ปั่นไปดูสถานการณ์น้ำ ที่อ.พรหมบุรี พร้อมแวะไหว้ หลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน

เมื่อคืนฝนตกอีกแล้ว  ตอนเย็นเลยอยากไปดูน้ำที่อ.พรหมบุรีสักหน่อย  ออกจากบ้านเวลาเดิม 16.30 น.  ใช้เส้นทาง อ่างทอง - สิงห์บุรีสายเก่า  ระหว่างทางมีกลุ่มผู้ชุมนุมปิดถนนเป็นระยะๆ  ไม่ได้มาเรียกร้องอะไรหรอก  คนสิงห์บุรีรักสงบ สมถะ มีชีวิตเรียบง่าย  จนได้รับการยกย่องว่าเป็นจังหวัดน่าอยู่อันดับหนึ่งของประเทศ(ไม่รู้ใครรับรอง เห็นขึ้นป้ายที่สายเอเซีย)   ชาวบ้านมาชุมนุมช่วยกันสูบน้ำออกจากบ้านพวกเขาครับ  ตอนนี้น้ำเริ่มเอ่อขึ้นมา น่าจะมาจากน้ำซึมจากเจ้าพระยากับน้ำฝนที่กระหน่ำมาเมื่อคืน  ชาวบ้านจะตั้งเครื่องสูบน้ำต่อท่อที่ทำจากพลาสติกเป็นปล่องยาวสัก 5-6 เมตร วางพาดข้ามมากลางถนน  แล้วสูบน้ำลงคลองอีกฝากหนึ่ง  น้ำเน่าเหม็นมากครับ  ขี่ผ่านกระเด็นใส่ เสื้อผ้าเปรอะหมด  เวลามีรถใหญ่สวนหรือแซงไป  คนสิงห์ใจดี  ชะลอให้ทุกคัน  ขอบคุณมากครับ  มีแบบนี้ไปตลอดเส้นทาง 12 กม.

     ปั่นมาจนถึงวัดอะไรจำไม่ได้ มีสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่  เลี้ยวซ้ายปั่นไปเรื่อยๆ  มีรถคนงานที่เลิกงานวิ่งสวนมาเป็นระยะๆ  จอดรถบนสะพานสังเกตุระดับน้ำ  น่ากลัวครับ  มองไปที่เขื่อนกั้นน้ำที่หน้าอำเภอ  เหลืออีกไม่เท่าไหร่ ก็จะล้นเขื่อนแล้ว  ปั่นผ่านหน้าอำเภอพรหมบุรี น่าจะเป็นอำเภอที่เงียบเหงาที่สุดในสิงห์บุรี  เพราะน้ำท่วมแทบทุกปี ไม่มีใครกล้าลงทุนอะไร  ตลาดในอำเภอ ผมไม่อยากเรียกว่าตลาดเลย  เงียบเหงาสุดๆ  ความเจริญมันอพยพหนีน้ำไปที่สายเอเซียเสียหมด  ที่อ.พรหมบุรีมีวัดสวยอยู่วัดหนึ่ง ชื่อว่าวัดกุฎีทอง เป็นวัดชาวไทยพวน มีหลวงพ่อเจ้าอาวาสชื่อ หลวงพ่อเมตตา  แกใจดีสมชื่อ สมถะ สำรวม จริยาวัตร งดงามน่านับถือยิ่งนัก พูดภาษาพวนฟังไพเราะจับใจ ฉันง่ายๆ อยู่ง่ายๆ แบบภิกษุแท้ๆ  มิใช่อาศัยผ้าเหลืองทำมาหากินไปวันๆ  ผมขี่ผ่านอำเภอขึ้นเหนือมาสัก 3-4 กม. ข้างๆทางมีน้ำเอ่อมาจ่อที่ถนนแล้ว  ชาวบ้านเริ่มเก็บข้าวของกันวุ่นวาย  จะว่าเขาชินแล้วก็อาจพูดได้ แต่ในความชาชินนั้น คงแฝงด้วยความเบื่อหน่าย ไร้หวัง ในชีวิตเหมือนกัน  ลองนึกดู ปีหนึ่งมี 12 เดือน นอนสบายๆในบ้าน 9-10 เดือน  ที่เหลือ 2-3 เดือน ต้องอพยพไปนอนที่เต้นท์ ที่เพิงพัก  แทบทุกปี มันคงไม่ใช่เรื่องน่าบันเทิงนักหรอก

       ปั่นมาจนถึงวัดพุทธารามวัดนี้ติดกับวัดจินดามณีเลย  ติดกันชนิดที่เรียกว่ารั้วชนกัน  ตามประวัติบอกว่า พี่ น้อง สร้างวัดแข่งกัน จิตใจคนสมัยก่อนช่างงดงามนัก  สร้างวัดแข่งกัน สมัยนี้เห็นมีแต่สร้างหนี้แข่งกัน บ้านเอย รถเอย โทรศัพท์เอย ฉันจะน้อยหน้าใครไม่ได้ ต้องเด่นกว่าคนอื่นตลอด อยากโชว์อยากอวดทุกอย่าง ยกเว้นสลิปเงินเดือน   วัดจินดามณีมีประเพณีที่สืบทอดกันมาครั้งแต่สมัยชาวเวียงจันทร์อพยพหนีสงครามมาสร้างบ้านเรือนอยู่ที่ ต.บ้านแป้ง ได้นำประเพณี ยายดอกไม้มาด้วย  คำว่ายายดอกไม้ ไม่ใช่ แม่ของแม่นางดอกไม้แบบที่ผมเข้าใจในตอนแรก แต่คำว่า ยาย ในที่นี่ หมายถึง ย้าย  ขยาย กระจาย  หรือถ้าจะสรุปรวมแล้ว ยายดอกไม้ ก็คือการตักบาตรดอกไม้นั้นเอง งานจะมีในช่วงก่อนเข้าพรรษา  ลูกหลานชาวลาว ชาวไทยพวน ไทยสยาม จะแต่งตัวงดงาม ทองหยองเต็มตัว เพราะอาชีพชาวบ้านแป้งเมื่อก่อนคือการทำทอง  สาวๆหนุ่มๆจะถือพาน ข้าวตอก ดอกไม้ มาใส่บาตรให้พระสงฆ์กันอย่างล้นหลาม ดอกไม้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นดอกลีลาวดี   ความจริงประเพณีนี้เกือบจะสูญหายไปแล้ว  แต่เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน  ได้ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่  จนได้เป็นที่รู้จักกว้างขวางขึ้น  เรียกได้ว่าคงอยู่คู่วัดจินดามณีและ จ.สิงห์บุรีตลอดไป

    ปั่นเลยมาอีกหน่อยก็ถึงวัดอัมพวัน  ตอนแรกก็ว่าจะแวะเข้าไป  แต่เกรงใจกลิ่นน้ำครำที่ลุยมา  มันเหม็นจริงๆ  เลยจอดรถที่ข้างวัด ยกมือ ตั้งจิตระลึกถึงหลวงพ่อจรัล  กราบสามครั้ง รู้สึกแช่มชื่นขึ้นมาทันที  ตอนนี้หลวงพ่อชราภาพมากแล้ว ป่วยกระเสาะกระแสะตลอด  แต่ก็มีคณะ แพทย์ พยาบาล จาก รพ.สิงห์บุรีดูแล  ตลอด 24 ชม.  หลวงพ่อนับเป็นสุดยอดพระรูปหนึ่ง ท่านบริจาคทรัพย์ สร้าง รพ.  โรงเรียน สะพาน วัดวาต่างๆมากมาย รวมถึงเผยแพร่คำสั่งสอนไปทั่วประเทศ  และที่แปลกอย่างหนึ่ง อ.พรหมบุรีน้ำท่วม 100 เปอร์เซ็นต์ ยกเว้นบริเวณวัดอัมพวันกับชุมชนรอบข้างเท่านั้น  คงเป็นด้วยบารมีของท่าน  ที่สามารถระดมสรรพกำลังมาปกป้องวัดจากมวลน้ำมหาศาลได้

        ไหว้หลวงพ่อเสร็จก็ปั่นต่อมาถึงตลาดปากบาง ตลาดเก่าแก่กว่า 150 ปี แต่สภาพห้องแถวไม้เก่าผุพังไปตามกาลเวลา  บางห้องก็ถูกแทนที่ด้วยตึกแถวที่อาจสวยงาม แข็งแรง แต่ไร้ค่าทางอารยธรรม  ถ้าจะเทียบกันแล้ว ตลาดสามชุก  กับตลาดปากบาง  เมื่อก่อนคงสูสีกัน แต่เดี๋ยวนี้  ด้วยศักยภาพของสิงห์บุรี ไม่เห็นทางที่จะต่อกรกับสุพรรณได้เลย  สุพรรณมีบึงฉวาก ตลาดสามชุก ดอนเจดีย์ วัดป่าเลไลย์ สิงห์บุรีมีลำแม่ลา ตลาดปากบาง ค่ายบางระจัน วัดพระนอนจักรสีห์ แต่ที่สุพรรณมีแต่สิงห์บุรีไม่มีคือ ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์  กล้าได้ กล้าเสีย  แบบท่านบรรหาร  ตลาดปากบางนี้น้ำท่วมมาตลอด  แต่ปีนี้มีพนังกั้นน้ำ  เลยยังไม่ท่วม แต่ที่สังเกตุก็เหลืออีกสักเมตรกว่าๆเท่านั้น  ปั่นเรื่อยมาเลาะริมน้ำเจ้าพระยา ระหว่างทาง  เห็นชาวบ้านจับกลุ่มพูดคุยกัน  หน้าตาส่อแววกังวล  หลายคนมาชะโงกดูน้ำที่ริมพนัง   ความทุกข์ของชาวบ้านนี้  ยากจะบรรยายออกมาเป็นตัวอักษรได้  ผมเชื่อว่าหลายท่านที่ได้อ่านกระทู้นี้  คงเคยผจญกับสภาวะน้ำท่วมมาบ้าง    แต่ชาวสิงห์บุรีเจอมันแทบทุกปี  เว้นปีที่แล้วปีเดียว  นอกนั้นหนักบ้าง  เบาบ้าง แต่ไม่เคยขาด     การปั่นวันนี้แบบสบายๆเพราะระยะทางแค่ 24 กม.  เลยมีเวลาเก็บรายละเอียดมากหน่อย  กลับถึงบ้านสบายๆ  ขอบคุณครับที่ช่วยอ่านจนจบ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  จักรยาน ภาคกลาง จังหวัดสิงห์บุรี วัด
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่