สัจจะธรรม และ การยังต้องเกิดอีก เพราะยังมีกิเลสเหลืออยู่ ที่มีครบสมบูรณ์ในพระสูตรเดียวในพระไตรปิฎก

ผมขอยกพระสูตรจากพระไตรปิฎกเล่มที่ 14  ที่มีเรื่อง สัจจะธรรมสมบูรณ์พร้อมลุ่มลึกไปตามลำดับในคำสอนของพระพุทธเจ้า  จนผู้บวชเอาเอง(ไม่ได้บวชถูกต้องตามพุทธบัญญัติ)เพราะศรัทธาในเกียรติคุณของพระพุทธเจ้าจึงถือบวชเอาเอง  พิจารณาปฏิบัติตามในขณะฟังธรรมนั้นได้บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามีบุคคล
           ได้ขอบวช แต่ได้ตายเพราะโดนโคขวิดตาย ก่อนจะได้บวชอย่างถูกต้อง จึงเกิดใหม่ มีอยู่ ในพระสูตร ทั้งที่มีธรรมอันใครค้านไม่ได้ และการตายแล้วเกิดของผู้ยังมีกิเลสเหลืออยู่
               เนื่องด้วยพระสูตรนี้ยาวมากเกินกระทู้ ผมจึงขอตัดบางส่วน แต่จะยกส่วนที่ตัดไปไว้ใน คคห. ที่ 1  ดังนี้ โดยใจความที่เกรินนำนั้นยังสมบูรณ์
---  
                                  ๑๐.  ธาตุวิภังคสูตร  (๑๔๐)
              [๖๗๓]  ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
               สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคเมื่อเสด็จจาริกไปในมคธชนบท  ทรงแวะยังพระนครราชคฤห์
เสด็จเข้าไปหานายช่างหม้อชื่อภัคควะยังที่อยู่  แล้วตรัสดังนี้ว่าดูกรนายภัคควะ  ถ้าไม่เป็นความ
หนักใจแก่ท่าน  เราจะขอพักอยู่ในโรงสักคืนหนึ่งเถิด  นายภัคควะทูลว่า  ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ข้าพเจ้าไม่มีความหนักใจเลย  แต่ในโรงนี้มีบรรพชิตเข้าไปอยู่ก่อนแล้ว  ถ้าบรรพชิตนั้นอนุญาต
ก็นิมนต์ท่านพักตามสบายเถิด  ฯ
                 [๖๗๔]  ก็สมัยนั้นแล  กุลบุตรชื่อปุกกุสาติ  ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตอุทิศ
พระผู้มีพระภาคด้วยศรัทธา  ปุกกุสาติกุลบุตรนั้นเข้าไปพักอยู่ในโรงของนายช่างหม้อนั้นก่อนแล้ว
ครั้งนั้นแล  พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปหาท่าน  ปุกกุสาติยังที่พัก  แล้วตรัสกะท่านปุกกุสาติดังนี้ว่า
ดูกรภิกษุ  ถ้าไม่เป็นความหนักใจแก่ท่าน  เราจะขอพักอยู่ในโรงสักคืนหนึ่งเถิด  ท่านปุกกุสาติ
ตอบว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ  โรงช่างหม้อกว้างขวาง  นิมนต์ท่านผู้มีอายุพักตามสบายเถิด  ฯ
                [๖๗๕]  ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปสู่โรงช่างหม้อแล้ว  ทรงลาดสันถัดหญ้า
ณ  ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  ประทับนั่งคู้บัลลังก์  ตั้งพระกายตรง  ดำรงพระสติมั่นเฉพาะหน้า  พระองค์
ประทับนั่งล่วงเลยราตรีไปเป็นอันมาก  แม้ท่าน  ปุกกุสาติก็นั่งล่วงเลยราตรีไปเป็นอันมากเหมือนกัน
     ครั้งนั้น  พระผู้มีพระภาคทรงพระดำริดังนี้ว่า  กุลบุตรนี้ประพฤติน่าเลื่อมใสหนอ  เราควรจะถาม
ดูบ้าง  ต่อนั้นพระองค์จึงตรัสถามท่านปุกกุสาติดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุ  ท่านบวช  อุทิศใครเล่า
หรือว่า  ใครเป็นศาสดาของท่าน  หรือท่านชอบใจธรรมของใคร  ฯ
               [๖๗๖]  ท่านปุกกุสาติตอบว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ  มีพระสมณโคดมผู้ศากยบุตร  เสด็จ
ออกจากศากยราชสกุลทรงผนวชแล้ว  ก็พระโคดมผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแล  มีกิตติศัพท์ฟุ้งไป
งามอย่างนี้ว่า  แม้เพราะเหตุดังนี้ๆ  พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นผู้ไกลจากกิเลส  รู้เองโดยชอบ
  ถึงพร้อมด้วยวิชชาและ  จรณะ  ดำเนินไปดี  รู้แจ้งโลก  เป็นสารถีผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึกอย่างหาคนอื่น
ยิ่งกว่ามิได้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย  เป็นผู้ตื่นแล้ว  เป็นผู้แจกธรรม  ดังนี้  ข้าพเจ้า
บวชอุทิศพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  และพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  เป็นศาสดาของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ฯ
              พ.  ดูกรภิกษุ  ก็เดี๋ยวนี้  พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธพระองค์นั้นประทับอยู่
ที่ไหน  ฯ
              ปุ.  ดูกรท่านผู้มีอายุ  มีพระนครชื่อว่าสาวัตถีอยู่ในชนบท  ทางทิศเหนือ  เดี๋ยวนี้
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธพระองค์นั้น  ประทับอยู่ที่นั่น  ฯ
              พ.  ดูกรภิกษุ  ก็ท่านเคยเห็นพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นหรือ  และท่านเห็นแล้วจะ
รู้จักไหม  ฯ
               ปุ.  ดูกรท่านผู้มีอายุ  ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเลย  ถึงเห็นแล้ว
ก็ไม่รู้จัก  ฯ
              [๖๗๗]  ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคได้มีพระดำริดังนี้ว่า  กุลบุตรนี้บวช  อุทิศเรา  เราควร
จะแสดงธรรมแก่เขา  ต่อนั้น  พระองค์จึงตรัสเรียกท่านปุกกุสาติว่าดูกรภิกษุ  เราจักแสดง
ธรรมแก่ท่าน  ท่านจงฟังธรรมนั้น  จงใส่ใจให้ดี  เราจัก  กล่าวต่อไป  ท่านปุกกุสาติทูลรับพระผู้มี
พระภาคว่า  ชอบแล้ว  ท่านผู้มีอายุ  ฯ
              [๖๗๘]  พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุ  คนเรานี้มีธาตุ  ๖ มีแดนสัมผัส  ๖
มีความหน่วงนึกของใจ  ๑๘  มีธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ  ๔  อันเป็น  ธรรมที่ผู้ตั้งอยู่แล้ว  ไม่มีกิเลส
เครื่องสำคัญตนและกิเลสเครื่องหมักหมมเป็นไปก็เมื่อกิเลสเครื่องสำคัญตนและกิเลสเครื่อง
หมักหมม  ไม่เป็นไปอยู่  บัณฑิตจะเรียกเขาว่า  มุนีผู้สงบแล้ว  ไม่พึงประมาทปัญญา  พึงตาม
รักษาสัจจะ  พึงเพิ่มพูนจาคะพึงศึกษาสันติเท่านั้น  นี้อุเทศแห่งธาตุวิภังค์หก  ฯ
              [๖๗๙]  ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุ  คนเรานี้มีธาตุ  ๖  นั่น  เราอาศัย  อะไรกล่าวแล้ว
ดูกรภิกษุ  ธาตุนี้มี  ๖  อย่าง  คือ  ปฐวีธาตุ  อาโปธาตุ  เตโชธาตุ   วาโยธาตุ  อากาสธาตุ
วิญญาณธาตุ  ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุ  คนเรานี้มีธาตุ  ๖  นั่น  เราอาศัยธาตุดังนี้
กล่าวแล้ว  ฯ
              [๖๘๐]  ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุ  คนเรานี้มีแดนสัมผัส  ๖  นั่น  เราอาศัยอะไร
กล่าวแล้ว  คือ  จักษุ  โสตะ  ฆานะ  ชิวหา  กาย  มโน  เป็นแดนสัมผัส  ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า
ดูกรภิกษุ  คนเรานี้มีแดนสัมผัส  ๖  นั่น  เราอาศัยอายตนะดังนี้  กล่าวแล้ว  ฯ
              [๖๘๑]  ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุ  คนเรานี้มีความหน่วงนึกของใจ ๑๘  นั่น  เรา
อาศัยอะไรกล่าวแล้ว  คือ  บุคคลเห็นรูปด้วยจักษุแล้ว  ย่อมหน่วงนึกรูปเป็นที่ตั้งแห่งโสมนัส
หน่วงนึกรูปเป็นที่ตั้งแห่งโทมนัส  หน่วงนึกรูปเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขา  ฟังเสียงด้วยโสตแล้ว  ...
ดมกลิ่นด้วยฆานะแล้ว  ...  ลิ้มรสด้วยชิวหาแล้ว  ...  ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว  ...  รู้ธรรมารมณ์
ด้วยมโนแล้ว  ย่อมหน่วงนึกธรรมารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งโสมนัส  หน่วงนึกธรรมารมณ์เป็นที่ตั้งแห่ง
โทมนัส หน่วงนึกธรรมารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขา นี้เป็นการหน่วงนึกโสมนัส ๖  หน่วงนึกโทมนัส  ๖
หน่วงนึกอุเบกขา  ๖  ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุ  คนเรานี้มีความหน่วงนึกของใจ  ๑๘  นั่น
เราอาศัยความหน่วงนึกดังนี้  กล่าวแล้ว  ฯ
               [๖๘๒]  ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุ  คนเรานี้มีธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ  ๔  นั่น  เรา
อาศัยอะไรกล่าวแล้ว  คือ  มีปัญญาเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจ  มี  สัจจะเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจ  มี
จาคะเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจ  มีอุปสมะเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจ  ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุ
คนเรานี้มีธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ  ๔ นั่น  เราอาศัยธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจดังนี้  กล่าวแล้ว  ฯ
               [๖๘๓]  ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า  ไม่พึงประมาทปัญญา  พึงตามรักษาสัจจะ  พึงเพิ่มพูน
จาคะ  พึงศึกษาสันติเท่านั้น  นั่น  เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว  ดูกรภิกษุอย่างไรเล่า  ชื่อว่าไม่
ประมาทปัญญา  ดูกรภิกษุ  ธาตุนี้มี  ๖  คือ  ปฐวีธาตุ  อาโปธาตุ  เตโชธาตุ  วาโยธาตุ  อากาสธาตุ
วิญญาณธาตุ  ฯ
... (ส่วนที่ ตัดออก)
...
               [๖๙๓]  ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า  คนเรามีธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ  ๔  อันเป็นธรรมที่ผู้ตั้งอยู่
แล้ว  ไม่มีกิเลสเครื่องสำคัญตนและกิเลสเครื่องหมักหมมเป็นไปก็เมื่อกิเลสเครื่องสำคัญตน
และกิเลสเครื่องหมักหมม  ไม่เป็นไปอยู่  บัณฑิตจะเรียกเขาว่า  มุนีผู้สงบแล้ว  นั่น  เราอาศัย
อะไรกล่าวแล้ว  ดูกรภิกษุ  ความสำคัญตนมีอยู่ดังนี้ว่า  เราเป็น  เราไม่เป็น  เราจักเป็น  เราจัก
ไม่เป็น  เราจักต้องเป็น  สัตว์มีรูป  เราจักต้องเป็นสัตว์ไม่มีรูป  เราจักต้องเป็นสัตว์มีสัญญา  เรา
จักต้องเป็นสัตว์ไม่มีสัญญา  เราจักต้องเป็นสัตว์มีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่  ดูกรภิกษุ ความ
สำคัญตนจัดเป็นโรค  เป็นหัวฝี  เป็นลูกศร  ก็ท่านเรียกบุคคลว่า  เป็นมุนี  ผู้สงบแล้ว  เพราะล่วง
ความสำคัญตนได้ทั้งหมดเทียว  และมุนีผู้สงบแล้วแล  ย่อมไม่เกิดไม่แก่  ไม่ตาย  ไม่กำเริบ  ไม่
ทะเยอทะยาน  แม้มุนีนั้นก็ไม่มีเหตุที่จะต้องเกิด  เมื่อไม่เกิด  จักแก่ได้อย่างไร  เมื่อไม่แก่  จัก
ตายได้อย่างไร  เมื่อไม่ตายจักกำเริบได้อย่างไร  เมื่อไม่กำเริบ  จักทะเยอทะยานได้อย่างไร  ข้อ
ที่เรากล่าวดังนี้ว่า  คนเรามีธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ  ๔  อันเป็นธรรมที่ผู้ตั้งอยู่แล้ว  ไม่มีกิเลสเครื่อง
สำคัญตนและกิเลสเครื่องหมักหมม  เป็นไป  ก็เมื่อกิเลสเครื่องสำคัญตนและกิเลสเครื่องหมัก
หมม  ไม่เป็นไปอยู่  บัณฑิตจะเรียกเขาว่า  มุนีผู้สงบแล้ว  นั่นเราอาศัยเนื้อความดังนี้  กล่าว
แล้ว  ดูกรภิกษุ  ท่านจงทรงจำธาตุวิภังค์  ๖  โดยย่อนี้  ของเราไว้เถิด  ฯ
             [๖๙๔]  ลำดับนั้นแล  ท่านปุกกุสาติทราบแน่นอนว่า  พระศาสดา  พระสุคต  พระสัมมา
สัมพุทธเจ้า  เสด็จมาถึงแล้วโดยลำดับ  จึงลุกจากอาสนะทำจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง  ซบเศียรลง
แทบพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาค  แล้วทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  โทษ
ล่วงเกินได้ต้องข้าพระองค์เข้า  แล้ว  ผู้มีอาการโง่เขลา  ไม่ฉลาด  ซึ่งข้าพระองค์ได้สำคัญถ้อยคำที่
เรียกพระผู้มีพระภาคด้วยวาทะว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุ  ขอพระผู้มีพระภาคจงรับอดโทษล่วงเกินแก่
ข้าพระองค์  เพื่อจะสำรวมต่อไปเถิด  ฯ
              [๖๙๕]  พ.  ดูกรภิกษุ  เอาเถอะ  โทษล่วงเกินได้ต้องเธอผู้มีอาการโง่เขลา  ไม่ฉลาด
ซึ่งเธอได้สำคัญถ้อยคำที่เรียกเราด้วยวาทะว่า  ดูกรท่านผู้มีอายุแต่เพราะเธอเห็นโทษล่วงเกินโดย
ความเป็นโทษแล้วกระทำคืนตามธรรม  เราขอรับอดโทษนั้นแก่เธอ  ดูกรภิกษุ  ก็ข้อที่บุคคลเห็น
โทษล่วงเกินโดยความเป็นโทษแล้วกระทำคืนตามธรรม  ถึงความสำรวมต่อไปได้  นั่นเป็นความ
เจริญในอริยวินัย  ฯ
              ปุ.  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ขอข้าพระองค์พึงได้อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาค
เถิด  ฯ
              พ.  ดูกรภิกษุ  ก็บาตรจีวรของเธอครบแล้วหรือ  ฯ
              ปุ.  ยังไม่ครบ  พระพุทธเจ้าข้า  ฯ
               พ.  ดูกรภิกษุ  ตถาคตทั้งหลาย  จะให้กุลบุตรผู้มีบาตรและจีวรยังไม่ครบ  อุปสมบทไม่ได้
เลย  ฯ
               [๖๙๖]  ลำดับนั้น  ท่านปุกกุสาติ  ยินดี  อนุโมทนาพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว
ลุกจากอาสนะ  ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคกระทำประทักษิณแล้วหลีกไปหาบาตรจีวร  ทันใดนั้น
แล  แม่โคได้ปลิดชีพท่านปุกกุสาติ  ผู้กำลังเที่ยวหาบาตรจีวรอยู่
ต่อนั้น  ภิกษุมากรูปด้วยกัน  ได้
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค  นั่ง  ณ  ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
พอนั่งเรียบร้อยแล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  กุลบุตรชื่อปุกกุสาติที่
พระผู้มีพระภาคตรัสสอนด้วยพระโอวาทย่อๆ  คนนั้น  ทำกาละเสียแล้ว  เขาจะมีคติอย่างไร  มี
สัมปรายภพอย่างไร  ฯ
                  [๖๙๗]  พ.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ปุกกุสาติกุลบุตรเป็นบัณฑิต  ได้บรรลุธรรมสมควรแก่
ธรรมแล้ว  ทั้งไม่ให้เราลำบากเพราะเหตุแห่งธรรม  ดูกรภิกษุทั้งหลายปุกกุสาติกุลบุตร  เป็นผู้เข้า
ถึงอุปปาติกเทพ
เพราะสิ้นสัญโญชน์อันเป็นส่วนเบื้องต่ำ  ๕  เป็นอันปรินิพพานในโลกนั้น  มี
ความไม่กลับมาจากโลกนั้นอีกเป็น  ธรรมดา  ฯ

                 พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว  ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดี   พระภาษิตของ
พระผู้มีพระภาคแล  ฯ
                                    จบ  ธาตุวิภังคสูตร  ที่  ๑๐
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่