เรื่องยาว : ป่าอุ่นใจไออุ่นรัก (ตอนที่ ๑)

กระทู้สนทนา
สวัสดีพ่อแม่พี่น้องที่รักทุกท่าน ก่อนอื่นต้อง "ขออภัย" ที่โพสนิยายไป ๑ เรื่อง แต่ไม่จบ (ระหว่างน้ำกับฟ้า)  - ไม่จบจริงๆ เพราะไม่ได้เขียนต่อเลยอ่ะค่ะ เลยจะขอแก้ตัวด้วยเรื่องที่เขียนจบแล้วและลงไว้ในบล็อค จะมาอัพให้อ่านกันนะคะ และยินดีรับฟัง ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ของเพื่อนๆว่าชอบไม่ชอบ เขียนผิด เขียนถูกยังไง คุยกันได้นะคะ, เรื่องนี้เคยส่งไปให้สำนักพิมพ์พิจารณาสองสามแห่ง แต่คิดว่าเรื่องคงจะไม่โดนใจ บก. เท่าไหร่ หรือฝีมืออาจจะยังด้อยอยู่ก็เลยไม่ผ่านการพิจารณา - ดังนั้นเมื่อไม่ได้ตีพิมพ์ แล้วจะเก็บไว้อ่านคนเดียวก็เสียของ, เผื่อเพื่อนๆ จะได้อ่านสนุกสนานไปด้วยกัน,  เรื่องนี้ใช้นามปากกา "หญ้าเจ้าชู้" เวลาก๊อบมาจากบล็อค อาจจะไม่ได้แก้ไข ยังไงก็คนเดียวกันนี่แหละนะจ๊ะ ^^ ฝากอ่านกันเยอะๆ จ่ะ

---------------------------------------------------------------------------------------



เรื่องยาว : ป่าอุ่นใจไออุ่นรัก ตอนที่ ๑
"หญ้าเจ้าชู้"


ย่ำค่ำ ตะวันตกน้ำไปพักใหญ่ ในร้านอาหารริมเจ้าพระยา ผู้คนกำลังปรีดิ์เปรมกับบรรยากาศและอาหาร โฟกัสไปที่โต๊ะติดแม่น้ำ สองหนุ่มสาวกำลังนั่งสนทนากันอย่างออกรส

“จะขอย้ายลงไปอยู่นราธิวาส บ้าไปแล้วเหรอ ตัวเท่านี้ไปเป็นเป้านิ่งให้ถูกยิงทิ้งหรือยังไง”

น้ำเสียงสูงปรี๊ดขึ้นจมูกทำให้หลายคนหันมามองด้วยความสนใจ จนคนพูดต้องรีบหดตัวลงแทบมุดใต้โต๊ะ และเมื่อตั้งหลักได้ จึงค่อยๆ โผล่หัวขึ้นมา เจ้าตัวปัญหานั่งหน้าแป้นไม่รู้สึกรู้สา

“แหม...ยังกับว่าอยู่กรุงเทพฯ แล้วปลอดภัยนักนี่ ทีตัวเองยังไปเลย”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงของประเทศที่ทำเอาผู้คนอกสั่นขวัญแขวนกันมาเมื่อไม่นานนี้ ทั้งเจ็บตาย และเกือบกลายเป็นสงครามกลางเมืองนั้น ทำให้ระดับความปลอดภัยของเมืองหลวงกับชายแดนที่มีปัญหาที่สุดนั้น มีค่าแทบจะเท่ากัน

“มันไม่เหมือนกัน ผมอยู่หน่วยรบ ถูกฝึกมาให้เป็นนักรบ แต่หยาเป็นอาจารย์สอนหนังสือ อยู่ที่นี่สบายกว่านะ อยู่ที่โน่นลำบากจะตาย อาหารการกินก็ไม่สะดวก ที่สำคัญนะ ไม่มีห้างสรรพสินค้าให้เดินชอปปิ้ง ไม่มีโรงหนัง ตกกลางคืนก็เงียบกริบแล้วหยาจะไปร้องคาราโอเกะที่ไหน”
พลรบยกข้ออ้างทั้งหลายมาขู่ เพราะรู้ว่าอัลยาแพ้สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด...แหมนะ ได้ยินแล้วมันก็หวั่นไหว ไหนจะแหล่งชอปปิ้ง ไหนจะโรงหนังแล้วยังคาราโอเกะสุดโปรดอีก...

“ไม่ต้องมาหว่านล้อม กล่อมเกลาให้เราเชื่อหรอก เพราะเราพินิจพิจารณาเป็นอย่างดีแล้ว ที่สำคัญเรายื่นเรื่องขอไปช่วยราชการที่โน่นแล้วด้วย รอแค่สัมภาษณ์เท่านั้นเอง”

“เวรกรรม”

“เราไปเรียน ปจว. มาแล้วด้วย”
วิชาปฏิบัติการทางจิตวิทยา เป็นหลักสูตรหนึ่งที่พึงเรียนรู้เอาไว้สำหรับคนที่ต้องไปประจำอยู่ชายแดน

“กรรมเวร”

“ไม่ดีเหรอ เราจะได้ไปอยู่เป็นเพื่อนรบไง”
ยัง ยังไม่หมดแม็ก

“ดีตรงไหน เหมือนเอากระดิ่งมาผูกขา เดินไปไหนก็เป็นเป้าหมายของฝ่ายตรงข้ามให้เล็งเป้าได้แม่นขึ้น”

“เถอะน่า... เราสัญญาว่าจะไม่ไปเป็นภาระใครหรอก” หน้าตาน่าเชื่อถือมาก (ซะเมื่อไหร่ล่ะ)

“เฮ่อ... แต่ผมก็ต้องเป็นห่วงหยาอยู่ดี”

“เราจะไม่ทำให้เธอเป็นห่วง”

“เชื่อตายล่ะ”

บทสนทนาสั้นๆ หลังจากที่พลรบ ใช้เวลาในวันหยุดพักประจำเดือนกลับบ้าน และแวะมาหาเพื่อนสนิท เพื่อนร่วมรุ่นในการฝึกหลักสูตรทางทหารก่อนเข้ารับราชการมาพร้อมกัน คนหนึ่งสังกัดรบพิเศษที่ต้องใช้ชีวิตอยู่บนเส้นด้ายที่ขาดง่ายกว่าสายไหมของโรตี ชีวิตของคนขอบชายแดนที่เขาอาสาเอาชีวิตตัวเองเข้าเสี่ยงเพื่อปกป้อง คุ้มครอง ดูแลความปลอดภัยให้กับผู้คนในท้องถิ่น ขณะที่อัลยาสังกัดหน่วยงานด้านการศึกษาของกองทัพ มีหน้าที่สอนหนังสือในสาขาที่เธอจบมา เป็นภาษาเพื่อนบ้านใกล้เคียง ซึ่งเป็นหลักสูตรหนึ่งของกองทัพสำหรับเจ้าหน้าที่ที่ต้องไปประจำหน่วยตามชายแดน ที่ต้องมีการสื่อสาร สนทนา และฟังภาษาของคนในพื้นที่ให้เข้าใจ และแน่นอนว่าคนที่จบปริญญาในสาขาวิชาพม่าศึกษาอย่างเธอจะทำอะไรในหน่วยทหารได้ดีไปกว่าการเป็นอาจารย์สอนภาษาพม่า

“มีหญิงสาวหน้าตาดีอย่างเราไปอยู่ที่โน่นด้วย อย่างน้อยก็เป็นด่านหน้าให้พวกเธอได้เข้าหาประชาชนได้ง่ายๆ ผู้คนมักเห็นใจผู้หญิงนะ”

“ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่าเดา อ่อ อีกอย่างถ้าหยาย้ายลงไป พ่อกับแม่จะว่ายังไง”
ประโยคนี้เองที่ทำเอาหญิงสาวอึ้งไปสักพัก เพราะนั่นเป็นปัญหาใหญ่มากของอัลยา เธอรู้ดีว่าหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่มีวันได้รับอนุญาต ไม่ว่าจะชักแม่น้ำทั้งสิบ หรือมารยาหมื่นห้าพันเล่มเกวียนก็ไม่มีทางที่จะทำให้พ่อกับแม่ยอมให้เธอย้ายไปทำงานที่ภาคใต้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะพ่อ ที่ไม่ว่าจะพูดยังไงก็ยืนยันคำเดียวว่าไม่เด็ดขาดทั้งที่พ่อเองแท้ๆ เป็นคน “ยุ” ให้เธอมาเป็นทหาร

“เอาไว้ทหารชายตายหมด แล้วลูกค่อยไป”
คำตอบเมื่อครั้งที่เคยลอง “แย็บ” ถามดูเรื่องของลงใต้

“โห... พ่อคะ เกิดมาเป็นทหารทั้งที ไม่ได้ไปสัมผัสชีวิตชายแดนเนี่ยมันเสียชาติเกิดมากเลยนะคะ”

“อยากเกิดใหม่ไวๆ ว่างั้นเถอะ”

“แหม... แช่งลูกก็เป็นนะ”

“เอ๊า พ่อก็ยังอยากมีลูกเขย มีหลานไว้เชยชมนี่”

“โน่น ไปรอจากคนโน้นเลย หยาน่ะ สละชีพเพื่อชาติแล้ว ผู้ชงผู้ชายไม่สำคัญหรอก”
อัลยาโยนภาระนี้ไปให้กับน้องสาวคนรองเจ้าของร้านขนมเค้กที่อร่อยที่สุดในจังหวัด ซึ่งนอกจากจะสูง ขาว สาว และสวย แล้วยังแตกต่างจากอัลยาทุกประการในเรื่องนิสัยใจคอ อ่อ แต่ก็ยังเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ สวยเหมือนกัน...

“อยากอยู่บนคานงั้นซิ”

“ก็ถ้ามีแล้วไม่ดีจะมีไปทำไม พ่ออยากได้ลูกเขยที่ชอบลงไม้ลงมือ และนอกใจลูกสาวพ่อหรือไงล่ะจ๊ะ”

“พ่อไม่ได้อยากได้ แต่ถ้าลูกหาอย่างนั้นมาให้ ก็ไม่ใช่ความผิดของพ่อนี่”

“ถ้ารู้ก่อนล่วงหน้า ก็คงไม่เลือกหรอกค่ะ”
เรื่องราวที่ผ่านมาทำให้อัลยาแทบกระอักเลือด เมื่อคนที่เธอหวังใจว่าจะฝากชีวิตไว้ และสร้างครอบครัวไปด้วยกัน แอบนอกใจไปมีคนอื่นด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียวคือ เธอกับเขาเข้ากันไม่ได้ เป็นเหตุผลของปลาไหลที่จงใจมุดดินแห้งแล้งระแหงเหือดเดือนเมษายนชัดๆ เพราะเขาแอบไปมีคนอื่นนานถึงสี่เดือนโดยที่เธอไม่ระแคะระคายเลย และถึงแม้จะเป๋แบบคนอกหักไปพักใหญ่ แต่นั่นก็ทำให้อัลยาได้ชีวิตใหม่ของตัวเองคืนมา อย่างน้อยที่สุดเธอก็ได้รู้ว่าความรักแบบจงรักภักดีนั้นควรมีให้แก่ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน ดังคำขวัญของกองทัพ ไม่ใช่ให้กับผู้ชายบางคนที่ไม่เห็นคุณค่าของความจริงใจ

“อยู่ในดงผู้ชายยังหาแฟนไม่ได้... มันจะแมนมากไปแล้วนะลูก”

“เอาน่า... หยาไม่ได้อยู่บนคานคนเดียวหรอก เพื่อนเพียบ ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ อีกอย่างหยาเพิ่งจะยี่สิบห้าปลายๆ กลับอะไรกับการไม่มีแฟน”

“หรือจะให้พ่อหาให้”

“โอ้ว โน้วววว สเป็กแม่กับสเป็กหยา ไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิงค่ะ พ่อไม่ต้องหาใครที่เหมือนพ่อมาให้ หยาเลยจะยอดเยี่ยมมาก”

“อ้าว ไอ้ลูกคนนี้ หาว่าพ่อไม่ดีพอหรือไง”

“เปล๊า หยาไม่ได้หมายถึงพ่อ แต่หมายถึงคนที่พ่อเลือกมาให้ต่างหากล่ะคะ แต่ละคน...”

นอกจากส่ายหน้า เบ้ปาก แล้วอัลยายังแทบจะกลืนข้าวไม่ลงเมื่อนึกถึงชายหนุ่มลูกเพื่อนพ่อรายล่าสุดที่ดูเหมือนพ่อจะหมายมั่นปั้นมือกับคนคนนี้มาก เพราะทั้ง รูปหล่อ พ่อรวย พูดจาดี การศึกษาดี มีมารยาท มีชาติกระกูล เพอร์เฟ็คกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว! และแน่นอน คนที่เกิดมาพร้อมกับความสมบูรณ์แบบอย่างผู้ชายคนนั้น ย่อมมีญิงสาวหมายปองเป็นกองทัพแน่ แม้บางครั้งขณะนั่งทานข้าวกับอัลยาแท้ๆ ก็ยังมีสาวๆ ของเขามาทักทายถึงโต๊ะอาหาร บางคนก็ค้อนขวับปะหลับปะหลือก แถมมีบางคนมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเชิดใส่อีก อัลยาได้แต่ทำหน้างง เพราะเธอไม่เคยไปมีเรื่องกับผู้หญิงคนไหนในโลก แต่พอได้คำตอบจากผู้ชายคนที่นั่งทานข้าวด้วยถึงได้อ๋อ “ผมมีเพื่อนผู้หญิงเยอะน่ะ” ยังดีที่เธอกับเขาไม่ได้คิดอะไรกัน... ไม่ได้รักใคร่ชอบพอกันอย่างที่พ่อของเราทั้งคู่หมายมั่นปั้นมือ อัลยาจึงไม่แยแสการกระทำของเขาเท่าไหร่นัก แต่หลายครั้งเข้าชักเหิมเกริม บางวันนั่งทานข้าวด้วยกันอยู่ดีๆ ก็ชวนเพื่อนสาวของตัวเองมานั่งด้วยซะงั้น นั่นทำให้เธอหมดความอดทนและเดินหนีไปดื้อๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่