นายประวิต เอราวรรณ์ คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) ในฐานะประธานสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย กลุ่ม 16 สถาบันเก่าแก่ เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะศึกษาศาสตร์ มมส. ได้สำรวจการจัดการศึกษาในโรงเรียนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 300 โรงเรียน ทั้งโรงเรียนขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก พบว่านโยบายการเพิ่มจำนวนนักเรียนต่อห้อง และการให้โรงเรียนขยายห้องเรียนเพิ่มได้ของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ก่อให้เกิดผลเสียต่อคุณภาพการศึกษา ทำให้ครูและนักเรียนเกิดความเครียด ซึ่งจากการสัมภาษณ์ครูผู้สอนพบว่า จำนวนนักเรียนที่มากเกินไปทำให้ไม่สามารถจัดกิจกรรมที่นอกเหนือจากการบรรยายเนื้อหาหน้าห้องเรียนได้ โดยครูผู้สอนมีข้อเสนอว่าจำนวนนักเรียนต่อห้องที่เหมาะสมควรจะอยู่ที่ 35 คนต่อห้อง จึงจะสามารถจัดการศึกษาที่มีคุณภาพได้ โดยปัจจุบันโรงเรียนขนาดใหญ่จะมีนักเรียนประมาณ 50 คนต่อห้อง
“เมื่อวิเคราะห์ถึงปัญหาลึกลงไป พบอีกว่าการที่ศธ.มีนโยบายให้โรงเรียนเพิ่มนักเรียนต่อห้องได้ ทำให้ปัญหาการฝากเด็กเพิ่มมากขึ้นด้วย และมีนักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยจากการสำรวจพบว่าโรงเรียนขนาดใหญ่บางโรงเรียนมีนักเรียนมากถึง 6,000 คน ซึ่งถือว่ามากเกินไป ทำให้การดูแลไม่ทั่วถึง โดยปัจจุบันพบว่าโรงเรียนขนาดใหญ่จะมีนักเรียนเฉลี่ยประมาณ 3,000 คนขึ้นไป ขณะที่โรงเรียนขนาดกลาง และเล็ก แทบไม่มีเด็กเข้าเรียน เพราะทุกคนมุ่งแต่จะเข้าไปโรงเรียนขนาดใหญ่ ขณะ เดียวกันศธ. ใช้วิธีการจัดสรรงบประมาณแบบรายหัว เมื่อโรงเรียนขนาดกลางและขนาดเล็กไม่มีเด็กเข้าเรียน งบประมาณก็ไปกระจุกตัวอยู่ที่โรงเรียนขนาดใหญ่ เกิดปัญหาโรงเรียนแย่งกันรับเด็ก ขณะที่ภาครัฐก็มุ่งแต่จะพัฒนาโรงเรียนขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศทำให้ช่องว่างทางการศึกษาเพิ่มมากขึ้น” นายประวิต กล่าวและว่า สำหรับแนวทางแก้ปัญหานั้น ศธ. ต้องกำหนดจำนวนนักเรียนต่อห้อง ไม่ให้มากเกินไป โดยจำนวนที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 35 คนต่อห้องเรียน ซึ่งจะทำให้โรงเรียนขนาดใหญ่ไม่สามารถรับนักเรียนได้มากเกินไป เพื่อกระจายเด็กไปสู่โรงเรียนขนาดกลาง และเล็ก ลดปัญหาฝากเด็ก ทำให้ครูดูแลนักเรียนได้ทั่วถึง เกิดการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ
http://www.dailynews.co.th/education/235996
เมื่อก่อนก็มีนโยบายป้องกันนักเรียนเข้าเรียนโรงเรียนใหญ่ๆ มากเกินไป โดยการตรวจสอบทะเบียนบ้านว่าอยู่ในเขตใกล้โรงเรียนไหม นักเรียนถ้าอยู่นอกเขตก็ต้องรีบหาบ้านคนรู้จักเพื่อโอนชื่อเข้าไว้ในบ้านนั้นภายในกำหนดเวลา สรุปแล้วนักเรียนก็จะพยายามเข้าเรียนแต่โรงเรียนใหญ่ๆ จนล้นโรงเรียนเหมือนเดิม
โรงเรียนไม่ยักเหมือนเซเว่นเข้าสาขาไหนก็เหมือนกัน
นักวิชาการแนะนำ ศธ.ปรับแผนลดจำนวนนักเรียนต่อห้อง
“เมื่อวิเคราะห์ถึงปัญหาลึกลงไป พบอีกว่าการที่ศธ.มีนโยบายให้โรงเรียนเพิ่มนักเรียนต่อห้องได้ ทำให้ปัญหาการฝากเด็กเพิ่มมากขึ้นด้วย และมีนักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยจากการสำรวจพบว่าโรงเรียนขนาดใหญ่บางโรงเรียนมีนักเรียนมากถึง 6,000 คน ซึ่งถือว่ามากเกินไป ทำให้การดูแลไม่ทั่วถึง โดยปัจจุบันพบว่าโรงเรียนขนาดใหญ่จะมีนักเรียนเฉลี่ยประมาณ 3,000 คนขึ้นไป ขณะที่โรงเรียนขนาดกลาง และเล็ก แทบไม่มีเด็กเข้าเรียน เพราะทุกคนมุ่งแต่จะเข้าไปโรงเรียนขนาดใหญ่ ขณะ เดียวกันศธ. ใช้วิธีการจัดสรรงบประมาณแบบรายหัว เมื่อโรงเรียนขนาดกลางและขนาดเล็กไม่มีเด็กเข้าเรียน งบประมาณก็ไปกระจุกตัวอยู่ที่โรงเรียนขนาดใหญ่ เกิดปัญหาโรงเรียนแย่งกันรับเด็ก ขณะที่ภาครัฐก็มุ่งแต่จะพัฒนาโรงเรียนขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศทำให้ช่องว่างทางการศึกษาเพิ่มมากขึ้น” นายประวิต กล่าวและว่า สำหรับแนวทางแก้ปัญหานั้น ศธ. ต้องกำหนดจำนวนนักเรียนต่อห้อง ไม่ให้มากเกินไป โดยจำนวนที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 35 คนต่อห้องเรียน ซึ่งจะทำให้โรงเรียนขนาดใหญ่ไม่สามารถรับนักเรียนได้มากเกินไป เพื่อกระจายเด็กไปสู่โรงเรียนขนาดกลาง และเล็ก ลดปัญหาฝากเด็ก ทำให้ครูดูแลนักเรียนได้ทั่วถึง เกิดการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ
http://www.dailynews.co.th/education/235996
เมื่อก่อนก็มีนโยบายป้องกันนักเรียนเข้าเรียนโรงเรียนใหญ่ๆ มากเกินไป โดยการตรวจสอบทะเบียนบ้านว่าอยู่ในเขตใกล้โรงเรียนไหม นักเรียนถ้าอยู่นอกเขตก็ต้องรีบหาบ้านคนรู้จักเพื่อโอนชื่อเข้าไว้ในบ้านนั้นภายในกำหนดเวลา สรุปแล้วนักเรียนก็จะพยายามเข้าเรียนแต่โรงเรียนใหญ่ๆ จนล้นโรงเรียนเหมือนเดิม
โรงเรียนไม่ยักเหมือนเซเว่นเข้าสาขาไหนก็เหมือนกัน