จะ 2 ปีที่ผ่านมา หรือจะ 2020 ก็ถูกจับได้ว่าโกหกประชาชน ... นายซื่อตรง รักเมืองไทย ...(รักปชป.ด้วย)... แนวหน้าออนไลน์

กระทู้สนทนา
ตลอด 2 ปีที่เป็นนายกรัฐมนตรี คุณยิ่งลักษณ์แทบไม่ได้สนใจสภา เอาแต่มุ่งมั่นเดินทางรอบโลกกว่า
42ประเทศ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา นายกฯยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยผลักดันวาระ
เข้าสภา3 เรื่องสำคัญ

(1) แก้รัฐธรรมนูญเรื่อง ที่มาสว. ให้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด
(2)พรบ.เพื่อการใช้เงินกู้ 2ล้านล้านนอกระบบงบประมาณ และ
(3) แถลงผลงานรัฐบาล ที่ตกค้างมาเกือบปี

จะรีบปิดโต๊ะ สร้างเครดิตว่า ตลอดสองปีมีผลงานมากมาย ก่อนจะเดินหน้าสู่ปี 2020 อย่างไรไม่ทราบได้
แต่หากที่ผ่านมา 2 ปี ทำงานจริง หรือพรบ. 2 ล้านล้าน เป็นโครงการที่ได้ศึกษามาดีแล้วว่าจำเป็นและดีจริง
ก็คงไม่โดนจับได้กลางสภาว่า “มั่วข้อมูล บิดเบือนตัวเลข” และพอโดนจับได้ ก็กลับไร้คำตอบใดๆจากผู้เป็น
ผู้นำรัฐบาล โยนปัญหาให้ลูกน้องตอบตามสไตล์นายกยิ่งลักษณ์

2ปีที่ไม่คุ้มค่าราคาคุย?

น่าสังสัยเอาตั้งแต่วิปรัฐบาลขอเลื่อนแถลงผลงาน 1 ปีรัฐบาล จากวันที่ 25 มาเป็น 24 กันยายน เพราะ
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ไม่ว่าง จนมาร้องอ๋อเมื่อตลอดช่วงบ่าย เย็นและค่ำของ
วันอังคาร มีนายสุรพงษ์ ออกมาตอบแทนนายกรัฐมนตรีทั้งหมด

ไม่เข้าใจว่าการที่ รมว.สุรพงษ์ออกมาบอกว่า การที่นายกฯและรมว.ต่างประเทศเดินทางไปเยือนต่างประเทศ
รวม 2 ปี 1 เดือน ได้ถึง 55 ประเทศ เทียบกับสมัยนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เดินทางเยือนต่างประเทศรวม
34 ครั้ง ใน 2 ปี 8 เดือนว่า นี่คือผลงานที่ดีกว่านั้นได้อย่างไร เพราะหากจะบอกว่าที่เดินทางเยือนนั้น เพื่อ
ประโยชน์ทางการค้าของประเทศ ไม่ใช่เพราะเรื่องช่วยวีซ่าพี่ชายหรือผลประโยชน์กลุ่มชินและพรรคพวกตาม
ที่โดนกล่าวหา ก็ควรเอาตัวเลขการค้ามาเทียบเลยว่า ส่งออกดีขึ้นเท่าไหร่

ประการแรก วิธีการพูดของนายกยิ่งลักษณ์คือ บอกว่าปริมาณการค้าเพิ่มขึ้น ในที่นี้ปริมาณการค้าก็คือ ตัวเลข
บวกทบกันทั้งนำเข้าและส่งออกระหว่างสองประเทศ ซึ่งในบรรดาประเทศที่นายกฯบอกว่าปริมาณการค้าเพิ่มขึ้น
ส่วนใหญ่ล้วนไทยขาดดุลการค้าในปีนี้แทบทั้งสิ้น  นั่นเท่ากับการไปเจริญสัมพันธไมตรีทางการค้าของ
นายกยิ่งลักษณ์คือการไปเจรจาเอาเงินไปให้เขา

ประการที่สอง การที่รัฐบาลประกาศปรับลดตัวเลขส่งออก เพราะพยายามจะเลี่ยงการประเมินตัวเลขส่งออก
เทียบกับเป้าตอนสิ้นปี ก็นับว่าแย่มากแล้ว แต่ปีนี้มีการปรับเป้าส่งออกถึง 3ครั้งแล้ว สะท้อนผลงานที่ล้มเหลว
ไม่เป็นท่าของทีมการค้าของนายกรัฐมนตรี แต่ด้วยวิสัยทัศน์ของรัฐบาลนี้ กลับเลือกเอา นางศรีรัตน์
รัษฐปานะ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศที่มีผลงานส่งออกสินค้าไทยตกต่ำสุดในรอบ 10ปี
(เว้นปีที่เกิดอุทกภัยให้ ) มาตั้งให้เป็นปลัดกระทรวงพาณิชย์ คุมการค้าทุกด้านของประเทศ

ประการที่สาม การที่รัฐบาลออกมาภูมิใจว่า นายกปูได้รับการเชิญไปแขกพิเศษสูงสุดของอินเดียเมื่อต้น
ปี 2555 และการที่นายชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เดินทางมาเยือนไทยเมื่อต้นปีที่ผ่านมาเป็นประเทศ
แรกๆหลังรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยบอกว่าเป็นการให้เกียรตินายกยิ่งลักษณ์ ที่เก่งกาจเหนือใคร เช่นเดียว
กับประธานาธิบดีสหรัฐที่มาเยือนไทยเพราะบารมีนายกยิ่งลักษณ์

แต่เรื่องจริงที่นายสุรพงษ์พูดไม่หมดก็คือ หลังจากที่ประเทศไทยเป็นแชมป์ส่งออกข้าวมาตลอดเพิ่งจะมาเสีย
แชมปให้กับอินเดีย และเวียดนาม โดยอินเดียปีล่าสุดส่งออกได้ถึง10.4ล้านตัน ขณะที่ไทยตกมาอยู่
ที่ 6.9 ล้านตัน งานฉลองวันชาติอินเดียครั้งนั้นจึงไม่ต่างอะไรกับการเลี้ยงฉลองชัยชนะการค้าเจ้าแห่งสินค้า
เกษตรให้อินเดีย โดยที่แชมป์เก่าอย่างไทยไปยืนยินดีเป็นพยานความพ่ายแพ้ให้เขาด้วย จริงๆต้องนับว่าไทย
ขายข้าวตกเป็นอันดับสามที่ นอกจากอินเดียแล้ว ยังรองจากเวียดนามด้วย จึงไม่แปลกที่อินเดียจะเลี้ยง
ขอบคุณคุรยิ่งลักษณ์ที่แม้ไทยจะผลิตข้าวได้มากกว่าใคร แต่นายกยิ่งลักษณ์มีนโยบายกอดข้าวไว้แน่นไม่ยอม
ขายให้ใคร ขณะที่ไม่แปลกอีกเช่นกันที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นต้องรีบมาขอบคุณนายกไทยที่อุตส่าห์เอาเงินภาษี
คนไทยมาอุดหนุนซื้อรถญี่ปุ่น จนยอดเพิ่มช่วยต่อชีวิตเศรษฐกิจตกต่ำของญี่ปุ่น

เช่นเดียวกับ นายบารัคโอบามา ที่มาเยือนไทยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ที่เอาเข้าจริง ไม่ได้มีมีแค่ผู้นำสหรัฐ
ประเทศเดียว แต่ยังมีอีกหลายประเทศ แต่ความจริงก็คือ เหตุใดโอบามาและผู้นำต่างๆจึงมาเอเซียน คำตอบ
อยู่ที่การมาไทยไม่กี่ชั่วโมง แต่จุดหลักคือ เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ที่ผู้นำสหรัฐมาเยือนประเทศพม่า เพราะ
ผู้นำชาติตะวันตกต่างรีบมาชิงเค้กก้อนใหญ่ จากการที่พม่าตัดสินใจเปิดประเทศ

เรื่องนี้วัดผลชัดๆได้จากการตัดสินใจเชิญประธานาธิบดีพม่าและผู้นำเวียดนามไปเป็นแขกของประธานาธิบดี
สหรัฐเมื่อไม่นานมานี้  โดยไม่ปรากฏลิสต์รายชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่ในสายตาอีกเลยหลังจากผ่านมา 2 ปี
น้ำลดตอก็ผุดว่า ใครเป็นใคร การที่ผลสำรวจคนไทยเองยังเชื่อว่าคุณยิ่งลักษณ์ ไม่ใช่ผู้นำที่แท้จริง ฝรั่งต่าง
ชาติเขาจะดูไม่ออกเชียวหรือ  ถึงขนาดที่หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ของสหรัฐ เคยเผยแพร่บทความ
นายโทมัส ฟุลเลอร์ ผู้สื่อข่าวที่ประจำประเทศไทย ผู้ที่ประกาศให้ชาวโลกรู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีต
นายกฯ แม้จะถูกรัฐประหารตั้งแต่ปี 2549 แต่ยังคงมีบทบาทบริหารประเทศเป็นนายกฯ ตัวจริงในรัฐบาลปัจจุบัน

พอมีคนถามว่า เหตุใดคุณยิ่งลักษณ์ผู้นิยมเดินทางไปทั่วแม้กระทั่งประเทศเล็กๆอย่างมอนเตเนโกร แต่ไม่ไป
ประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาในปลายเดือนนี้  เหตุผลไม่มีคิวเชิญให้
ไปหารือแบบทวิภาคีแบบที่เวียดนาม พม่าและอีกหลายประเทศในอาเซียนได้รับเชิญ แต่คุณยิ่งลักษณ์เขา
ไม่ให้ราคาแล้ว ใช่หรือไม่? นายกฯไม่ตอบ รมว.ต่างประเทศก็อ้ำอึ้ง

2 ล้านๆฝาอนาคตได้หรือ

จากที่ไม่รู้ว่าเจตนาเริ่มต้นของรัฐบาลอยู่ที่งบฯหรือความจำเป็นกันแน่ ทำให้เลือกเส้นทางรถไฟความเร็วสูง
โดยหั่นเส้นภาคใต้และภาคอีสานออก แล้วเอาเงินไปทำสายภาคเหนือ ซึ่งไม่มีความจำเป็นทางเศรษฐกิจ
สุดท้ายก็ใช้วิธีปรับแก้ผลการศึกษา ทำตามใจที่คิดให้ได้ แต่ที่น่าเป็นห่วงในเรื่องเอกสารที่ ระบุในเอกสารใน
พรบ.ว่าเป็นแค่ยุทธศาสตร์และแผนงาน โดยเลี่ยงที่จะระบุว่าเป็นโครงการ เรื่องนี้สำคัญมาก ล่าสุดทีดีอาร์ไอ
ได้ออกมาเปิดแผลจับพิรุธว่าการทำเช่นนี้อาจมีการปรับเปลี่ยนสำหรับโครงการที่ไม่ตอบโจทย์ฐานเสียงของ
รัฐบาลออกไปได้ นั่นเท่ากับที่บอกว่า จะสร้างอะไรก็ไม่เป็นอย่างนั้นอีกได้

นอกจากนี้ในการประชุมสภาวาระพรบ.2 ล้านล้านเมื่อสัปดาห์ก่อน เมื่อโดนฝ่ายค้านจับได้ว่ามี การปูดงบ
โครงการรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ-พิษณุโลกสายเดียวกันทั้งในพรบ.2 ล้านล้าน แล้วยังปรากฏใน
งบฯปกติอีก จึงออกมายอมรับและแก้ตัวว่า งบฯที่ปรึกษาแยกไว้ในงบฯปกติ นั่นเท่ากับวงเงินสูงกว่าที่เคย
ประเมินในเส้นอื่นๆที่เคยประเมินไปแล้วก่อนหน้าอย่างสายแหลมฉบัง-ศรีราชา เรื่องนี้หากไม่มองว่า บริหาร
ไม่เป็น สิ้นเปลืองงบประมาณประเทศชาติ ก็อาจมองได้ว่าส่อทุจริต

นายกฯบอกจะสร้างอนาคตไทย 2020 ด้วยการก่อหนี้ให้ประเทศ ตัดสินใจใช้เงินทั้งหมดทุ่มให้กับโครงการ
คมนาคมขนส่งล้วนๆ รอบเดียว 2 ล้านล้าน โดยคิดแทนประชาชนที่เป็นผู้ต้องหาเงินมาใช้หนี้ไปอีก 50 ปีว่า
ไม่ต้องการโครงการลงทุนขนาดใหญ่กับการพัฒนาด้านการศึกษาหรือสาธารณสุข นั้น ถูกต้องแล้วหรือ ที่
เราจะฝากอนาคตไว้กับการตัดสินใจเช่นนี้  เพราะตลอดเกือบ 2ที่บริหารประเทศมา สิ่งที่นายกยิ่งลักษณ์คิด
และตัดสินแทนคนไทย มันช่างน่าเป็นห่วงเหลือเกิน

ล่าสุด เพียงสัปดาห์เดียวภายใต้การนั่งบัญชาการเองของนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการ กบอ.ของ
นายปลอดประสพ ในการจัดการปัญหาอุทกภัย ปรากฎว่าเกิดอุทกภัยแล้ว 27 จังหวัด ประชาชนได้รับ
ผลกระทบแล้ว 1,798,270 คน บ้านเรือนเสียหายไปแล้ว4,069 หลัง มีผู้เสียชีวิตแล้ว 9 ราย

เราจะฝากอนาคตไว้กับคนๆนี้จริงๆหรือ



"มีคนชนิดหนึ่ง แม้จะไม่ลงมือปล้นชิงด้วยตนเอง

แต่หัวใจยังดำยิ่งกว่าโจร

สินค้าที่ผู้อื่นทุ่มเทชีวิตช่วงชิงมา

มันกลับรับซื้อด้วยราคาถูกแสนถูก

พอเปลี่ยนมืออย่างน้อยได้กำไรหลายเท่าตัว"

(โกวเล้ง กล่าวไว้ใน ทวนทมิฬ)

http://www.naewna.com/politic/columnist/8815

ใช่ค่ะ  เราฝากอนาคตไว้กับคนๆนี้จริงๆ  เพราะเสียงข้างมาก  เขาเลือกมาแล้ว

ที่หยิบยก  จุดผิดพลาด ไม่ได้ไปพูด  ไม่ได้ประชุม  ฯลฯ  โถ...คุณขา
ที่ไปมาซะขนาดนี้   คุณก็กระหน่ำ  จะแย่อยู่แล้ว  ...
พูดถึงแต่  ไม่ได้ไปโน่น ไปนี่   ไม่ได้พูด  ที่นั่น ที่นี่  
ทำไม ไม่หยิบที่เขาได้ ไปพูด ที่โน่น ที่นี่ มาบ้างล่ะคะ .....
แล้วก็ 3  เรื่องที่เขาดัน  เข้าสภาน่ะ  ก็เป็นเรื่องเขาหาเสียงไว้
ผ่านมา 2 ป ปชช. เขาก็เร่ง  ... มาแล้ว
ส่วน ที่ไม่ตอบเองน่ะ  ก็เป็นธรรมดา  นายกฯ  มีสิทธิให้ใครตอบแทนก็ได้
ทำไมต้องจ้องจับผิด  กันนัก  กันหนา ....

อ้อ  ลืมไป  นี่มัน "แนวหน้า"  เนอะ  บ.ก. เขาเป็นส.ส. ปชป. นี่น่า  

จำขรี้ปาก  เขามาบอกต่อนะคะ  ปีที่แล้ว เศรษฐกิจ ตกต่ำทั่วโลกค่ะ
ไม่ได้มีประเทศไหน  ดีเลย  ทำให้ผลการส่งออกของไทยย่ำแย่ไปด้วย

ว่าแต่บทความนี้   เข้าข่าย  "ด่าแม้ว  เหยียดหยามปู .... เหมือนบูชามาร์ค"  ไหม ?

อ้อ  จะมีใครมา...ขำกลิ้ง...  กับบทความนี้ก็ได้นะ   หัวเราะสาวแว่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่