สวัสดีครับ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกระทู้ บ้านของผมมีกันอยู่ 6คน พ่อ (เป็นบุรุษพยาบาลที่ รพ จ้างทำงานต่อหลังเกษียณ)
แม่ ย่า พี่สาว ผม และน้อง ผมอาศัยอยู่ในอำเภอเมืองทางภาคใต้ของไทย ชีวิตของครอบครัวผมมีปัญหามาตั้งแต่ผมยังเล็ก
เนื่องจากครอบครัวผมเป็นหนี้สินเกือบล้านจากหนี้นอกระบบ เคยเอาบ้านไปจำนองแต่หนี้ก็ยังไม่หมด
รายได้ครอบครัวมาจากพ่อเป็นหลัก(ที่ส่งเสียให้เรียน) ส่วนแม่ เปิดร้านข้าวแกงเป็นรถเข็น ขายตอนเย็นถึงค่ำที่ย่านการค้าในจังหวัด หนี้สินเกิดจากแม่ไปกู้มาจากเจ้าหนี้ครับ เพราะแต่ก่อนแม่แยกกันอยู่คนละบ้านกับพ่อตั้งแต่ผมยังเล็ก แม่ลงทุนค้าขายแกงมา20กว่าปี แน่นอนว่ามีช่วงเวลาขาดทุน แม่จะใช้การไปกู้หนี้นอกระบบที่ดอกเบี้ยแสนแพง ยิ่งถ้าวันไหนขายไม่ดี ไม่มีเงินจ่ายแม่ก็จะใช้การไปกู้เจ้าอื่นมาโป๊ะเจ้าเก่า หนี้มันจึงเยอะจนคุมไม่ได้
ระยะเวลาที่ผ่านไปยี่สิบกว่าปี ทุกครั้งที่เราสามคนพี่น้องออกไปที่ร้านแม่ จะมีแต่เจ้าหนี้มาเก็บตัง ดอกเบี้ยต่างๆ พอไม่มีให้ก็ด่าต่อหน้าเราทั้งสามพี่น้อง ด่าเสียงดังให้อับอายขายขี้หน้า ซึ่งเราทั้งสามคนก็ทำอะไรไม่ได้ครับเพราะยังเด็ก ไม่มีเงินมาใช้ เพียงแค่ให้คำสัญญาหวังว่า เราจะตั้งใจเรียนทำหน้าที่ให้ดีที่สุด และปล่อยให้แม่จัดการกับปัญหาหนี้สินไปคนเดียว(ส่วนพ่อก็พยายามช่วยแก้ แต่ทำอย่างไรก็ไม่หมดเพราะสภาพสังคมของแม่ค้าละแวกนั้นมีแต่การกู้หนี้) สุดท้ายก็ไม่สามารถแก้ได้และพอกพูนขึ้นทุกวัน
เมื่อเราสามคนปล่อยให้เรื่องเงินเป็นภาระของผู้ใหญ่ที่ต้องจัดการ และแล้วเวลาผ่านไป เราสามพี่น้องเติบใหญ่
ตอนนี้พี่สาวผมคนโต จบปริญาตรีเภสัชศาสตร์ กำลังศึกษาต่อปริญญาโท
ตัวผม กำลังเรียนคณะแพทยศาสตร์ ชั้นปีที่ 6
ส่วนน้อง กำลังเรียนคณะมนุษศาสตร์เอกดนตรีไทย
ต้นปีที่ีผ่านมา มีพายุลูกใหญ่ที่เข้ามาในชีวิตของครอบครัวเรา เจ้าหนี้มารุมเร้าจะเอาเงินที่แม่ยืมไป รวมแล้ววันละ 1 หมื่นบาท ซึ่งเจ้าหนี้ที่มาทวงเป็นพวกใส่หมวกกันนอค น่ากลัวๆ ที่พร้อมจะยิงเก็บ หรือทำร้ายร่างกายเมื่อไรก็ได้ แน่นอนว่า เงินไม่พอจ่ายครับ เพราะเหมือนกับขายเพื่อจ่ายหนี้ ไม่มีเงินเก็บ แม่แก้ปัญหาด้วยตัวเองโดยการไปกู้หนี้เจ้าอื่นมาตามเคย แต่ครั้งนี้ใช้ชื่อคนอื่นกู้ เพราะตัวเองกู้ไม่ได้แล้ว เอาหละครับ แม่ทำทุกอย่างโดยไม่บอกครอบครัว จนเรื่องบานปลาย สุดท้ายแม่หยุดขายแกง และหนีไปอยู่กับเพื่อนแม่ที่ขายข้าวแกงด้วยกัน หลบหน้า ไม่มาหาพ่อ ย่า และเราสามพี่น้อง
>>พายุลูกใหญ่เริ่มต้นขึ้น เจ้าหนี้ยังคงมาที่บ้านแม่เพื่อเอาเงิน และขู่ต่างๆมากมาย ด้วยความที่ผมและน้องยังเรียนอยู่จึงไม่ค่อยได้รู้เรื่องราวมาก พี่สาวคนโตเป็นคนรับรู้ทุกอย่าง จนวันนั้น พี่สาวผมโทรมาบอกให้ผมกลับบ้าน มีเรื่องจะคุยด้วย เมื่แผมนั่งรถตู้มาถึงคิวรถ พี่บอกคำนึงว่า ไปที่บ้านแม่กัน มีปัญหาที่อยากให้แก้ไข เมื่อผมไปถึง ก็มีญาติๆผมนั่งเต็มบ้าน เราคุยกันโดยที่ไม่ให้พ่อรู้เพราะกลัวพ่อเครียด คุยไปคุยมาสุดท้ายสรุปว่า เราจะเซ้งร้านใช้หนี้ ร้านขายแกงที่ขายมา20กว่าปี ร้านเราสามพี่น้องผูกพัน เซ้งด้วยราคาราวๆ4แสน รวมค่าที่และค่าอุปกรณ์ เพื่อเอามาใช้หนี้แม้ว่าหนี้นั้นยังไม่หมดก็ตามหลังจากที่คุยกันได้ข้อสรุป ผมและพี่ก็ขับรถมอเตอร์ไซด์มาถึงบ้านย่า ผมวิ่งขึ้นไปหาพ่อ บอกเรื่องราวทั้งหมดให้พ่อฟัง จากนั้นพี่สาวผมก็ขึ้นมา สิ่งหนึ่งที่ผมได้ยินวันนั้น คือ เราไม่เหลืออะไรแล้วพ่อ เราต้องยอมขายร้านเพื่อใช้หนี้ แม้ไม่รู้ว่าตอนนี้แม่อยู่ที่ไหนก็ตาม แต่สุดท้ายไม่มีใครมาเซ้งเพราะเราต้องการเงินสดมาผ่อนหนั พ่อจึงใช้สลากออมสิน5แสนที่เป็นเงินสะสมก้อนสุดท้ายของครอบครัวไปวางค้ำประกันกับธนาคารเพื่อเอาเงินมาใช้หนี้ให้ทุเลาลง หลังจากนั้นเราพยายามตามหาแม่จนเจอ นั่งคุยปัญหาจนเข้าใจกัน
>>ผลสรุปคือ เราจะยังขายแกงใช้หนี้ต่อไป โดยให้พี่สาวที่เป็นเภสัช เป็นเจ้าของร้าน
ตอนนี้ทุกเช้าพี่สาวผมคนโตจะต้องไปตลาดตั้งแต่ตี5 เพื่อซื้อของมาทำแกงขาย พอ9.00 พี่ต้องขับรถจากบ้านไปมหาวิทยาลัยเพื่อเรียนปริญญาโท และแล้วร้านเราก็กลับมาตั้งหลักได้อีกครั้ง แต่ก็ยังขายไม่ดีเท่าที่ควร เราต้องรับภาระผ่อนหนี้ที่เหลือ หลายบาท
ส่วนตัวผม ยังคงเรียนแพทย์ในปีสุดท้ายต่อไป ผมคงช่วยเรื่องภาระงานไม่ได้ ผมพยายามคิดหาวิธีทำให้ร้านเรามีลูกค้าเพิ่มขึ้น เนื่องจาก
แถวนั้น มีสามเจ้าที่ขายแกงและอยู่ติดกัน ซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถเดินเลือกร้านได้ ซึ่ง
ร้านแรก มีพื้นที่ในการตั้งโต๊ะ ทำให้ลูกค้าชอบนั่งกินข้าว
ส่วนแม่ผมเป็นร้านที่สอง มีพื้นที่ตั้งโต๊ะบ้างแต่ไม่เยอะเท่าร้านแรก
ส่วนร้านที่สาม ติดกับร้านแม่ผม เป็นร้านเล็กๆ ไม่ค่อยมีโตํ๊ะนั่ง
ผมจึงใช้เวลาช่วงที่ว่างๆจากการเรียนหมอ ทำป้ายร้านโปรโมชั่น ตกแต่งรถเข็นให้ดูแปลกใหม่สะดุดตา และจัดตั้งแฟนเพจให้คนติดตามข่าวสาร ด้วยตัวเองทั้งหมด
เริ่มด้วยการจัดโปรโมชั่น ซื้อครบ 60 บาท ได้ 1 คูปองชิงโชคลุ้นกินฟรี ทุกเดือน บางเดือนก็แจกเครื่องใช้ไฟฟ้า ผลตอบรับดีมากครับ จนร้านข้างๆอิจฉา
>>ทำโปรโมชั่นได้ประมาณ 4 เดือน จนวันหนึ่งร้านขายแกงข้างๆจึงเลียนแบบทำตาม แต่ร้านนั้นจัดหนักมากครับ แจกทองครึ่งสลึง 8 รางวัล และเครื่องใช้ไฟฟ้าอีก5 รางวัล ผมเห็นแล้วยังอึ้ง (ทองประมาณ3000*8 =24000บาท ยังไม่รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าอีก) ร้านข้างๆพยายามทำเพื่อเอาชนะครับ ทั้งๆที่ร้านเขายังเป็นหนี้สินอยู่เหมือนกัน เขาติดป้ายเลียนแบบร้านผม ตอนแรกบอกจะแจกทองเดือน ตค แต่พอวันต่อมาขีดออก เหลือแต่ปี 56 แต่ก็ยังมีลูกค้าไปซื้อร้านนั้นเยอะเพราะเห็นคำว่า แจกทอง
>>ซึ่งร้านผมไม่สามารถแจกได้เยอะขนาดนั้น เพราะทุกวันนี้ยังคงต้องใช้หนี้สิน ผมจึงพยายามคิดวิธีการใหม่ที่จะเอามาดึงลูกค้ากลับ
ซึ่งตอนนี้คิดออกว่า ซื้อแกงแล้วได้โชคสองต่อ
ต่อที่1 ซื้อเท่าไรก็ได้คูปอง ลุ้นกินฟรีทุกเดือน เดือนละ 100 บาท 10 รางวัล
ต่อที่ 2 ทุก60 บาท รับ 1 แสตมป์สะสมแลกของพรีเมี่ยม เหมือนเซเว่น
แต่ก็ไม่รู้ว่าจะคุ้มหรือไม่
อยากสอบถามพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ในpantip ว่าพอจะมีไอเดียอะไรแชร์บ้างครับ
ขอบคุณครับที่เข้ามาอ่านและแนะนำในกระทู้
ผมเชื่อเสมอครับว่า ชีวิตคนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้
ขอบคุณครับ
ชีวิตที่อยากได้คำแนะนำ
แม่ ย่า พี่สาว ผม และน้อง ผมอาศัยอยู่ในอำเภอเมืองทางภาคใต้ของไทย ชีวิตของครอบครัวผมมีปัญหามาตั้งแต่ผมยังเล็ก
เนื่องจากครอบครัวผมเป็นหนี้สินเกือบล้านจากหนี้นอกระบบ เคยเอาบ้านไปจำนองแต่หนี้ก็ยังไม่หมด
รายได้ครอบครัวมาจากพ่อเป็นหลัก(ที่ส่งเสียให้เรียน) ส่วนแม่ เปิดร้านข้าวแกงเป็นรถเข็น ขายตอนเย็นถึงค่ำที่ย่านการค้าในจังหวัด หนี้สินเกิดจากแม่ไปกู้มาจากเจ้าหนี้ครับ เพราะแต่ก่อนแม่แยกกันอยู่คนละบ้านกับพ่อตั้งแต่ผมยังเล็ก แม่ลงทุนค้าขายแกงมา20กว่าปี แน่นอนว่ามีช่วงเวลาขาดทุน แม่จะใช้การไปกู้หนี้นอกระบบที่ดอกเบี้ยแสนแพง ยิ่งถ้าวันไหนขายไม่ดี ไม่มีเงินจ่ายแม่ก็จะใช้การไปกู้เจ้าอื่นมาโป๊ะเจ้าเก่า หนี้มันจึงเยอะจนคุมไม่ได้
ระยะเวลาที่ผ่านไปยี่สิบกว่าปี ทุกครั้งที่เราสามคนพี่น้องออกไปที่ร้านแม่ จะมีแต่เจ้าหนี้มาเก็บตัง ดอกเบี้ยต่างๆ พอไม่มีให้ก็ด่าต่อหน้าเราทั้งสามพี่น้อง ด่าเสียงดังให้อับอายขายขี้หน้า ซึ่งเราทั้งสามคนก็ทำอะไรไม่ได้ครับเพราะยังเด็ก ไม่มีเงินมาใช้ เพียงแค่ให้คำสัญญาหวังว่า เราจะตั้งใจเรียนทำหน้าที่ให้ดีที่สุด และปล่อยให้แม่จัดการกับปัญหาหนี้สินไปคนเดียว(ส่วนพ่อก็พยายามช่วยแก้ แต่ทำอย่างไรก็ไม่หมดเพราะสภาพสังคมของแม่ค้าละแวกนั้นมีแต่การกู้หนี้) สุดท้ายก็ไม่สามารถแก้ได้และพอกพูนขึ้นทุกวัน
เมื่อเราสามคนปล่อยให้เรื่องเงินเป็นภาระของผู้ใหญ่ที่ต้องจัดการ และแล้วเวลาผ่านไป เราสามพี่น้องเติบใหญ่
ตอนนี้พี่สาวผมคนโต จบปริญาตรีเภสัชศาสตร์ กำลังศึกษาต่อปริญญาโท
ตัวผม กำลังเรียนคณะแพทยศาสตร์ ชั้นปีที่ 6
ส่วนน้อง กำลังเรียนคณะมนุษศาสตร์เอกดนตรีไทย
ต้นปีที่ีผ่านมา มีพายุลูกใหญ่ที่เข้ามาในชีวิตของครอบครัวเรา เจ้าหนี้มารุมเร้าจะเอาเงินที่แม่ยืมไป รวมแล้ววันละ 1 หมื่นบาท ซึ่งเจ้าหนี้ที่มาทวงเป็นพวกใส่หมวกกันนอค น่ากลัวๆ ที่พร้อมจะยิงเก็บ หรือทำร้ายร่างกายเมื่อไรก็ได้ แน่นอนว่า เงินไม่พอจ่ายครับ เพราะเหมือนกับขายเพื่อจ่ายหนี้ ไม่มีเงินเก็บ แม่แก้ปัญหาด้วยตัวเองโดยการไปกู้หนี้เจ้าอื่นมาตามเคย แต่ครั้งนี้ใช้ชื่อคนอื่นกู้ เพราะตัวเองกู้ไม่ได้แล้ว เอาหละครับ แม่ทำทุกอย่างโดยไม่บอกครอบครัว จนเรื่องบานปลาย สุดท้ายแม่หยุดขายแกง และหนีไปอยู่กับเพื่อนแม่ที่ขายข้าวแกงด้วยกัน หลบหน้า ไม่มาหาพ่อ ย่า และเราสามพี่น้อง
>>พายุลูกใหญ่เริ่มต้นขึ้น เจ้าหนี้ยังคงมาที่บ้านแม่เพื่อเอาเงิน และขู่ต่างๆมากมาย ด้วยความที่ผมและน้องยังเรียนอยู่จึงไม่ค่อยได้รู้เรื่องราวมาก พี่สาวคนโตเป็นคนรับรู้ทุกอย่าง จนวันนั้น พี่สาวผมโทรมาบอกให้ผมกลับบ้าน มีเรื่องจะคุยด้วย เมื่แผมนั่งรถตู้มาถึงคิวรถ พี่บอกคำนึงว่า ไปที่บ้านแม่กัน มีปัญหาที่อยากให้แก้ไข เมื่อผมไปถึง ก็มีญาติๆผมนั่งเต็มบ้าน เราคุยกันโดยที่ไม่ให้พ่อรู้เพราะกลัวพ่อเครียด คุยไปคุยมาสุดท้ายสรุปว่า เราจะเซ้งร้านใช้หนี้ ร้านขายแกงที่ขายมา20กว่าปี ร้านเราสามพี่น้องผูกพัน เซ้งด้วยราคาราวๆ4แสน รวมค่าที่และค่าอุปกรณ์ เพื่อเอามาใช้หนี้แม้ว่าหนี้นั้นยังไม่หมดก็ตามหลังจากที่คุยกันได้ข้อสรุป ผมและพี่ก็ขับรถมอเตอร์ไซด์มาถึงบ้านย่า ผมวิ่งขึ้นไปหาพ่อ บอกเรื่องราวทั้งหมดให้พ่อฟัง จากนั้นพี่สาวผมก็ขึ้นมา สิ่งหนึ่งที่ผมได้ยินวันนั้น คือ เราไม่เหลืออะไรแล้วพ่อ เราต้องยอมขายร้านเพื่อใช้หนี้ แม้ไม่รู้ว่าตอนนี้แม่อยู่ที่ไหนก็ตาม แต่สุดท้ายไม่มีใครมาเซ้งเพราะเราต้องการเงินสดมาผ่อนหนั พ่อจึงใช้สลากออมสิน5แสนที่เป็นเงินสะสมก้อนสุดท้ายของครอบครัวไปวางค้ำประกันกับธนาคารเพื่อเอาเงินมาใช้หนี้ให้ทุเลาลง หลังจากนั้นเราพยายามตามหาแม่จนเจอ นั่งคุยปัญหาจนเข้าใจกัน
>>ผลสรุปคือ เราจะยังขายแกงใช้หนี้ต่อไป โดยให้พี่สาวที่เป็นเภสัช เป็นเจ้าของร้าน
ตอนนี้ทุกเช้าพี่สาวผมคนโตจะต้องไปตลาดตั้งแต่ตี5 เพื่อซื้อของมาทำแกงขาย พอ9.00 พี่ต้องขับรถจากบ้านไปมหาวิทยาลัยเพื่อเรียนปริญญาโท และแล้วร้านเราก็กลับมาตั้งหลักได้อีกครั้ง แต่ก็ยังขายไม่ดีเท่าที่ควร เราต้องรับภาระผ่อนหนี้ที่เหลือ หลายบาท
ส่วนตัวผม ยังคงเรียนแพทย์ในปีสุดท้ายต่อไป ผมคงช่วยเรื่องภาระงานไม่ได้ ผมพยายามคิดหาวิธีทำให้ร้านเรามีลูกค้าเพิ่มขึ้น เนื่องจาก
แถวนั้น มีสามเจ้าที่ขายแกงและอยู่ติดกัน ซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถเดินเลือกร้านได้ ซึ่ง
ร้านแรก มีพื้นที่ในการตั้งโต๊ะ ทำให้ลูกค้าชอบนั่งกินข้าว
ส่วนแม่ผมเป็นร้านที่สอง มีพื้นที่ตั้งโต๊ะบ้างแต่ไม่เยอะเท่าร้านแรก
ส่วนร้านที่สาม ติดกับร้านแม่ผม เป็นร้านเล็กๆ ไม่ค่อยมีโตํ๊ะนั่ง
ผมจึงใช้เวลาช่วงที่ว่างๆจากการเรียนหมอ ทำป้ายร้านโปรโมชั่น ตกแต่งรถเข็นให้ดูแปลกใหม่สะดุดตา และจัดตั้งแฟนเพจให้คนติดตามข่าวสาร ด้วยตัวเองทั้งหมด
เริ่มด้วยการจัดโปรโมชั่น ซื้อครบ 60 บาท ได้ 1 คูปองชิงโชคลุ้นกินฟรี ทุกเดือน บางเดือนก็แจกเครื่องใช้ไฟฟ้า ผลตอบรับดีมากครับ จนร้านข้างๆอิจฉา
>>ทำโปรโมชั่นได้ประมาณ 4 เดือน จนวันหนึ่งร้านขายแกงข้างๆจึงเลียนแบบทำตาม แต่ร้านนั้นจัดหนักมากครับ แจกทองครึ่งสลึง 8 รางวัล และเครื่องใช้ไฟฟ้าอีก5 รางวัล ผมเห็นแล้วยังอึ้ง (ทองประมาณ3000*8 =24000บาท ยังไม่รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าอีก) ร้านข้างๆพยายามทำเพื่อเอาชนะครับ ทั้งๆที่ร้านเขายังเป็นหนี้สินอยู่เหมือนกัน เขาติดป้ายเลียนแบบร้านผม ตอนแรกบอกจะแจกทองเดือน ตค แต่พอวันต่อมาขีดออก เหลือแต่ปี 56 แต่ก็ยังมีลูกค้าไปซื้อร้านนั้นเยอะเพราะเห็นคำว่า แจกทอง
>>ซึ่งร้านผมไม่สามารถแจกได้เยอะขนาดนั้น เพราะทุกวันนี้ยังคงต้องใช้หนี้สิน ผมจึงพยายามคิดวิธีการใหม่ที่จะเอามาดึงลูกค้ากลับ
ซึ่งตอนนี้คิดออกว่า ซื้อแกงแล้วได้โชคสองต่อ
ต่อที่1 ซื้อเท่าไรก็ได้คูปอง ลุ้นกินฟรีทุกเดือน เดือนละ 100 บาท 10 รางวัล
ต่อที่ 2 ทุก60 บาท รับ 1 แสตมป์สะสมแลกของพรีเมี่ยม เหมือนเซเว่น
แต่ก็ไม่รู้ว่าจะคุ้มหรือไม่
อยากสอบถามพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ในpantip ว่าพอจะมีไอเดียอะไรแชร์บ้างครับ
ขอบคุณครับที่เข้ามาอ่านและแนะนำในกระทู้
ผมเชื่อเสมอครับว่า ชีวิตคนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้
ขอบคุณครับ