ป่าอุ่นใจไออุ่นรัก
หญ้าเจ้าชู้
ตอนที่ ๒
ขณะที่ขับรถกลับบ้าน สิ่งเดียวที่รบกวนจิตใจของพลรบมากที่สุดคือเรื่องที่อัลยาขอย้ายลงไปอยู่หน่วยชายแดน นั่นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย ต่อให้เธอไม่ได้ออกลาดตระเวน จะอยู่แค่ในค่าย แต่อันตรายที่มองไม่เห็นก็จ้องเล่นงานอยู่เสมอ คนแปลกหน้า ไม่ว่าจะเป็นใคร ความไว้เนื้อเชื่อใจของผู้คนได้หดหายไปตามจำนวนโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้น ทำให้การเข้าถึงชุมชนเป็นไปอย่างยากลำบาก แม้แต่เขาเองที่อยู่ในพื้นที่มานานหลายเดือน ก็ยังมีสายตาที่หวาดระแวงแคลงใจส่งมาให้เห็นอยู่เป็นประจำ นับประสาอะไรกับอัลยาที่มีเพียง “อุดมการณ์” เท่านั้นที่ติดตัวมา วิชาทหารที่เรียนรู้มาก็ไม่ใช่ว่าจะได้ใช้งานสักกี่มากน้อย ถ้าไม่ได้สังกัดหน่วยรบแล้วก็แทบไม่มีโอกาสได้จับปืน แต่เขาจะทำอะไรได้ นอกจากภาวนากับเทวดาว่าขอให้เธอสัมภาษณ์ไม่ผ่าน
เช้าของวันถัดมา ในห้องประชุมของหน่วย มีผู้บัญชาการหน่วย ผู้อำนวยการด้านกำลังพล ผู้อำนวยการกองนั่งอยู่ด้านหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามเป็นผู้ที่ขอยื่นเรื่องไปช่วยราชการในชุดเดียวกันนี้สิบสองคน บรรยากาศเดียวกับการถูกสอบสัมภาษณ์เข้าทำงานในองค์กรลับระดับโลก (ยังไงยังงั้น) ผู้ใหญ่ทั้งสามท่านมีแฟ้มประวัติของผู้ยื่นเรื่องขอไปช่วยราชการในมือ และถูกถามเรียงตัว คนที่ไม่เกี่ยวข้องมีสิทธิ์เพียงนั่งฟัง คำถามไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก เช่น ทำไมจึงอยากไปทำงานในที่ซึ่งไม่ปลอดภัย และหากเกิดอันตรายขึ้นจะยอมรับได้หรือไม่ และคำถามพิเศษของแต่ละคนอีกไม่กี่มากน้อย จนเมื่อมาถึงอัลยาซึ่งเป็นสามคนสุดท้ายที่เหลือในห้องสัมภาษณ์
“หมวดอัลยา... อืมม์ เพิ่งติดร้อยโทไปเมื่อเจ็ดเดือนที่แล้วเองนี่ ทำไมถึงอยากลงไปอยู่ที่โน่นล่ะ”
นี่เป็นคำถามแรกที่อัลยาตอบสบายๆ เพราะเป็นคำตอบที่อยู่ในเบื้องลึกของจิตใจตั้งแต่แรก นั่นก็คืออุดมการณ์
“คุณรู้หรือเปล่าว่าที่นั่นไม่มีที่พักสบายๆ เหมือนที่นี่ อาจต้องสร้างฐาน หรือนอนตามวัด อาหารการกินก็ไม่สะดวกเหมือนที่นี่”
“ความปลอดภัยมีค่าเป็นศูนย์ ทุกคนต้องดูแลรับผิดชอบชีวิตตัวเอง”
และอีกสองสามคำถามเพื่อให้แน่ใจว่าการขอลงไปอยู่แนวหน้าครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความคึกคะนองเพียงชั่วครู่ แต่เป็นความตั้งใจที่จะไปเพื่อรับใช้บ้านเมืองอย่างแท้จริง
ขณะที่อยู่ระหว่างสัมภาษณ์ นายทหารหน้าห้องก็เข้ามารายงาน
“ผู้พันธีรวิทย์เกิดอุบัติเหตุ ไม่สามารถมาเข้ารับการสัมภาษณ์ได้ และเอ่อ... อาจจะต้องเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่ ที่จะไปประจำหน่วยสามเจ็ดสองครับ”
“หือ แล้วตอนนี้อาการเป็นอย่างไรบ้าง”
“ปลอดภัยแล้วครับ แต่คงต้องพักรักษาตัวระยะหนึ่ง... อาจจะราวๆ สองเดือน”
“อืมม์ ขอบคุณมาก”
ผู้บริหารทั้งสามหันไปปรึกษากันก่อนที่จะหันกลับมา และ ผบ.หน่วย ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของหน่วยงานก็เอ่ยขึ้น
“ตามที่ได้รับแจ้งว่ากำลังพลของเราที่ต้องไปประจำการที่หน่วยสามเจ็ดสองเกิดอุบัติเหตุและไม่สามารถเดินทางไปปฏิบัติภารกิจตามที่ได้รับมอบหมายได้ ณ ตอนนี้ ผมต้องการอาสาสมัครที่จะไปปฏิบัติหน้าที่แทนพันตรีธีรวิทย์เป็นระยะเวลาหกเดือน ไม่ทราบว่าทั้งสามนายมีใครจะสมัครใจไปมั้ย”
กริบ... ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากผู้ถูกสัมภาษณ์ทั้งสาม ซึ่งนั่นหมายความรวมถึงอัลยาด้วย ห้านาทีผ่านไปช้าเหมือนเต่าป่วย หันไปทางซ้ายชายผู้มีดาวบนบ่าสามดวงก็นั่งตัวตรง ไม่ขยับแม้จะตอบรับหรือปฏิเสธ จนอัลยาไม่แน่ใจว่าเขานั่งหลับ หรือกำลังครุ่นคิดอย่างหนักกันแน่ พอหันไปทางขวา คนนี้เพิ่งเข้ามาทำงานได้เพียงปีกว่าๆ ดูเหมือนว่าเขาคงอยากย้ายกลับภูมิลำเนาที่บันนังสตามากกว่า และคงเป็นหนึ่งในคนที่ถูกเลือกให้ย้ายลงไปภาคใต้ เมื่อมองกลับมายังผู้ใหญ่ทั้งสามท่าน ก็พบว่าทั้งหมดจ้องมาที่เธอเป็นตาเดียว เหมือนเหลือเธอคนเดียวที่จะตอบคำถามได้ในเวลานี้
“เอ่อค่ะ..หนูไปเอง...ก็ได้”
แม้จะไม่เต็มเสียงนักแต่ก็เป็นคำตอบที่ทำให้หลายคนแอบโล่งใจ อัสยาไม่แน่ใจว่าได้ยินเสียงถอนหายใจจากพี่ผู้กองที่นั่งข้างๆ หรือเปล่า แต่อย่างน้อยฝ่ายกำลังพลก็ไม่ต้องทำเรื่องขึ้นมาใหม่เพื่อประกาศเรื่องไปช่วยราชการที่หน่วยสามเจ็ดสอง...
ตายละ แล้วหน่วยสามเจ็ดสองเนี่ยมันอยู่ตรงไหนของประเทศ!
และทันทีที่ออกมาจากห้องประชุม อัลยายืนงงเป็นไก่ชนถูกถีบเพราะไม่รู้พิกัดตัวเองที่จะต้องถูกส่งไป เป้าหมายเธอไม่ใช่สามเจ็ดสอง แต่เป็นสุไหงปาดี นราธิวาสต่างหาก... ไม่อยากเชื่อว่าเธอจะตกปากรับคำอย่างง่ายดายอย่างไร้การตรึกตรอง ทำตัวเป็นฮีโร่อาสาสมัครไป “ตายเอาดาบหน้า” หน้าตาเฉย...
หลังเลิกงานพลรบมารอรับตามที่ตกลงไว้ เขาถามถึงการสัมภาษณ์ ทันทีที่อัลยาปิดประตูรถ เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่
“สัมภาษณ์เป็นยังไงบ้าง แล้วจะรู้ผลเมื่อไหร่”
“ประกาศผลเรื่องขอลงไป ชรก.ที่ ส่วนหน้าอ่ะวันจันทร์หน้า แต่ว่าเราไม่ต้องรอถึงวันโน้นแล้วล่ะ”
“อ้าว ทำไม หรือว่าคุณสมบัติไม่ถึง นายเลยไม่ส่งชื่อ”
“ม่ายช่าย”
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความตรงข้าม”
“เกือบใช่”
“ไม่ต้องมาลีลาเยอะ ตกลงแล้วการสัมภาษณ์เป็นยังไง”
พลรบร้อนใจ
“เราไม่รู้ว่าผลจะออกมายังไงหรอก เพราะเราไม่ได้ลงใต้แล้วแต่ได้ไปที่หน่วยสามเจ็ดสองแทน...ว่าแต่ไอ้หน่วยสามเจ็ดสองเนี่ยมันอยู่ตรงไหนของประเทศอ่ะรบ”
“อะไรนะ เมื่อกี้ได้ยินไม่ถนัด หน่วยไหนนะ”
พลรบปิดเครื่องเสียงในรถและตั้งใจสนทนาอย่างจริงจัง
“อื้อ ได้ยินไม่ผิดหรอก สามเจ็ดสอง”
“สามเจ็ดสองเลยเหรอ”
พลรบเกือบเหยียบเบรคไม่ทันเมื่อรถคันหน้าหยุดกระทันหัน ขณะที่สมาธิของเขาแตกกระเจิงเพราะสามเจ็ดสอง
“อื้อ ก็พอดีพี่ที่จะต้องไปอยู่ที่นั่นเค้าเกิดได้รับอุบัติเหตุและต้องพักรักษาตัวหลายเดือน นายก็เลยถามว่าใครจะอาสา”
อัลยาเล่าเรียบๆ ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อน
“ก็ไหนบอกว่าอยากจะลงไปอยู่นราธิวาสไง”
“อยากลงสิ แต่แหม... เจ้านายนั่งจ้องตาไม่กะพริบซะขนาดนั้นเหมือนคาดคั้นเอาคำตอบ กดดันกันด้วยสายตา น่ากลัวจะตาย”
“ปฏิเสธไม่ได้เหรอ”
“ตอนนั้นเราลืมนึกไปว่าปฏิเสธได้ มัวแต่ตื่นเต้นน่ะ”
อัลยาเล่าเสียงอ่อย เมื่อรู้ตัวว่าพลาดไปแล้ว
“สปิริตที่สุดอ่ะ”
“แล้วตกลงหน่วยสามเจ็ดสองเนี่ยมันอยู่ส่วนไหนของประเทศล่ะรบ”
อัลยายังไม่คลายกังขา เพราะเลขสามตัวที่อยู่ๆ ก็โผล่มาในชีวิตโดยไม่ทันได้ตั้งตัวนั้นทำเอาจินตนาการไม่ถูกเลยว่าหลังจากนี้จะได้เทวดาจะจับเหวี่ยงไปอยู่พื้นที่ไหนของประเทศ
“จังหวัด ตาก”
“ค่อยยังชั่วหน่อย”
หญิงสาวถอนใจอย่างโล่งอก
“มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดนะอัลยา”
ลงว่าเรียกชื่อเต็มๆ แบบนี้แปลว่าเริ่มซีเรียส
“ทำไมล่ะ ก็มันใกล้แค่นี้เองขับรถแป๊บเดียวก็ถึง อีกอย่างก็พูดภาษาเดียวกัน ยังไงก็ขอข้าวชาวบ้านเค้ากินได้แหละน่า”
“หน่วยสามเจ็ดสองเนี่ยตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างรอยต่อของประเทศไทยกับพม่าที่ไม่มีเส้นเขตแดนแบ่งกั้น เป็นจุดเปราะบางและอันตรายที่สุดจุดหนึ่งเพราะตรงนั้นเป็นพื้นที่ดูแลร่วมของสองประเทศ มีชนกลุ่มน้อยมากกว่าสี่กลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกตัวเองออกมาเป็นรัฐอิสระ ซึ่งแต่ละเผ่ามีกองกำลังของตัวเองพอสมควร ใกล้ๆกันเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอินทนิล หรือที่พม่าเรียกป่าอิรวดี ที่องค์การสมาคมพิทักษ์สัตว์แห่งโลก หรือ World Society for the Protection of Animals ดูแลอยู่และห้ามแตะต้องเด็ดขาด”
“บ้าเหรอ ใครจะไปทำอะไรป่า”
“ป่าน่ะ อาจจะไม่มีใครรทำอะไรได้มากเท่าตัดต้นไม้หวงห้าม แต่สัตว์ป่าน่ะ เป็นชนวนให้เกิดสงครามชนเผ่ามาแล้ว ที่สำคัญตรงจุดนั้นแหละที่มีการลำเลียงยาเสพติดข้ามแดนเพื่อนำส่งประเทศที่สาม บ้านเราเป็นเส้นทางที่พวกเขาต้องผ่าน อันตรายกว่าที่ที่ผมอยู่เสียอีก”
“เหอ... เขาคงไม่ส่งเราไปยิงต่อสู้กับพวกขนยาหรอกมั้ง”
ชักเริ่มกลัวขึ้นมานิดหน่อย....ก็แค่นิดหน่อยแหละน่า
“ก็ลองอ้อนวอนกับเทวดาดู”
“โอ้ยตายล่ะ นี่เราพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยตัวเองเลยนะเนี่ย”
“เอ๊า ก็ไหนบอกว่า...”
พลรบยังไม่ทันจะเถียง อัลยาก็ดักคอเสียก่อนอย่างรู้ทัน หันขวับ ตาขวางตอบ
“ไม่ต้องมาซ้ำเติมเลย”
“ที่แน่ๆ จะบอกพ่อกับแม่ว่ายังไง”
เขายังเป็นห่วงเพราะรู้ว่าหากครอบครัวของอัลยารู้ว่าเธอจะต้องย้ายไปประจำที่ต่างจังหวัดตั้งหกเดือน เผลอๆ มีความดีความชอบให้อยู่ต่ออีกปี รับรองว่าไม่ได้รับอนุญาตอย่างแน่นอน
“เฮ่อ....รบช่วยคิดหน่อยดิ ตอนนี้เราหัวหมุนไปหมดแล้วเนี่ย”
“กลัวอะไร ถ้ากลัว ไม่อยากไปแล้วก็ไปแจ้งถอนชื่อสิ”
“ไม่ได้หรอก ในเมื่อเราตั้งใจเอาไว้แล้ว เราจะไม่ทำให้อุดมการณ์อันแรงกล้าถูกทำลายลงไปด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง อีกอย่างเราไม่ใช่คนขี้ขลาด ถ้ากลัวตาย ไม่มาเป็นทหารหรอก”
“จ้ะ แม่คนเก่ง...”
“แต่ก็แอบกลัวนิดหน่อย”
“คงต้องอาศัยระยะเวลาในการปรับตัวเท่านั้นเองแหละ สักพักก็ชิน”
“เฮ่อ... ไม่รู้ล่ะ ชั่วโมงนี้ ไม่สนอะไรทั้งนั้น กินก่อนดีกว่า ฮ่าๆ”
อัลยาตัดบทด้วยการตักอาหารเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างไม่สนใจอะไรอีก
สำหรับพลรบ เขามีเวลาทำงานและวันหยุดไม่ตรงกับคนอื่น หรือหน่วยอื่น เพราะต้องทำงาน ยี่สิบวันและพักสิบวันเป็นอย่างนี้ตลอดช่วงเวลาที่อยู่ประจำการชายแดน และนับจากนี้สิ่งที่อัลยาจะต้องเผชิญก็ไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่นัก เวลาส่วนตัวจะถูกปรับเปลี่ยนจากที่เคยหยุดเสาร์ อาทิตย์ ก็จะต้องทำงานติดต่อกันถึงยี่สิบวันจึงจะมีวันหยุด ไหนจะเรื่องอาหารการกิน เรื่องสาธารณูปโภคและความสะดวกสบายที่หาไม่ได้ในป่า
พลรบสังเกตเห็นแววตากังวลของอัลยาตลอดเวลาอาหารเย็น เขาเป็นห่วงเธอแต่ก็รู้ว่าคงไม่อาจคัดค้านการตัดสินใจของเธอได้ เขารู้จักอัลยาดีกว่าใคร... หญิงสาวที่บังเอิญเจอกันตั้งแต่วันสมัครสอบ เขาจำเธอได้ทันทีเมื่อพบอีกครั้งในวันสอบ และทั้งคู่มาดูประกาศผลสอบวันเดียวกัน นั่นแหละที่ทำให้ได้รู้จักกัน เมื่อถึงเวลารายงานตัว ดำเนินการเรื่องเอกสาร กระทั่งเข้ารับการฝึกและศึกษาก่อนเข้ารับราชการก็เป็นคู่บั๊ดดี้กัน ทั้งคู่ติดกันเป็นปาท่องโก๋ จนใครๆ เข้าใจว่าเป็นแฟนกัน แต่คนที่รู้ดีที่สุดก็มีเพียงพลรบกับอัลยาเท่านั้น...
เรื่องยาว : ป่าอุ่นใจไออุ่นรัก ( ตอนที่ ๒ )
หญ้าเจ้าชู้
ตอนที่ ๒
ขณะที่ขับรถกลับบ้าน สิ่งเดียวที่รบกวนจิตใจของพลรบมากที่สุดคือเรื่องที่อัลยาขอย้ายลงไปอยู่หน่วยชายแดน นั่นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย ต่อให้เธอไม่ได้ออกลาดตระเวน จะอยู่แค่ในค่าย แต่อันตรายที่มองไม่เห็นก็จ้องเล่นงานอยู่เสมอ คนแปลกหน้า ไม่ว่าจะเป็นใคร ความไว้เนื้อเชื่อใจของผู้คนได้หดหายไปตามจำนวนโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้น ทำให้การเข้าถึงชุมชนเป็นไปอย่างยากลำบาก แม้แต่เขาเองที่อยู่ในพื้นที่มานานหลายเดือน ก็ยังมีสายตาที่หวาดระแวงแคลงใจส่งมาให้เห็นอยู่เป็นประจำ นับประสาอะไรกับอัลยาที่มีเพียง “อุดมการณ์” เท่านั้นที่ติดตัวมา วิชาทหารที่เรียนรู้มาก็ไม่ใช่ว่าจะได้ใช้งานสักกี่มากน้อย ถ้าไม่ได้สังกัดหน่วยรบแล้วก็แทบไม่มีโอกาสได้จับปืน แต่เขาจะทำอะไรได้ นอกจากภาวนากับเทวดาว่าขอให้เธอสัมภาษณ์ไม่ผ่าน
เช้าของวันถัดมา ในห้องประชุมของหน่วย มีผู้บัญชาการหน่วย ผู้อำนวยการด้านกำลังพล ผู้อำนวยการกองนั่งอยู่ด้านหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามเป็นผู้ที่ขอยื่นเรื่องไปช่วยราชการในชุดเดียวกันนี้สิบสองคน บรรยากาศเดียวกับการถูกสอบสัมภาษณ์เข้าทำงานในองค์กรลับระดับโลก (ยังไงยังงั้น) ผู้ใหญ่ทั้งสามท่านมีแฟ้มประวัติของผู้ยื่นเรื่องขอไปช่วยราชการในมือ และถูกถามเรียงตัว คนที่ไม่เกี่ยวข้องมีสิทธิ์เพียงนั่งฟัง คำถามไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก เช่น ทำไมจึงอยากไปทำงานในที่ซึ่งไม่ปลอดภัย และหากเกิดอันตรายขึ้นจะยอมรับได้หรือไม่ และคำถามพิเศษของแต่ละคนอีกไม่กี่มากน้อย จนเมื่อมาถึงอัลยาซึ่งเป็นสามคนสุดท้ายที่เหลือในห้องสัมภาษณ์
“หมวดอัลยา... อืมม์ เพิ่งติดร้อยโทไปเมื่อเจ็ดเดือนที่แล้วเองนี่ ทำไมถึงอยากลงไปอยู่ที่โน่นล่ะ”
นี่เป็นคำถามแรกที่อัลยาตอบสบายๆ เพราะเป็นคำตอบที่อยู่ในเบื้องลึกของจิตใจตั้งแต่แรก นั่นก็คืออุดมการณ์
“คุณรู้หรือเปล่าว่าที่นั่นไม่มีที่พักสบายๆ เหมือนที่นี่ อาจต้องสร้างฐาน หรือนอนตามวัด อาหารการกินก็ไม่สะดวกเหมือนที่นี่”
“ความปลอดภัยมีค่าเป็นศูนย์ ทุกคนต้องดูแลรับผิดชอบชีวิตตัวเอง”
และอีกสองสามคำถามเพื่อให้แน่ใจว่าการขอลงไปอยู่แนวหน้าครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความคึกคะนองเพียงชั่วครู่ แต่เป็นความตั้งใจที่จะไปเพื่อรับใช้บ้านเมืองอย่างแท้จริง
ขณะที่อยู่ระหว่างสัมภาษณ์ นายทหารหน้าห้องก็เข้ามารายงาน
“ผู้พันธีรวิทย์เกิดอุบัติเหตุ ไม่สามารถมาเข้ารับการสัมภาษณ์ได้ และเอ่อ... อาจจะต้องเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่ ที่จะไปประจำหน่วยสามเจ็ดสองครับ”
“หือ แล้วตอนนี้อาการเป็นอย่างไรบ้าง”
“ปลอดภัยแล้วครับ แต่คงต้องพักรักษาตัวระยะหนึ่ง... อาจจะราวๆ สองเดือน”
“อืมม์ ขอบคุณมาก”
ผู้บริหารทั้งสามหันไปปรึกษากันก่อนที่จะหันกลับมา และ ผบ.หน่วย ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของหน่วยงานก็เอ่ยขึ้น
“ตามที่ได้รับแจ้งว่ากำลังพลของเราที่ต้องไปประจำการที่หน่วยสามเจ็ดสองเกิดอุบัติเหตุและไม่สามารถเดินทางไปปฏิบัติภารกิจตามที่ได้รับมอบหมายได้ ณ ตอนนี้ ผมต้องการอาสาสมัครที่จะไปปฏิบัติหน้าที่แทนพันตรีธีรวิทย์เป็นระยะเวลาหกเดือน ไม่ทราบว่าทั้งสามนายมีใครจะสมัครใจไปมั้ย”
กริบ... ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากผู้ถูกสัมภาษณ์ทั้งสาม ซึ่งนั่นหมายความรวมถึงอัลยาด้วย ห้านาทีผ่านไปช้าเหมือนเต่าป่วย หันไปทางซ้ายชายผู้มีดาวบนบ่าสามดวงก็นั่งตัวตรง ไม่ขยับแม้จะตอบรับหรือปฏิเสธ จนอัลยาไม่แน่ใจว่าเขานั่งหลับ หรือกำลังครุ่นคิดอย่างหนักกันแน่ พอหันไปทางขวา คนนี้เพิ่งเข้ามาทำงานได้เพียงปีกว่าๆ ดูเหมือนว่าเขาคงอยากย้ายกลับภูมิลำเนาที่บันนังสตามากกว่า และคงเป็นหนึ่งในคนที่ถูกเลือกให้ย้ายลงไปภาคใต้ เมื่อมองกลับมายังผู้ใหญ่ทั้งสามท่าน ก็พบว่าทั้งหมดจ้องมาที่เธอเป็นตาเดียว เหมือนเหลือเธอคนเดียวที่จะตอบคำถามได้ในเวลานี้
“เอ่อค่ะ..หนูไปเอง...ก็ได้”
แม้จะไม่เต็มเสียงนักแต่ก็เป็นคำตอบที่ทำให้หลายคนแอบโล่งใจ อัสยาไม่แน่ใจว่าได้ยินเสียงถอนหายใจจากพี่ผู้กองที่นั่งข้างๆ หรือเปล่า แต่อย่างน้อยฝ่ายกำลังพลก็ไม่ต้องทำเรื่องขึ้นมาใหม่เพื่อประกาศเรื่องไปช่วยราชการที่หน่วยสามเจ็ดสอง...
ตายละ แล้วหน่วยสามเจ็ดสองเนี่ยมันอยู่ตรงไหนของประเทศ!
และทันทีที่ออกมาจากห้องประชุม อัลยายืนงงเป็นไก่ชนถูกถีบเพราะไม่รู้พิกัดตัวเองที่จะต้องถูกส่งไป เป้าหมายเธอไม่ใช่สามเจ็ดสอง แต่เป็นสุไหงปาดี นราธิวาสต่างหาก... ไม่อยากเชื่อว่าเธอจะตกปากรับคำอย่างง่ายดายอย่างไร้การตรึกตรอง ทำตัวเป็นฮีโร่อาสาสมัครไป “ตายเอาดาบหน้า” หน้าตาเฉย...
หลังเลิกงานพลรบมารอรับตามที่ตกลงไว้ เขาถามถึงการสัมภาษณ์ ทันทีที่อัลยาปิดประตูรถ เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่
“สัมภาษณ์เป็นยังไงบ้าง แล้วจะรู้ผลเมื่อไหร่”
“ประกาศผลเรื่องขอลงไป ชรก.ที่ ส่วนหน้าอ่ะวันจันทร์หน้า แต่ว่าเราไม่ต้องรอถึงวันโน้นแล้วล่ะ”
“อ้าว ทำไม หรือว่าคุณสมบัติไม่ถึง นายเลยไม่ส่งชื่อ”
“ม่ายช่าย”
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความตรงข้าม”
“เกือบใช่”
“ไม่ต้องมาลีลาเยอะ ตกลงแล้วการสัมภาษณ์เป็นยังไง”
พลรบร้อนใจ
“เราไม่รู้ว่าผลจะออกมายังไงหรอก เพราะเราไม่ได้ลงใต้แล้วแต่ได้ไปที่หน่วยสามเจ็ดสองแทน...ว่าแต่ไอ้หน่วยสามเจ็ดสองเนี่ยมันอยู่ตรงไหนของประเทศอ่ะรบ”
“อะไรนะ เมื่อกี้ได้ยินไม่ถนัด หน่วยไหนนะ”
พลรบปิดเครื่องเสียงในรถและตั้งใจสนทนาอย่างจริงจัง
“อื้อ ได้ยินไม่ผิดหรอก สามเจ็ดสอง”
“สามเจ็ดสองเลยเหรอ”
พลรบเกือบเหยียบเบรคไม่ทันเมื่อรถคันหน้าหยุดกระทันหัน ขณะที่สมาธิของเขาแตกกระเจิงเพราะสามเจ็ดสอง
“อื้อ ก็พอดีพี่ที่จะต้องไปอยู่ที่นั่นเค้าเกิดได้รับอุบัติเหตุและต้องพักรักษาตัวหลายเดือน นายก็เลยถามว่าใครจะอาสา”
อัลยาเล่าเรียบๆ ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อน
“ก็ไหนบอกว่าอยากจะลงไปอยู่นราธิวาสไง”
“อยากลงสิ แต่แหม... เจ้านายนั่งจ้องตาไม่กะพริบซะขนาดนั้นเหมือนคาดคั้นเอาคำตอบ กดดันกันด้วยสายตา น่ากลัวจะตาย”
“ปฏิเสธไม่ได้เหรอ”
“ตอนนั้นเราลืมนึกไปว่าปฏิเสธได้ มัวแต่ตื่นเต้นน่ะ”
อัลยาเล่าเสียงอ่อย เมื่อรู้ตัวว่าพลาดไปแล้ว
“สปิริตที่สุดอ่ะ”
“แล้วตกลงหน่วยสามเจ็ดสองเนี่ยมันอยู่ส่วนไหนของประเทศล่ะรบ”
อัลยายังไม่คลายกังขา เพราะเลขสามตัวที่อยู่ๆ ก็โผล่มาในชีวิตโดยไม่ทันได้ตั้งตัวนั้นทำเอาจินตนาการไม่ถูกเลยว่าหลังจากนี้จะได้เทวดาจะจับเหวี่ยงไปอยู่พื้นที่ไหนของประเทศ
“จังหวัด ตาก”
“ค่อยยังชั่วหน่อย”
หญิงสาวถอนใจอย่างโล่งอก
“มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดนะอัลยา”
ลงว่าเรียกชื่อเต็มๆ แบบนี้แปลว่าเริ่มซีเรียส
“ทำไมล่ะ ก็มันใกล้แค่นี้เองขับรถแป๊บเดียวก็ถึง อีกอย่างก็พูดภาษาเดียวกัน ยังไงก็ขอข้าวชาวบ้านเค้ากินได้แหละน่า”
“หน่วยสามเจ็ดสองเนี่ยตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างรอยต่อของประเทศไทยกับพม่าที่ไม่มีเส้นเขตแดนแบ่งกั้น เป็นจุดเปราะบางและอันตรายที่สุดจุดหนึ่งเพราะตรงนั้นเป็นพื้นที่ดูแลร่วมของสองประเทศ มีชนกลุ่มน้อยมากกว่าสี่กลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกตัวเองออกมาเป็นรัฐอิสระ ซึ่งแต่ละเผ่ามีกองกำลังของตัวเองพอสมควร ใกล้ๆกันเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอินทนิล หรือที่พม่าเรียกป่าอิรวดี ที่องค์การสมาคมพิทักษ์สัตว์แห่งโลก หรือ World Society for the Protection of Animals ดูแลอยู่และห้ามแตะต้องเด็ดขาด”
“บ้าเหรอ ใครจะไปทำอะไรป่า”
“ป่าน่ะ อาจจะไม่มีใครรทำอะไรได้มากเท่าตัดต้นไม้หวงห้าม แต่สัตว์ป่าน่ะ เป็นชนวนให้เกิดสงครามชนเผ่ามาแล้ว ที่สำคัญตรงจุดนั้นแหละที่มีการลำเลียงยาเสพติดข้ามแดนเพื่อนำส่งประเทศที่สาม บ้านเราเป็นเส้นทางที่พวกเขาต้องผ่าน อันตรายกว่าที่ที่ผมอยู่เสียอีก”
“เหอ... เขาคงไม่ส่งเราไปยิงต่อสู้กับพวกขนยาหรอกมั้ง”
ชักเริ่มกลัวขึ้นมานิดหน่อย....ก็แค่นิดหน่อยแหละน่า
“ก็ลองอ้อนวอนกับเทวดาดู”
“โอ้ยตายล่ะ นี่เราพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยตัวเองเลยนะเนี่ย”
“เอ๊า ก็ไหนบอกว่า...”
พลรบยังไม่ทันจะเถียง อัลยาก็ดักคอเสียก่อนอย่างรู้ทัน หันขวับ ตาขวางตอบ
“ไม่ต้องมาซ้ำเติมเลย”
“ที่แน่ๆ จะบอกพ่อกับแม่ว่ายังไง”
เขายังเป็นห่วงเพราะรู้ว่าหากครอบครัวของอัลยารู้ว่าเธอจะต้องย้ายไปประจำที่ต่างจังหวัดตั้งหกเดือน เผลอๆ มีความดีความชอบให้อยู่ต่ออีกปี รับรองว่าไม่ได้รับอนุญาตอย่างแน่นอน
“เฮ่อ....รบช่วยคิดหน่อยดิ ตอนนี้เราหัวหมุนไปหมดแล้วเนี่ย”
“กลัวอะไร ถ้ากลัว ไม่อยากไปแล้วก็ไปแจ้งถอนชื่อสิ”
“ไม่ได้หรอก ในเมื่อเราตั้งใจเอาไว้แล้ว เราจะไม่ทำให้อุดมการณ์อันแรงกล้าถูกทำลายลงไปด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง อีกอย่างเราไม่ใช่คนขี้ขลาด ถ้ากลัวตาย ไม่มาเป็นทหารหรอก”
“จ้ะ แม่คนเก่ง...”
“แต่ก็แอบกลัวนิดหน่อย”
“คงต้องอาศัยระยะเวลาในการปรับตัวเท่านั้นเองแหละ สักพักก็ชิน”
“เฮ่อ... ไม่รู้ล่ะ ชั่วโมงนี้ ไม่สนอะไรทั้งนั้น กินก่อนดีกว่า ฮ่าๆ”
อัลยาตัดบทด้วยการตักอาหารเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างไม่สนใจอะไรอีก
สำหรับพลรบ เขามีเวลาทำงานและวันหยุดไม่ตรงกับคนอื่น หรือหน่วยอื่น เพราะต้องทำงาน ยี่สิบวันและพักสิบวันเป็นอย่างนี้ตลอดช่วงเวลาที่อยู่ประจำการชายแดน และนับจากนี้สิ่งที่อัลยาจะต้องเผชิญก็ไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่นัก เวลาส่วนตัวจะถูกปรับเปลี่ยนจากที่เคยหยุดเสาร์ อาทิตย์ ก็จะต้องทำงานติดต่อกันถึงยี่สิบวันจึงจะมีวันหยุด ไหนจะเรื่องอาหารการกิน เรื่องสาธารณูปโภคและความสะดวกสบายที่หาไม่ได้ในป่า
พลรบสังเกตเห็นแววตากังวลของอัลยาตลอดเวลาอาหารเย็น เขาเป็นห่วงเธอแต่ก็รู้ว่าคงไม่อาจคัดค้านการตัดสินใจของเธอได้ เขารู้จักอัลยาดีกว่าใคร... หญิงสาวที่บังเอิญเจอกันตั้งแต่วันสมัครสอบ เขาจำเธอได้ทันทีเมื่อพบอีกครั้งในวันสอบ และทั้งคู่มาดูประกาศผลสอบวันเดียวกัน นั่นแหละที่ทำให้ได้รู้จักกัน เมื่อถึงเวลารายงานตัว ดำเนินการเรื่องเอกสาร กระทั่งเข้ารับการฝึกและศึกษาก่อนเข้ารับราชการก็เป็นคู่บั๊ดดี้กัน ทั้งคู่ติดกันเป็นปาท่องโก๋ จนใครๆ เข้าใจว่าเป็นแฟนกัน แต่คนที่รู้ดีที่สุดก็มีเพียงพลรบกับอัลยาเท่านั้น...