จาก เพจแม่นุ่น www.facebook.com/noonsupermom
คุณแม่ลูกสอง ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย ด้วยอายุเพียง 29 ปี
ตอน 21: "ต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป" .... CT Scan
แม้ว่าการหาเตียง จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรมาก
ใจลึกๆ แท้จริงแล้วตัวเองก็ไม่อยากให้แม่นุ่นย้าย รพ สักเท่าไร
เพราะนอกจากจะส่งผลต่อจิตใจแม่นุ่นแล้ว มันก็สร้างความยากลำบากในการดูแลลูกเพิ่มขึ้นอีกด้วย
....................
ผมกับคุณเหมียว กลับมาถึง รพ ราวสี่โมงเย็น
จอดรถได้ ผมรีบขึ้นไปหาแม่นุ่นบนห้องพักเพื่อทำภาระกิจสุดท้ายของวัน นั่นคือ การพาแม่นุ่น ทำ CT Scan เพื่อตรวจพิสูจน์ ความกังวล สามข้อ หลักๆ ด้วยกัน
หนึ่ง มีลิ่มเลือดในปอดหรือไม่? ถ้ามี นั่นคือ อันตรายถึงชีวิต
สอง มีมะเร็งกระจายเข้าเยื่อบุช่องท้องหรือไม่? ถ้ามี นั่นจะเป็นสาเหตุของ อาการท้องโต ซึ่งต้องรีบรักษาโดยเร็ว
สาม ขนาดก้อนเนื้อที่ตับเล็กลงหรือไม่? ถ้ายุบลง จะหมายถึง ยาที่ใช้อยู่ยังได้ผลดี .. กลับกันถ้าก้อนมีขนาดโตขึ้น หมายถึง การตอบสนองต่อยาไม่ดี ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนยาตัวใหม่ และแม่นุ่นต้องได้รับการรักษาโดยเร็วเช่นกัน
สามเรื่องนี้ หนักๆ ทุกเรื่อง.....ถ้าเป็นข่าวร้าย จริงๆ ผมคงไม่รู้จะทำยังไง เพราะไม่ได้เผื่อใจไว้เลย....
...............................................................................................................
ตอนนี้ผมถึงห้องพัก ยังไงซะก่อนเข้าไปเจอแม่นุ่น ผมก็ต้องทำตัวให้เป็นปกติ ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนทุกครั้ง
“อ้วน ได้ห้องมั้ย เป็นไงบ้าง” แม่นุ่นชิงถาม ทันที เมื่อเห็นผมเปิดประตูเข้าไป
“ดีใจด้วยนะ ไม่มีห้อง” ผมส่งข่าวพร้อมยิ้มอารมณ์ดี เดินไปหาแม่นุ่น ที่กำลังนอนอยู่บนเตียง
“ดี.. ดีแล้ว เค้าไม่อยากย้าย” แม่นุ่นตอนนี้ สารภาพกับผมตามตรง ว่าไม่อยากย้าย รพ
“ไม่ต้องย้ายหรอก วันสองวันก็ได้กลับแล้ว”
ผมยังยิ้ม ส่งสายตาให้กำลังใจอยู่อย่างนั้น
พร้อมเอื้อมไปกุมมือแม่นุ่น ที่ตอนนี้ ซูบผอมเห็นกระดูกชัดเจน กับผ้าพันแผลรอบๆ เล็บที่กำลังทยอยหลุดทีละนิ้ว
ขณะที่ให้กำลังใจแม่นุ่น ผ่านสายตาที่เข็มแข็ง
แต่ในใจตัวเอง มันอ่อนแอ.. อัดอั้นเหลือเกิน.. เพราะความกลัวว่าผลตรวจจะออกมาไม่เป็นดังที่หวัง
...เราจะกลับบ้านด้วยกันนะอ้วน...
...เราจะกลับไปหาลูกด้วยกัน...
ผมยังได้แต่นึกภาวนาในใจอยู่อย่างนั้น.... ไม่กล้าพูดอะไรออกมา....
.....................................................
“ได้เวลาทำ CT แล้วค่ะ” พยาบาล เรียกเวรเปล มารอรับเรียบร้อย”
ถึงเวลาต้องไปแล้ว...
แม่นุ่นพร้อมแล้ว....
ส่วนผม... กายพร้อม แต่ใจ....ไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่
แม่นุ่นนั่งอยู่รถเข็น
มีเวรเปล กับพยาบาลนำทางไป
ผมเดินตามไปเรื่อยๆ จำไม่ได้ว่าชั้นไหน
เดินไม่กี่นาทีก็ถึงห้องตรวจ
แต่ต้องรออีกหนึ่งคิว
ขณะที่รอ ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้จ้า เสียงที่ได้ยิน คงไม่น่าจะเกิน สี่ห้าขวบ
“น่าสงสารจิง” ไม่ชอบเสียงนี้เลย พลางคิดถึงลูกๆที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
ถ้าได้ยินลูกตัวเองร้องแบบนี้ ตัวใหญ่ๆ อย่างผมก็เหอะ มีหวัง น้ำตาร่วงได้ง่ายๆ ทีเดียว
ราวครึ่ง ชม ต่อมา ก็ถึงคิวแม่นุ่น
เวลานี้ ไม่ได้ห่วงความรู้สึกของแม่นุ่นต่อการทำ CT แล้ว เพราะผ่านมาแล้วถึงสองรอบแบบชิลๆ
ที่ห่วง กลายเป็นตัวเองมากกว่า ที่ตอนนี้นั่งไม่ติด วนไปเวียนมาหน้าห้องตรวจ
นึกย้อนกลับไปความเครียดช่วงนั้นมันมากซะจน ผมไม่อยากรับโทรศัพท์ใครเลยทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ พี่ป้า น้า อา
ผมไม่ได้รำคาญ
แต่ไม่อยากจะคุยอะไรกับใครเลยจริงๆ นอกจาก ลูก เมีย แล้วก็หมอ
ผ่านไปราวครึ่ง ชม
ผมรู้สึกว่า การรอครั้งนี้มันนานมากๆ
กดโทรศัพท์จนแบตหมดคามือแล้ว แม่นุ่น ก็ยังไม่ออกมาจากห้องตรวจ
ใจก็พลอยคิดว่า มีความผิดปกติอะไรรึป่าว
ขนาดถึงกับไปแอบดูตามช่องประตู แต่ที่เห็น ทุกอย่างดูปกติดี
ในที่สุดราว 45 นาที พยาบาลก็เข็นแม่นุ่นออกจากตรวจ
ผมรีบเดินเข้าไปไถ่ถามแม่นุ่นทันที
“โอเคป่าว” ผมถามแม่นุ่น ด้วยความเป็นห่วง
“อืม ก็ไม่เป็นไร..อย่าเวอร์หน่อยเลย...” แม่นุ่นตอบผมปกติ แต่เหน็บแหนมเล็กน้อย เพราะเห็นท่าทางร้อนใจของผม
“อ้าว ก็เห็นนานนึกว่าเป็นไร” ผมยิ้มตอบแบบเขินๆ
“บ้า” แม่นุ่นส่ายหน้ายิ้มที่มุมปาก
เห็นยิ้มได้แบบนี้ก็โล่งใจ.. จิตตกเกินเหตุอีกแล้วเรา..
คุยกับแม่นุ่นเสร็จแล้ว ก็หันมาคุยกับพยาบาล
“ผลออกเมื่อไหร่ครับ” ผมไม่ลืมที่จะถามที่สิ่งที่กังวลที่สุดในเวลานี้
“ราวๆ สองทุ่มนะคะ” พยาบาลตอบ
ผมเหลือบมองนาฬิกา ตอนนี้หกโมง อีกไม่กี่ สอง ชม. ก็ สองทุ่ม
ยังภาวนาในใจ อย่าให้มีอะไรเลย
...........................
หลังจากทำ CT เราก็มาพักที่ห้องตามปกติ
ระหว่างที่รอผลออก ไม่ต้องบอกว่าผมกระวนกระวายแค่ไหน
ตาผมมองนาฬิกาแทบตลอดเวลา ว่าเมื่อไหร่จะสองทุ่มสักที.........
.......................................
ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ผมรอคอย
ตอนนี้ สองทุ่มตรงเป๊ะ... ผมรีบเดินออกขอผล CT ที่เคาเตอร์พยาบาลทันที
“ผล CT ออกหรือยังครับ” ผมถามพยาบาลที่อยู่ตรงนั้น
“ยังไม่ออกนะคะ คุณหมออ่านฟิล์มยังไม่เสร็จค่ะ” พยาบาลบอก หมอรังสียังอ่านผลไม่เสร็จ
“อ๋อครับ... งั้นถ้าผลออก ก็ช่วยเดินไปบอกผมหน่อยนะครับ” ผมบอกพยาบาล ให้ช่วยเดินไปบอกผม ทันทีที่ได้รับผล
“ได้ค่ะๆ ” พยาบาลรับปาก
ส่วนผมเดินกลับเข้าไปในห้องด้วยความผิดหวังเล็กน้อย...
ครึ่ง ชม แล้ว... ผมก็ยังรออยู่อย่างนั้น... ยังไม่มีใครเดินมาบอกผม..
...ออกไปถามเองอีกทีดีกว่า...
“ผลออกยังครับ” ผมถามคำถามเดิม
“ยังเลยค่ะ แต่น่าจะอีกไม่นานนะคะ ถ้าได้แล้วจะรีบบอกเลยค่ะ” พยาบาลเห็นท่าทีผมร้อนใจ
ผมต้องเดินกลับไปรอที่ห้องอีกครั้ง
รอแล้ว รอเล่า ...
ผ่านไปอีก ครึ่งชม ก็ยังไม่มีใครมาบอกผมอีก
ไม่ได้โมโหนะ ...แค่ใจร้อน....ขอเดินไปถามอีกที..
เดินใกล้จะถึงเคาเตอร์... มองเห็น พยาบาล สองสามคน กำลังมุงดูอะไรบางอย่าง
“ผลออกแล้วแน่เลย” ผมนึกในใจ
“ผลออกแล้วใช่มั้ยครับ” ผมถามทันที เหมือนเดินถึงเคาเตอร์
“ใช่ค่ะ พึ่งมาเมื่อกี้ นี่ก็กำลังดูอยู่” พยาบาลเพิ่งได้รับผลมาสดๆร้อนๆ
“รบกวนปริ้นท์ให้ผมชุดหนึ่งได้มั้ยครับ” ผมรีบขอผล เพื่อกลับเข้าไปดูในห้อง
“ได้คะ เดี๋ยวปริ้นท์ให้เลย” พูดจบ พยาบาลก็ปริ้นท์ และยื่นให้ผม
“แต่ให้หมอชินดูก่อนจะดีกว่านะคะ” พยาบาลพูด เหมือนจะบอกกับผมว่า ถ้าเจออะไรก็อย่าเพิ่งคิดมาก
ได้ยินก็ชะงักนิดหนึ่ง ... หรือจะมีเรื่องไม่ดีในนั้น??
“ครับ” ผมตอบกลับ สีหน้าเครียด พร้อมเก็บผลพับใส่กระเป๋ากางเกงเพื่อไปดูในห้อง
เพราะคงต้องรอให้แม่นุ่นหลับก่อนถึงจะดูได้
“ผลออกยังอ้วน” แม่นุ่นคงสังเกตุอาการอยู่ไม่สุขของผมที่เข้าออกห้องหลายรอบ
และดูเหมือนแม่นุ่นเองก็รอฟังผลอยู่เหมือนกัน
ผมไม่รู้จะตอบยังไง เพราะไม่รุ้ว่าสิ่งที่อยู่ในกระเป๋ามันดีหรือร้าย
“ยังเลย ออกไปถามหลายรอบแล้ว คงต้องรอให้หมอชินดูอีกทีพรุ่งนี้” เพื่อความสบายใจของแม่นุ่น นี่คือคำคอบที่ผมคิดว่าดีทีสุดในตอนนั้น
“นอนพักผ่อนซะ ดึกแล้ว” ตอนนี้ราวสามทุ่มกว่า ผมต้องบอกให้แม่นุ่นรีบพักผ่อน
สิ้นเสียงผม แม่นุ่นก็หลับตาลง
ผมยังอยู่ใกล้ๆ นวดขา นวดเท้าเหมือนเคย
นวดไป ก็คิดไป..
ยังไงเสีย วันนี้จะเกิดอะไร ก็ขอเก็บความไม่สบายใจไว้คนเดียวก่อนแล้วกัน
ประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าๆ แม่นุ่นก็หลับสนิท...
มันก็ถึงเวลาที่ผมจะเอาผลออกมาอ่านสักที
ผมเปิดคอมพิวเตอ ต่ออินเทอเนต เรียบร้อย
ก่อนจะเปิดอ่าน
ผมหลับตา...
ถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ...
เอาวะ เป็นไงก็จะได้รู้กัน
จากนั้นก็หยิบผลที่พับไว้ในกระเป๋ากางเกง ออกมาดู และค่อยๆอ่านที่ละบรรทัดอย่างพิจารณา
แผ่นแรกคือผลการตรวจที่ปอด:
ผมเริ่มอ่านมันบรรทัดแรก
No evidence of pulmonary thromboembolism
บรรทัดแรกก็ได้ข่าวดีเลย แปลได้ว่า ไม่พบหลักฐาน ลิ่มเลือดอุดตันในปอด
ผมอ่านบรรทัดต่อๆไป พร้อมกับ แปลคำศัพท์ในคอมในบางคำที่ไม่เข้าใจ
อ่านผลที่ปอดทั้งหมดพอสรุปใจความได้ว่า ไม่มีสิ่งผิดปกติอื่นใดนอกจากมีน้ำในช่องปอด ที่คงเป็นสาเหตุให้แม่นุ่นหายใจไม่ค่อยสะดวก ไม่ได้เป็นผลจากลิ่มเลือดอย่างที่หมอกับผมกังวลกัน
ข้อกังวลข้อแรกผ่านไปแล้ว ผมใจชื้นขึ้นมาบ้าง
แต่ยังต้องอ่านต่อ เพราะมี ผล CT ช่องท้องส่วนบนด้วย
ผล CT ช่องท้องส่วนบน:
Multiple masses of various sizes scattered in both hepatic lobes, the largest one is in right hepatic lobe, sized about 7.3x7.3x5.1, representing liver metastasis.
แปลได้ว่า มีก้อนมะเร็งหลายก้อนทั้งเล็กและใหญ่กระจายอยู่ทั่วตับทั้งสองข้าง, ก้อนใหญ่สุดคือ 7 ซมกว่าๆ
อ่านจบ ผมเป่าปาก ยาววว
เพราะผลที่ออกมาแสดงถึงการตอบสนองต่อยาที่ดีมาก เดิมก้อนใหญ่สุดคือ 12 ซม ตอนนี้ยุบลง 7 ซม ส่วนจุดเล็กๆ ก็ยังมีอยู่ อย่างไรเสีย มันเป็นผลที่อ่านแล้วน่าพอใจมาก
++ แม่นุ่น ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย : ตอน 21 "ต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป" .... CT Scan ++
คุณแม่ลูกสอง ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย ด้วยอายุเพียง 29 ปี
ตอน 21: "ต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป" .... CT Scan
แม้ว่าการหาเตียง จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรมาก
ใจลึกๆ แท้จริงแล้วตัวเองก็ไม่อยากให้แม่นุ่นย้าย รพ สักเท่าไร
เพราะนอกจากจะส่งผลต่อจิตใจแม่นุ่นแล้ว มันก็สร้างความยากลำบากในการดูแลลูกเพิ่มขึ้นอีกด้วย
....................
ผมกับคุณเหมียว กลับมาถึง รพ ราวสี่โมงเย็น
จอดรถได้ ผมรีบขึ้นไปหาแม่นุ่นบนห้องพักเพื่อทำภาระกิจสุดท้ายของวัน นั่นคือ การพาแม่นุ่น ทำ CT Scan เพื่อตรวจพิสูจน์ ความกังวล สามข้อ หลักๆ ด้วยกัน
หนึ่ง มีลิ่มเลือดในปอดหรือไม่? ถ้ามี นั่นคือ อันตรายถึงชีวิต
สอง มีมะเร็งกระจายเข้าเยื่อบุช่องท้องหรือไม่? ถ้ามี นั่นจะเป็นสาเหตุของ อาการท้องโต ซึ่งต้องรีบรักษาโดยเร็ว
สาม ขนาดก้อนเนื้อที่ตับเล็กลงหรือไม่? ถ้ายุบลง จะหมายถึง ยาที่ใช้อยู่ยังได้ผลดี .. กลับกันถ้าก้อนมีขนาดโตขึ้น หมายถึง การตอบสนองต่อยาไม่ดี ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนยาตัวใหม่ และแม่นุ่นต้องได้รับการรักษาโดยเร็วเช่นกัน
สามเรื่องนี้ หนักๆ ทุกเรื่อง.....ถ้าเป็นข่าวร้าย จริงๆ ผมคงไม่รู้จะทำยังไง เพราะไม่ได้เผื่อใจไว้เลย....
...............................................................................................................
ตอนนี้ผมถึงห้องพัก ยังไงซะก่อนเข้าไปเจอแม่นุ่น ผมก็ต้องทำตัวให้เป็นปกติ ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนทุกครั้ง
“อ้วน ได้ห้องมั้ย เป็นไงบ้าง” แม่นุ่นชิงถาม ทันที เมื่อเห็นผมเปิดประตูเข้าไป
“ดีใจด้วยนะ ไม่มีห้อง” ผมส่งข่าวพร้อมยิ้มอารมณ์ดี เดินไปหาแม่นุ่น ที่กำลังนอนอยู่บนเตียง
“ดี.. ดีแล้ว เค้าไม่อยากย้าย” แม่นุ่นตอนนี้ สารภาพกับผมตามตรง ว่าไม่อยากย้าย รพ
“ไม่ต้องย้ายหรอก วันสองวันก็ได้กลับแล้ว”
ผมยังยิ้ม ส่งสายตาให้กำลังใจอยู่อย่างนั้น
พร้อมเอื้อมไปกุมมือแม่นุ่น ที่ตอนนี้ ซูบผอมเห็นกระดูกชัดเจน กับผ้าพันแผลรอบๆ เล็บที่กำลังทยอยหลุดทีละนิ้ว
ขณะที่ให้กำลังใจแม่นุ่น ผ่านสายตาที่เข็มแข็ง
แต่ในใจตัวเอง มันอ่อนแอ.. อัดอั้นเหลือเกิน.. เพราะความกลัวว่าผลตรวจจะออกมาไม่เป็นดังที่หวัง
...เราจะกลับบ้านด้วยกันนะอ้วน...
...เราจะกลับไปหาลูกด้วยกัน...
ผมยังได้แต่นึกภาวนาในใจอยู่อย่างนั้น.... ไม่กล้าพูดอะไรออกมา....
.....................................................
“ได้เวลาทำ CT แล้วค่ะ” พยาบาล เรียกเวรเปล มารอรับเรียบร้อย”
ถึงเวลาต้องไปแล้ว...
แม่นุ่นพร้อมแล้ว....
ส่วนผม... กายพร้อม แต่ใจ....ไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่
แม่นุ่นนั่งอยู่รถเข็น
มีเวรเปล กับพยาบาลนำทางไป
ผมเดินตามไปเรื่อยๆ จำไม่ได้ว่าชั้นไหน
เดินไม่กี่นาทีก็ถึงห้องตรวจ
แต่ต้องรออีกหนึ่งคิว
ขณะที่รอ ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้จ้า เสียงที่ได้ยิน คงไม่น่าจะเกิน สี่ห้าขวบ
“น่าสงสารจิง” ไม่ชอบเสียงนี้เลย พลางคิดถึงลูกๆที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
ถ้าได้ยินลูกตัวเองร้องแบบนี้ ตัวใหญ่ๆ อย่างผมก็เหอะ มีหวัง น้ำตาร่วงได้ง่ายๆ ทีเดียว
ราวครึ่ง ชม ต่อมา ก็ถึงคิวแม่นุ่น
เวลานี้ ไม่ได้ห่วงความรู้สึกของแม่นุ่นต่อการทำ CT แล้ว เพราะผ่านมาแล้วถึงสองรอบแบบชิลๆ
ที่ห่วง กลายเป็นตัวเองมากกว่า ที่ตอนนี้นั่งไม่ติด วนไปเวียนมาหน้าห้องตรวจ
นึกย้อนกลับไปความเครียดช่วงนั้นมันมากซะจน ผมไม่อยากรับโทรศัพท์ใครเลยทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ พี่ป้า น้า อา
ผมไม่ได้รำคาญ
แต่ไม่อยากจะคุยอะไรกับใครเลยจริงๆ นอกจาก ลูก เมีย แล้วก็หมอ
ผ่านไปราวครึ่ง ชม
ผมรู้สึกว่า การรอครั้งนี้มันนานมากๆ
กดโทรศัพท์จนแบตหมดคามือแล้ว แม่นุ่น ก็ยังไม่ออกมาจากห้องตรวจ
ใจก็พลอยคิดว่า มีความผิดปกติอะไรรึป่าว
ขนาดถึงกับไปแอบดูตามช่องประตู แต่ที่เห็น ทุกอย่างดูปกติดี
ในที่สุดราว 45 นาที พยาบาลก็เข็นแม่นุ่นออกจากตรวจ
ผมรีบเดินเข้าไปไถ่ถามแม่นุ่นทันที
“โอเคป่าว” ผมถามแม่นุ่น ด้วยความเป็นห่วง
“อืม ก็ไม่เป็นไร..อย่าเวอร์หน่อยเลย...” แม่นุ่นตอบผมปกติ แต่เหน็บแหนมเล็กน้อย เพราะเห็นท่าทางร้อนใจของผม
“อ้าว ก็เห็นนานนึกว่าเป็นไร” ผมยิ้มตอบแบบเขินๆ
“บ้า” แม่นุ่นส่ายหน้ายิ้มที่มุมปาก
เห็นยิ้มได้แบบนี้ก็โล่งใจ.. จิตตกเกินเหตุอีกแล้วเรา..
คุยกับแม่นุ่นเสร็จแล้ว ก็หันมาคุยกับพยาบาล
“ผลออกเมื่อไหร่ครับ” ผมไม่ลืมที่จะถามที่สิ่งที่กังวลที่สุดในเวลานี้
“ราวๆ สองทุ่มนะคะ” พยาบาลตอบ
ผมเหลือบมองนาฬิกา ตอนนี้หกโมง อีกไม่กี่ สอง ชม. ก็ สองทุ่ม
ยังภาวนาในใจ อย่าให้มีอะไรเลย
...........................
หลังจากทำ CT เราก็มาพักที่ห้องตามปกติ
ระหว่างที่รอผลออก ไม่ต้องบอกว่าผมกระวนกระวายแค่ไหน
ตาผมมองนาฬิกาแทบตลอดเวลา ว่าเมื่อไหร่จะสองทุ่มสักที.........
.......................................
ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ผมรอคอย
ตอนนี้ สองทุ่มตรงเป๊ะ... ผมรีบเดินออกขอผล CT ที่เคาเตอร์พยาบาลทันที
“ผล CT ออกหรือยังครับ” ผมถามพยาบาลที่อยู่ตรงนั้น
“ยังไม่ออกนะคะ คุณหมออ่านฟิล์มยังไม่เสร็จค่ะ” พยาบาลบอก หมอรังสียังอ่านผลไม่เสร็จ
“อ๋อครับ... งั้นถ้าผลออก ก็ช่วยเดินไปบอกผมหน่อยนะครับ” ผมบอกพยาบาล ให้ช่วยเดินไปบอกผม ทันทีที่ได้รับผล
“ได้ค่ะๆ ” พยาบาลรับปาก
ส่วนผมเดินกลับเข้าไปในห้องด้วยความผิดหวังเล็กน้อย...
ครึ่ง ชม แล้ว... ผมก็ยังรออยู่อย่างนั้น... ยังไม่มีใครเดินมาบอกผม..
...ออกไปถามเองอีกทีดีกว่า...
“ผลออกยังครับ” ผมถามคำถามเดิม
“ยังเลยค่ะ แต่น่าจะอีกไม่นานนะคะ ถ้าได้แล้วจะรีบบอกเลยค่ะ” พยาบาลเห็นท่าทีผมร้อนใจ
ผมต้องเดินกลับไปรอที่ห้องอีกครั้ง
รอแล้ว รอเล่า ...
ผ่านไปอีก ครึ่งชม ก็ยังไม่มีใครมาบอกผมอีก
ไม่ได้โมโหนะ ...แค่ใจร้อน....ขอเดินไปถามอีกที..
เดินใกล้จะถึงเคาเตอร์... มองเห็น พยาบาล สองสามคน กำลังมุงดูอะไรบางอย่าง
“ผลออกแล้วแน่เลย” ผมนึกในใจ
“ผลออกแล้วใช่มั้ยครับ” ผมถามทันที เหมือนเดินถึงเคาเตอร์
“ใช่ค่ะ พึ่งมาเมื่อกี้ นี่ก็กำลังดูอยู่” พยาบาลเพิ่งได้รับผลมาสดๆร้อนๆ
“รบกวนปริ้นท์ให้ผมชุดหนึ่งได้มั้ยครับ” ผมรีบขอผล เพื่อกลับเข้าไปดูในห้อง
“ได้คะ เดี๋ยวปริ้นท์ให้เลย” พูดจบ พยาบาลก็ปริ้นท์ และยื่นให้ผม
“แต่ให้หมอชินดูก่อนจะดีกว่านะคะ” พยาบาลพูด เหมือนจะบอกกับผมว่า ถ้าเจออะไรก็อย่าเพิ่งคิดมาก
ได้ยินก็ชะงักนิดหนึ่ง ... หรือจะมีเรื่องไม่ดีในนั้น??
“ครับ” ผมตอบกลับ สีหน้าเครียด พร้อมเก็บผลพับใส่กระเป๋ากางเกงเพื่อไปดูในห้อง
เพราะคงต้องรอให้แม่นุ่นหลับก่อนถึงจะดูได้
“ผลออกยังอ้วน” แม่นุ่นคงสังเกตุอาการอยู่ไม่สุขของผมที่เข้าออกห้องหลายรอบ
และดูเหมือนแม่นุ่นเองก็รอฟังผลอยู่เหมือนกัน
ผมไม่รู้จะตอบยังไง เพราะไม่รุ้ว่าสิ่งที่อยู่ในกระเป๋ามันดีหรือร้าย
“ยังเลย ออกไปถามหลายรอบแล้ว คงต้องรอให้หมอชินดูอีกทีพรุ่งนี้” เพื่อความสบายใจของแม่นุ่น นี่คือคำคอบที่ผมคิดว่าดีทีสุดในตอนนั้น
“นอนพักผ่อนซะ ดึกแล้ว” ตอนนี้ราวสามทุ่มกว่า ผมต้องบอกให้แม่นุ่นรีบพักผ่อน
สิ้นเสียงผม แม่นุ่นก็หลับตาลง
ผมยังอยู่ใกล้ๆ นวดขา นวดเท้าเหมือนเคย
นวดไป ก็คิดไป..
ยังไงเสีย วันนี้จะเกิดอะไร ก็ขอเก็บความไม่สบายใจไว้คนเดียวก่อนแล้วกัน
ประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าๆ แม่นุ่นก็หลับสนิท...
มันก็ถึงเวลาที่ผมจะเอาผลออกมาอ่านสักที
ผมเปิดคอมพิวเตอ ต่ออินเทอเนต เรียบร้อย
ก่อนจะเปิดอ่าน
ผมหลับตา...
ถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ...
เอาวะ เป็นไงก็จะได้รู้กัน
จากนั้นก็หยิบผลที่พับไว้ในกระเป๋ากางเกง ออกมาดู และค่อยๆอ่านที่ละบรรทัดอย่างพิจารณา
แผ่นแรกคือผลการตรวจที่ปอด:
ผมเริ่มอ่านมันบรรทัดแรก
No evidence of pulmonary thromboembolism
บรรทัดแรกก็ได้ข่าวดีเลย แปลได้ว่า ไม่พบหลักฐาน ลิ่มเลือดอุดตันในปอด
ผมอ่านบรรทัดต่อๆไป พร้อมกับ แปลคำศัพท์ในคอมในบางคำที่ไม่เข้าใจ
อ่านผลที่ปอดทั้งหมดพอสรุปใจความได้ว่า ไม่มีสิ่งผิดปกติอื่นใดนอกจากมีน้ำในช่องปอด ที่คงเป็นสาเหตุให้แม่นุ่นหายใจไม่ค่อยสะดวก ไม่ได้เป็นผลจากลิ่มเลือดอย่างที่หมอกับผมกังวลกัน
ข้อกังวลข้อแรกผ่านไปแล้ว ผมใจชื้นขึ้นมาบ้าง
แต่ยังต้องอ่านต่อ เพราะมี ผล CT ช่องท้องส่วนบนด้วย
ผล CT ช่องท้องส่วนบน:
Multiple masses of various sizes scattered in both hepatic lobes, the largest one is in right hepatic lobe, sized about 7.3x7.3x5.1, representing liver metastasis.
แปลได้ว่า มีก้อนมะเร็งหลายก้อนทั้งเล็กและใหญ่กระจายอยู่ทั่วตับทั้งสองข้าง, ก้อนใหญ่สุดคือ 7 ซมกว่าๆ
อ่านจบ ผมเป่าปาก ยาววว
เพราะผลที่ออกมาแสดงถึงการตอบสนองต่อยาที่ดีมาก เดิมก้อนใหญ่สุดคือ 12 ซม ตอนนี้ยุบลง 7 ซม ส่วนจุดเล็กๆ ก็ยังมีอยู่ อย่างไรเสีย มันเป็นผลที่อ่านแล้วน่าพอใจมาก