25 ก.ย. 2556 เวลา 21:30:03 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
นายวิน พรหมแพทย์ หัวหน้าฝ่ายการลงทุน สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการ สปส. กำลังเตรียมนำแผนการลงทุนระยะ 5 ปี เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) สปส. ซึ่งน่าจะมีขึ้นระหว่างเดือน ต.ค.-พ.ย. นี้ โดยมีแนวคิดจะเปลี่ยนสัดส่วนในพอร์ตการลงทุนจากเดิม ที่ลงทุนในสินทรัพย์มั่นคง 80% สินทรัพย์เสี่ยง 20% เปลี่ยนเป็น 54% และ 36% ตามลำดับ ส่วนอีก 10% เป็นการลงทุนทางเลือก
อีกทั้งยังมีการพิจารณาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น เช่น กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และหุ้นในต่างประเทศ โดยคาดว่าจะช่วยให้ผลตอบแทนของกองทุน สปส. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1% จากเดิมมีผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 4-5%
หัวหน้าฝ่ายการลงทุน สปส. ยังคาดผลตอบแทนของการลงทุนปีนี้ว่า น่าจะลดลงจากปีก่อนที่เคยทำได้เฉลี่ย 7% เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นในประเทศที่ปรับตัวผันผวน อย่างไรก็ตาม ยื่นยันว่าเม็ดเงินของผลตอบแทนการลงทุนปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนที่ทำได้ 4 หมื่นล้านบาท เป็น 4.2-4.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการรับเงินนำส่งเข้าระบบประกันสังคมที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ปัจจุบันกองทุนประกันสังคมลงทุนในตลาดหุ้นไทย 1 แสนล้านบาท หรือ 10% ของพอร์ต ซึ่งมีหลักการคัดเลือกบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่เข้าไปลงทุน 50 แห่ง
"ในปีนี้ภาวะตลาดปรับตัวผันผวน ไม่รู้สึกกังวล เนื่องจากส่วนใหญ่ลงทุนในระยะยาว โดยประเมินว่า บริษัทจดทะเบียนของไทย ยังมีทิศทางเติบโตได้ต่อเนื่อง แม้ภาพรวมเศรษฐกิจปัจจุบันยังมีความไม่แน่นอนอยู่ แต่ก็ยังเดินไปได้ ส่วนการไหลออกของเม็ดเงินต่างชาติในช่วงนี้ เป็นโอกาสที่ดีของกองทุนที่จะเข้าไปเก็บหุ้นที่สนใจ"นายวินกล่าว
อีกทั้งช่วงที่ผ่านมา คณะกรรมการยังมีมติเห็นชอบปรับโครงสร้างเงินเดือนและจำนวนพนักงานด้านการลงทุนเพิ่มอีก 44 อัตราจากเดิมมีอยู่ 55 อัตรา ซึ่งแบ่งเป็นอัตราข้าราชการ 15 ตำแหน่ง อัตราพนักงานเฉพาะทาง 20 ตำแหน่ง และพนักงานทั่วไป 20 ตำแหน่ง ดังนั้นเมื่อได้รับมติจากบอร์ดให้เพิ่มพนักงานได้ จึงจะเพิ่มอัตราพนักงานเฉพาะทางที่เข้ามาดูแลเรื่องการลงทุนเพิ่มจากเดิมอีก 24 ตำแหน่ง
นอกจากนี้ ล่าสุด สปส. ยังได้จัดตั้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) 5 ราย ได้แก่ บลจ.กสิกรไทย บลจ.ธนชาต บลจ.ไทยพาณิชย์ บลจ.เอ็มเอฟซี บลจ.กรุงไทย ทำหน้าที่ช่วยบริหารเงินกองทุนมูลค่า 4.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นรายละ 9 พันล้านบาท
กองทุนประกันสังคมเล็งปรับพอร์ต จ่อลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง 36% จากเดิม 20% ภายใน 5 ปี
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
นายวิน พรหมแพทย์ หัวหน้าฝ่ายการลงทุน สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการ สปส. กำลังเตรียมนำแผนการลงทุนระยะ 5 ปี เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) สปส. ซึ่งน่าจะมีขึ้นระหว่างเดือน ต.ค.-พ.ย. นี้ โดยมีแนวคิดจะเปลี่ยนสัดส่วนในพอร์ตการลงทุนจากเดิม ที่ลงทุนในสินทรัพย์มั่นคง 80% สินทรัพย์เสี่ยง 20% เปลี่ยนเป็น 54% และ 36% ตามลำดับ ส่วนอีก 10% เป็นการลงทุนทางเลือก
อีกทั้งยังมีการพิจารณาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น เช่น กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และหุ้นในต่างประเทศ โดยคาดว่าจะช่วยให้ผลตอบแทนของกองทุน สปส. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1% จากเดิมมีผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 4-5%
หัวหน้าฝ่ายการลงทุน สปส. ยังคาดผลตอบแทนของการลงทุนปีนี้ว่า น่าจะลดลงจากปีก่อนที่เคยทำได้เฉลี่ย 7% เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นในประเทศที่ปรับตัวผันผวน อย่างไรก็ตาม ยื่นยันว่าเม็ดเงินของผลตอบแทนการลงทุนปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนที่ทำได้ 4 หมื่นล้านบาท เป็น 4.2-4.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการรับเงินนำส่งเข้าระบบประกันสังคมที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ปัจจุบันกองทุนประกันสังคมลงทุนในตลาดหุ้นไทย 1 แสนล้านบาท หรือ 10% ของพอร์ต ซึ่งมีหลักการคัดเลือกบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่เข้าไปลงทุน 50 แห่ง
"ในปีนี้ภาวะตลาดปรับตัวผันผวน ไม่รู้สึกกังวล เนื่องจากส่วนใหญ่ลงทุนในระยะยาว โดยประเมินว่า บริษัทจดทะเบียนของไทย ยังมีทิศทางเติบโตได้ต่อเนื่อง แม้ภาพรวมเศรษฐกิจปัจจุบันยังมีความไม่แน่นอนอยู่ แต่ก็ยังเดินไปได้ ส่วนการไหลออกของเม็ดเงินต่างชาติในช่วงนี้ เป็นโอกาสที่ดีของกองทุนที่จะเข้าไปเก็บหุ้นที่สนใจ"นายวินกล่าว
อีกทั้งช่วงที่ผ่านมา คณะกรรมการยังมีมติเห็นชอบปรับโครงสร้างเงินเดือนและจำนวนพนักงานด้านการลงทุนเพิ่มอีก 44 อัตราจากเดิมมีอยู่ 55 อัตรา ซึ่งแบ่งเป็นอัตราข้าราชการ 15 ตำแหน่ง อัตราพนักงานเฉพาะทาง 20 ตำแหน่ง และพนักงานทั่วไป 20 ตำแหน่ง ดังนั้นเมื่อได้รับมติจากบอร์ดให้เพิ่มพนักงานได้ จึงจะเพิ่มอัตราพนักงานเฉพาะทางที่เข้ามาดูแลเรื่องการลงทุนเพิ่มจากเดิมอีก 24 ตำแหน่ง
นอกจากนี้ ล่าสุด สปส. ยังได้จัดตั้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) 5 ราย ได้แก่ บลจ.กสิกรไทย บลจ.ธนชาต บลจ.ไทยพาณิชย์ บลจ.เอ็มเอฟซี บลจ.กรุงไทย ทำหน้าที่ช่วยบริหารเงินกองทุนมูลค่า 4.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นรายละ 9 พันล้านบาท