้ว ร.๔ ทรงตรัสถามว่า
“ดีไหม ขรัวโต สวนสระปทุม” ? สมเด็จฯ ถวายพระพรทูลว่า “สระปทุมนี้ตระการเหมือนราชรถ” ขอถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ พระพักตร์บึ้ง....
การที่สมเด็จโตฯ ทูลถวายพระพรว่า “สระปทุมตระการเหมือนราชรถ” นั้น เป็นนัยยะที่เข้าใจเฉพาะผู้ที่เรียนศึกษาพุทธพจน์มาพอสมควรจึงจะทราบได้ เพราะมีพระคาถาพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า
“เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ จิตฺตํ ราชรถูปมํ ยตฺถ พาลา วิสีทนฺติ นตฺถิ สงฺโค วิชานตํ ฯ
สูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้ อันตระการตาดุจราชรถ ที่พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่พวกผู้รู้หาข้องอยู่ไม่."
( โลกวคฺค ธมฺมปท. ขุ.ธ. ๒๕/๓๘ )
http://dhambook.exteen.com/20090901/entry
ขยายความตามความเข้าใจของผมก็คือ สิ่งต่างๆที่ชาวโลกสมมุติว่าเป็นของสวยงาม มีแต่คนที่มัวเมาในกิเลสที่ยังติดอยู่ แต่ผู้รู้พิจารณาว่าของเหล่านี้ไม่เที่ยง มิใช่สิ่งที่ควรยึดติด ย่อมรู้และไม่ยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น
แสดงถึงภูมิธรรมของสมเด็จโตฯ ที่ผมมองเห็นอย่างน้อยสองอย่างคือ
๑.รู้ว่าควรสอนอะไรให้กับผู้ฟังซึ่งมีพื้นฐานความรู้ด้านธรรมะ ด้วยการกล่าวเพียงสั้นๆ แต่ทำให้ผู้ฟังได้ฉุกคิด และเข้าใจความหมายอย่างลึกซึ้ง
๒.เป็นผู้มีวาจาสัตย์ เห็นประโยชน์ที่ผู้ฟังควรได้รับฟังธรรมะ มากกว่าคำสรรเสริญที่คนทั่วไปมักยินดี แต่ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ