ผมมาอยู่ อุบลราชธานี ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2510 ตอนนั้น เชื่อไหม ครับ
เวลา จะดู โทรทัศน์ ต้อง ซื้อ สเต็ป อัพ หรือที่เราเรียกกันว่า หม้อเพิ่มไฟ
มา ใช้ร่วมกับ โทรทัศน์ รวมทั้ง โทรทัศน์ ตอนนั้น ก็เป็นแค่ ขาวดำ
ขาวดำ มาตั้งแต่ผมเรียน ม. 3 บวร แล้วครับ
ช่วงหัวค่ำ ไฟจะตกมาก หลอดไฟ ที่เปิด จะออก แดง ๆ ไม่สว่างเท่าที่ควร
ครับ ไฟฟ้า เมืองอุบล ได้มาจาก โรงไฟฟ้า ตรง วัดไต้เทิง ปั่นไฟ ด้วยเครื่องยนต์ ดีเซล
ขณะนั้น กำลัง ทำการ ก่อสร้าง เขื่อนสิรินทร ที่อำเภอสิรินทร เจาะ อัดปูน หรืออะไร
เขื่อน มาเสร็จเอาราว ปี 2514 ไฟฟ้า เริ่ม สว่างมากขึ้น ดู โทรทัศน์ ไม่ต้อง ใช้ หม้อแปลง
เรียกว่า มีไฟฟ้าใช้ กัน ทั้งวัน ทั้งคืน ผมสอนหนังสือ เวลา นักเรียนฝึกงาน ก็ฝึก ได้เต็มเวลา
เพราะ ก่อนหน้า เวลา ทำงานเชื่อม นี่ ใช้ เครื่องได้ แค่ ตัวเดียว โหลด มันตก
หลังจาก ไฟฟ้า เข้ามาใช้อย่างสะดวกสะบาย ผมก้เริ่ม ซื้อ ตู้เย็น โทรทัศน์สี เครื่องใช้ไฟฟ้าตอนนั้น
ที่ผม พอจะซื้อได้ ก้แคนั้น แต่ตามร้านขาย ของพวกนี้ ขายดีมาก ขายเพิ่มขึ้น เศษฐกิจ ของเมืองอุบล
ที่ผมอยู่ ก้เจริญ ขึ้นตามลำดับ
ผมยังนึก เล่น ๆว่า ถ้า มี พวก NGO เข้ามาตอนนั้น ผมคงต้องจุดตะเกียง ใช้แบบเดิม โทรทัษน์สี นี่
ไม่รู้ว่าจะมีได้หรือ ไม่ เพราะ ไฟฟ้าไม่พอ ตู้เย็น นี่ ตัดไปได้
เพราะฉนั้น ผมพอสรุปได้ว่า เศษฐกิจ ก็ดี ความสะดวกสะบายในการดำรงชีวิต ถ้าไม่มีไฟฟ้าใช้ ก้หมดหวัง
เรามาดูว่าไฟฟ้า ได้มาจากไหน นอกจากเขื่อน แล้ว ไฟฟ้า ได้มาจาก พลังงานจากน้ำมัน โรงไฟฟ้าพระราม 6
ใกล้ ที่เรียน สจพ ก็ผลิต ไฟฟ้าจาก น้ำมัน ในขณะนั้น จาก ถ่านหิน อย่างแม่เมาะ จากก๊าซธรรมชาติ
พลังงานเหล่านี้ ราคาถูก ที่สุด มาจากน้ำ หรือเขื่อน ที่แพง ๆ ก็มาจาก ลม หรือ โซล่าเซลล์
ไฟฟ้า ที่ เป็นเรื่องที่ต้องใช้ อันดับ หนึ่ง เพื่อจะพัฒนา เราไม่สามารถ สร้างในประเทศได้อีกต่อไป เพราะ
บรรดา นักอนุรักษ์ ทั้งหลาย ปกป้อง ป่าของเขา ก็เป็นมุมมอง ของเขา แต่สำหรับ การพัฒนา แล้ว
ก็หยุดไม่ได้อีก ทำอย่างไร เราจะ ให้ทั้งสองด้านกลมกลืนกัน เพราะด้านพลังงาน เราไม่สามารถ
ยืม จมูก ลาว ยืมจมูก เมียนม่าร์ ได้ ตลอดไป
นักอนุรักษ์ ต้องกลับไปคิดดู ว่าการสร้างเขื่อน ทำเพื่ออะไร และต้องมองถึง อนาคตด้วย มันก้เหมือน
ไฟฟ้าเมื่อ 46 ปีมาแล้ว ของ เมืองอุบล
นักพัฒนา ก็ต้อง หาวิธี ที่จะได้ไฟฟ้ามาใช้ แบบสะอาด ไม่ทำลาย นิเวศน์ ไม่ทำลาย สี่งแวดล้อม
อะไรครับ คือสี่งสุดท้ายของนักพัฒนา และอะไ คือ เป้าหมายสุดท้าย ของนักอนุรักษ์
เขื่อน ใครได้ใครเสีย
เวลา จะดู โทรทัศน์ ต้อง ซื้อ สเต็ป อัพ หรือที่เราเรียกกันว่า หม้อเพิ่มไฟ
มา ใช้ร่วมกับ โทรทัศน์ รวมทั้ง โทรทัศน์ ตอนนั้น ก็เป็นแค่ ขาวดำ
ขาวดำ มาตั้งแต่ผมเรียน ม. 3 บวร แล้วครับ
ช่วงหัวค่ำ ไฟจะตกมาก หลอดไฟ ที่เปิด จะออก แดง ๆ ไม่สว่างเท่าที่ควร
ครับ ไฟฟ้า เมืองอุบล ได้มาจาก โรงไฟฟ้า ตรง วัดไต้เทิง ปั่นไฟ ด้วยเครื่องยนต์ ดีเซล
ขณะนั้น กำลัง ทำการ ก่อสร้าง เขื่อนสิรินทร ที่อำเภอสิรินทร เจาะ อัดปูน หรืออะไร
เขื่อน มาเสร็จเอาราว ปี 2514 ไฟฟ้า เริ่ม สว่างมากขึ้น ดู โทรทัศน์ ไม่ต้อง ใช้ หม้อแปลง
เรียกว่า มีไฟฟ้าใช้ กัน ทั้งวัน ทั้งคืน ผมสอนหนังสือ เวลา นักเรียนฝึกงาน ก็ฝึก ได้เต็มเวลา
เพราะ ก่อนหน้า เวลา ทำงานเชื่อม นี่ ใช้ เครื่องได้ แค่ ตัวเดียว โหลด มันตก
หลังจาก ไฟฟ้า เข้ามาใช้อย่างสะดวกสะบาย ผมก้เริ่ม ซื้อ ตู้เย็น โทรทัศน์สี เครื่องใช้ไฟฟ้าตอนนั้น
ที่ผม พอจะซื้อได้ ก้แคนั้น แต่ตามร้านขาย ของพวกนี้ ขายดีมาก ขายเพิ่มขึ้น เศษฐกิจ ของเมืองอุบล
ที่ผมอยู่ ก้เจริญ ขึ้นตามลำดับ
ผมยังนึก เล่น ๆว่า ถ้า มี พวก NGO เข้ามาตอนนั้น ผมคงต้องจุดตะเกียง ใช้แบบเดิม โทรทัษน์สี นี่
ไม่รู้ว่าจะมีได้หรือ ไม่ เพราะ ไฟฟ้าไม่พอ ตู้เย็น นี่ ตัดไปได้
เพราะฉนั้น ผมพอสรุปได้ว่า เศษฐกิจ ก็ดี ความสะดวกสะบายในการดำรงชีวิต ถ้าไม่มีไฟฟ้าใช้ ก้หมดหวัง
เรามาดูว่าไฟฟ้า ได้มาจากไหน นอกจากเขื่อน แล้ว ไฟฟ้า ได้มาจาก พลังงานจากน้ำมัน โรงไฟฟ้าพระราม 6
ใกล้ ที่เรียน สจพ ก็ผลิต ไฟฟ้าจาก น้ำมัน ในขณะนั้น จาก ถ่านหิน อย่างแม่เมาะ จากก๊าซธรรมชาติ
พลังงานเหล่านี้ ราคาถูก ที่สุด มาจากน้ำ หรือเขื่อน ที่แพง ๆ ก็มาจาก ลม หรือ โซล่าเซลล์
ไฟฟ้า ที่ เป็นเรื่องที่ต้องใช้ อันดับ หนึ่ง เพื่อจะพัฒนา เราไม่สามารถ สร้างในประเทศได้อีกต่อไป เพราะ
บรรดา นักอนุรักษ์ ทั้งหลาย ปกป้อง ป่าของเขา ก็เป็นมุมมอง ของเขา แต่สำหรับ การพัฒนา แล้ว
ก็หยุดไม่ได้อีก ทำอย่างไร เราจะ ให้ทั้งสองด้านกลมกลืนกัน เพราะด้านพลังงาน เราไม่สามารถ
ยืม จมูก ลาว ยืมจมูก เมียนม่าร์ ได้ ตลอดไป
นักอนุรักษ์ ต้องกลับไปคิดดู ว่าการสร้างเขื่อน ทำเพื่ออะไร และต้องมองถึง อนาคตด้วย มันก้เหมือน
ไฟฟ้าเมื่อ 46 ปีมาแล้ว ของ เมืองอุบล
นักพัฒนา ก็ต้อง หาวิธี ที่จะได้ไฟฟ้ามาใช้ แบบสะอาด ไม่ทำลาย นิเวศน์ ไม่ทำลาย สี่งแวดล้อม
อะไรครับ คือสี่งสุดท้ายของนักพัฒนา และอะไ คือ เป้าหมายสุดท้าย ของนักอนุรักษ์