ขอกำลังใจค่ะ อยากผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้

จริงๆ แล้วเรื่องของเราก็ไม่ได้หนักหนาอะไรมากถ้าเทียบกับเรื่องราวของอีกหลายๆ คนในโลกใบนี้ แต่ตอนนี้เรารู้สึกโดดเดี่ยว เหงา (เราอยู่คอนโดห้องเล็กๆ คนเดียว) เพื่อนสนิทที่เคยเจอกันบ่อยๆ ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างมีภาระที่ต้องจัดการกับชีวิตและครอบครัวของตัวเอง ไม่ค่อยได้มีเวลาเจอกันหรือคุยกันบ่อยนัก ต่างฝ่ายต่างมีปัญหาของตัวเองต้องแก้อยู่แล้ว เราจึงไม่ค่อยอยากเอาปัญหาของเราไปให้เพื่อนเพิ่มอีก ส่วนจะเล่าให้คนที่บ้านฟังก็ไม่ได้อีก เพราะถ้าแม่เรารู้ว่าเรากำลังทุกข์อยู่แม่เราก็จะทุกข์มากกว่าเรา (ก่อนหน้านี้เคยเล่าให้ฟังแล้วแม่ทุกข์เรื่องของเราจนนอนไม่หลับ) ชีวิตขอเราตอนนี้ก็เลยได้แต่เก็บเรื่องทุกข์ของตัวเองไว้คนเดียว ถ้าเจอเพื่อนหรือคนที่บ้านก็จะพยายามทำตัวปกติ ไม่อยากเอาความทุกข์ไปให้เขา สิ่งที่ทำได้คือพยายามเข้ามาอ่านเรื่องราวของคนอื่นๆ ที่เจอปัญหามากกว่าเรา ซึ่งมีอยู่มากมายจริงๆ ซึ่งก็พอช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นได้บ้างแต่เราก็ยังคงเศร้าซึม ร้องไห้วันละหลายๆ ครั้งอยู่ดี เราอยากผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ให้เร็วที่สุด เราไม่อยากอยู่กับความทุกข์นี้นาน ๆเลย

เข้าเรื่องเลยแล้วกันนะคะ เราอายุ 30 ต้นๆ ทำงานมาแล้วหลายที่ปกติทำงานก็จะอยู่ที่ละ 1-2 ปี แล้วก็เปลี่ยนงาน เป็นธรรมดาที่ในที่ทำงานจะเจอกับคนหลากหลายนิสัยใจคอ เราก็ไม่เคยได้ใส่ใจมากมายเน้นทำงานแล้วก็ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานตามสมควรเพื่อให้งานดำเนินได้ดี มีบรรยากาศในการทำงานที่ดี ซึ่งในทุกๆ ที่ทำงานที่ผ่านมาเราก็จะมีเพื่อนหรือพี่ที่ทำงานร่วมกันสนิทอยู่ด้วยที่ละ 1-2 คน ที่สามารถพูดคุยปรับทุกข์กันได้ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว จริงใจต่อกัน ช่วยเหลือกัน แน่นอนเมื่อลาออกมาแล้วเรายังคงมีการติดต่อกันอยู่บ้างเป็นระยะๆ

จนกระทั่งเรามาทำงานที่ปัจจุบันซึ่งทำมานานเกือบ 5 ปีแล้ว ที่เราอยู่ที่นี่ได้นานเป็นเพราะว่าพี่ๆ ทุกคนในทีมดีมากๆ ช่วยเหลือกันและกัน จริงใจต่อกัน และที่สำคัญเราได้หัวหน้างานที่ดีมากๆ ที่เรียกได้ว่าเป็นหัวหน้างานในฝันของเราเลยทีเดียวล่ะ ปกติทำงานที่อื่นๆ หัวหน้าโดยทั่วไปก็จะให้งานมาแล้วรอรับผลอย่างเดียว ลูกน้องจะลำบากยังไงไม่เคยสนใจหรือไถ่ถาม แต่กับหัวหน้าของเราคนนี้ไม่ใช่เลย ถ้ามีงานอะไรมาก็ตามเขากับเราจะทำร่วมกัน เรียกได้ว่าฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรค์ไปด้วยกัน เพียงแต่หัวหน้าเราคนนี้เป็นคนที่ละเอียดมาก และค่อนข้างดุ ถ้าทำงานไม่ได้ตามมาตรฐานที่เขาต้องการเราก็จะต้องโดนดุ ซึ่งในตอนแรกที่เราเป็นลูกน้องเขาเราก็เครียดมากเหมือนกัน เพราะเราว่าเราละเอียดและรอบคอบอย่างที่สุดแล้วแต่ก็ยังไม่มากพอ ช่วงแรกๆ โดนดุบ่อยจนบางครั้งที่รู้ตัวว่าทำพลาดจะกลัวมากเลยว่าต้องโดนพี่เขาดุ แต่ถึงแม้จะดุยังไงพี่เขาก็จะคอยช่วยคิดและแก้ปัญหาให้เสมอแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เขาก็จะให้ความช่วยเหลือ ช่วงแรกที่ทำงานด้วยกันเราเครียดมากจนต้องคุยปรึกษากับพี่ในแผนกบ่อยๆ ซึ่งพี่คนนี้ก็จะคอยเป็นคนกลางที่ดีที่คอยให้คำแนะนำทั้งเราและหัวหน้างาน (พี่คนนี้ตำแหน่งเท่าหัวหน้าเราแต่อายุมากกว่า) ซึ่งจากการเป็นคนกลางของพี่คนนี้เรากับหัวหน้าจึงสามารถปรับตัวเข้าหากัน และทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น

จริงๆ แล้วตอนแรกที่เราทำงานที่นี่เราไม่ได้เป็นลูกน้องของหัวหน้าคนนี้ ซึ่งเราค่อนข้างชอบวิธีการทำงานและวิธีคิดของพี่เขาอยู่แล้ว พอได้มาทำงานร่วมกันและปรับตัวเข้าหากันได้ดี เราก็ยิ่งชื่นชมหัวหน้าของเรามาก หัวหน้าเราเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ห้าวๆ ลุยๆ ทำงานจริงจัง มีความคิดสร้างสรรค์ และเป็นคนที่คอยสร้างเสียงหัวเราะและบรรยากาศในการทำงานในแผนกให้ดีด้วย ทุกคนในแผนกและคนส่วนใหญ่ในบริษัทก็รักหัวหน้าเรา แน่นอนเราซึ่งเป็นลูกน้องก็รักและชื่นชมหัวหน้ามากเช่นกัน ซึ่งทุกคนในแผนกจะรู้กันว่าเรารักและศรัทธาหัวหน้าเรามากๆ เวลาที่ทำงานแล้วหัวหน้าชมเราจะหน้าบานมากๆ แต่ถ้าโดนตำหนิแค่เรื่องเล็กน้อยเราก็จะรู้สึกขาดความมั่นใจเลยทีเดียวล่ะ แต่ก็จะปรับตัวเองกลับมาทำงานใหม่ให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมเพื่อช่วยแบ่งเบางานให้กับหัวหน้าของเรา

เราเป็นลูกน้องของหัวหน้าคนนี้ได้ประมาณ 3 ปีค่ะ ทำงานเป็นคู่กันตลอดเพราะฟังก์ชั่นงานที่รับผิดชอบโดยตรงจะมีกัน 2 คน เรียกว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอด 3 ปี เรารู้สึกรักและผูกพันธ์กับหัวหน้าเรามาก คิดเสมอว่าพี่เขาไม่ใช่แค่หัวหน้างาน แต่คือพี่สาวที่เรารักเหมือนคนในครอบครัวเราจริงๆ ซึ่งหัวหน้าเราก็ดูแลเราดีทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ไม่ว่าเราจะเจอปัญหาอะไรในงานหรือเรื่องส่วนตัวพี่เขาก็จะให้คำแนะนำเราอยู่เสมอ ทำให้เราเองก็คิดว่าพี่เขาเองก็คงจะคิดว่าเราเป็นน้องสาวเขาคนหนึ่งเช่นกัน เพราะเวลาที่เขามีเรื่องเครียดในงานหรือมีเรื่องส่วนตัวที่อยากได้คนปรึกษาเขาก็มักจะเล่าให้เราฟังบ่อยๆ เช่นกัน แม้กระทั่งช่วงหลังๆ ที่งานในที่ทำงานมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย เนื้องานที่ทำของเราและพี่เริ่มเปลี่ยนไป ไม่มีความท้าทาย เราสองคนก็คุยกันอยู่เงียบๆ 2 คนโดยที่คนอื่นในแผนกไม่รู้ เรา 2 คนต่างฝ่ายต่างเริ่มหางานอย่างจริงจัง และมักจะปรับทุกข์กันเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างหางานแต่ยังไม่ได้งานที่ตรงใจซะที แล้ววันนึ่งพี่เขาก็มาบอกเราว่าพี่เขาได้งานแล้ว ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีและมั่นคงมาก เราดีใจกับพี่เขามากขณะเดียวกันก็รู้สึกใจหายเหมือนกันที่พี่เขาจะไปที่ใหม่แล้วต่อไปเราจะทำอย่างไรดี แต่เราก็คิดว่าไม่เป็นไร ถึงเรากับพี่เขาจะไม่ได้ทำงานที่เดียวกัน แต่เราก็ยังคงสามารถโทรคุยกัน หรือนัดกินข้าวกันในวันหยุดก็ได้

1 สัปดาห์ก่อนถึงวันทำงานวันสุดท้ายของหัวหน้าเรา ด้วยความที่เรารู้สึกอยากขอบคุณสิ่งดีๆ ที่ผ่านมาที่พี่เขามีให้เรามาตลอดที่ทำงานร่วมกัน เราซึ้อของขวัญชิ้นหนึ่งให้เขามูลค่าไม่สูงนัก พร้อมทั้งเขียนการ์ดขอบคุณสิ่งต่างๆ ที่เขาทำให้เราและบอกเขาว่าสำหรับเราแล้วเขาไม่ใช่แค่หัวหน้างาน แต่เขาเป็นทั้งหัวหน้า พี่สาว และเป็นไอดอลของเราด้วย ถ้าในอนาคตเราเป็นหัวหน้าเราก็จะทำให้ได้อย่างที่พี่เขาทำกับเรา รวมทั้งเราอวยพรให้เขาโชดดีในงานที่ใหม่เราจะเป็นกำลังใจให้พี่เขาเสมอ (พี่เขาบอกว่างานที่ใหม่ดูยากและเจ้านายดูโหดมากด้วย) ตอนที่เราให้ของพี่เขาพี่เขาก็มีบ่นๆ ว่าเราว่าสิ้นเปลืองซื้อมาให้ทำไม รวยนักหรือไง เราก็เจื่อนๆ นิดนึง แต่ด้วยความรู้สึกขอบคุณเขาอย่างใจจริง เราอยากให้เขาจริงๆ เลยไม่คิดอะไร แล้วเราก็บอกเขาว่าการ์ดที่ให้ไว้ค่อยเปิดอ่านที่บ้านนะคะ นับจากวันนั้นมาก็ไม่มีอะไร พี่เขาก็ไม่ได้พูดถึงว่าอ่านการ์ดแล้วรู้สึกยังไง จริงๆ แล้วเราแอบคาดหวังเหมือนกันว่าพี่เขาจะบอกเราว่า "ไม่เป็นไร ถึงแม้ว่าพี่จะไม่ได้ทำงานกับเราแล้วแต่เราก็ยังสามารถติดต่อกันได้ พี่ก็เห็นเราเป็นน้องคนนึงเหมือนกัน" แต่พี่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเลย เราเลยไม่รู้ว่าหลังจากอ่านการ์ดเราแล้วพี่เขารู้สึกยังไง

ด้วยความที่พี่เขาเป็นคนมีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง ปกติทำงานด้วยกันจะไม่ได้มีการนัดไปไหนกันนอกวันทำงานเลยไม่ว่าจะเป็นหลังเลิกงานหรือว่าวันหยุด การโทรคุยก็ไม่มียกเว้นว่ามีเรื่องงานจำเป็นจริงๆ นานๆ ก็จะโทรคุยกันบ้าง แต่จะต้องคุยผ่านมือถือของบริษัทเท่านั้น หัวหน้าเราไม่รับ add เฟสบุ๊คใครในออฟฟิศ และเคยบอกเราว่าไว้ลาออกจากที่นี่ก่อนแล้วจะรับ add เรามี line ของพี่เขาแต่ถ้าเป็นการคุย line กับพี่เขาคนเดียวเขาจะแค่อ่านแต่จะไม่ตอบใดๆ แต่ถ้าเป็นกับกรุ๊ปในแผนกก็จะมีเข้ามาคุยแจมบ้าง ด้วยความที่พี่เขามีโลกส่วนตัวสูงเราก็เลยรู้สึกกลัวว่าหากพี่เขาออกไปแล้วเราคงจะติดต่อเขาได้ยาก

ยิ่งใกล้วันทำงานวันสุดท้ายมากเท่าไหร่เราก็ยิ่งรู้สึกใจหาย เคว้งคว้าง ไม่รู้จะทำยังไงกับภาวะงานในตอนนี้ที่สำหรับเรามันค่อนข้างแย่มากๆ แต่ก่อนเผชิญงานแย่ๆ แบบนี้ก็ยังรู้สึกอุ่นใจเพราะไม่ได้เผชิญคนเดียว ยังมีหัวหน้าร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน แต่ตอนนี้ต้องอยู่คนเดียวแล้วมันรู้สึกแย่มากเลย หัวหน้าเราเห็นปฎิกิริยาเราวันหลังๆ เขาก็รู้แหล่ะว่าเรารู้สึกโดดเดี่ยวมากแค่ไหน แต่เขากลับไม่เคยพูดปลอบเราเลย และไม่เคยพูดซักคำว่ามีอะไรก็โทรมาคุยกันได้นะ พี่ไม่ได้ทิ้งไปไหน แต่เขากลับนิ่งจนเรารู้สึกโดดเดี่ยวมากยิ่งขึ้น เราถามเขาว่าถ้าเราอยากคุยกับเขาเราควรจะโทรช่วงเวลาไหนที่พี่เขาจะสะดวกดี เพราะดูเหมือนว่าพี่จะไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ไม่ว่าจะเป็นหลังเลิกงานหรือวันหยุด เขาก็ยิ้มๆ ไม่ตอบอะไร เรารู้สึกเหมือนเขาคงไม่อยากให้เราโทรหาเขา แล้ววันท้ายๆ เรามี line ไปหาเขาก็ยังคงเหมือนเดิมคือไม่ตอบใดๆ เราเคยคิดว่าที่พี่เขาไม่คุยโทรศัพท์กับเรานอกเวลางาน ไม่ add เฟสบุ๊ค ไม่คุย line กับเราน่าจะเป็นเพราะเขาอยากมีระยะห่างระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง เราเคยคิดว่าถ้าวันนึงต่างฝ่ายต่างทำงานคนละที่เราคงจะสนิทกันได้มากกว่าทุกวันนี้

แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันตรงกันข้าม เรากำลังจะสูญเสียพี่สาวคนนี้ของเราไป วันสุดท้ายที่พี่เขาทำงานเราบอกพี่เขาว่าพี่อย่าลืมสัญญานะที่บอกว่าจะรับ add เฟสบุ๊คหลังจากลาออกแล้ว แต่พี่เขากลับตอบมาว่าไม่ เรายิ่งรู้สึกว่าเมื่อพี่เขาออกไปแล้วเราคงจะไม่สามารถติดต่อพูดคุยกับเขาได้เหมือนอย่างเดิมแล้ว ตอนนี้พี่เขาทำให้เรารู้สึกว่าที่ผ่านมาสิ่งดีๆ ที่เขาทำให้เรา เขาทำไปตามหน้าที่ของหัวหน้างานที่ดีคนนึงที่พึงมีต่อลูกน้องในที่ทำงานเท่านั้น พี่เขาไม่ได้คิดว่าเราเป็นน้องสาวของเขาเหมือนอย่างที่เราเข้าใจ ตอนนี้เขาได้หมดหน้าที่ของหัวหน้างานของเราแล้ว เขาจึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องมาคอยดูแลเราอีกแล้ว

ตอนนี้เราทุกข์ใจมากค่ะ เพราะเราเป็นคนที่หวงแหนมิตรภาพมาก เราคิดเสมอว่าในชีวิตของเราคนที่จะมีมิตรภาพที่ดีต่อกันอย่างจริงใจในสังคมสมัยนี้หาได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในที่ทำงาน แต่ตอนนี้มิตรภาพที่เราหวงแหนได้สูญเสียไปแล้ว แน่นอนว่าพี่เขาไม่โทรมาคุยกับเราเพื่อถามเราแน่ๆ ว่าเป็นยังไงบ้าง ทำงานเป็นยังไง หรือหางานใหม่ได้หรือยัง แต่ถ้าเราโทรไปหาพี่เขาเราก็กลัวว่าจะเจอเหมือนที่ผ่านมาคือหากเราโทรหาพี่เขานอกเวลางานประโยคแรกที่เขาจะถามคือ มีอะไรคะ (เสียงแข็งๆ เหมือนไม่อยากคุย) และถ้าเรา line ไปหาพี่เขาอีก ก็คงจะนิ่งเงียบเหมือนเดิมอีก ตอนนี้เราเสียใจมากจริงๆ เราไม่คิดว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ เราคิดเสมอว่าถ้าเราไม่ได้ทำงานร่วมกันแล้ว เราคงจะมีโอกาสได้เจอกันบ้าง คุยปรับทุกข์กันบ้าง แต่กลายเป็นตอนนี้เราต้องโดดเดี่ยวทำงานโดยที่ไม่มีพี่เขาและไม่สามารถติดต่อกับเขาได้อย่างพี่น้องคนนึง

ตอนนี้เราพอจะทำใจได้บ้างแล้วล่ะค่ะ ว่าเป็นธรรมดาของโลกทุกอย่างมีเกิดก็ต้องมีดับ ไม่มีอะไรยั่งยืน ถึงแม้ว่าจะมีคำถามกับตัวเองว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เราทำอะไรผิดกับพี่เขาหรือเปล่า แต่แน่นอนว่ามันคงทำอะไรไม่ได้แล้ว เราพยายามหาอะไรทำเพื่อให้รู้สึกดีขึ้น แต่ดูเหมือนมันจะดีได้แป๊ปเดียว มีอะไรมาสกิดให้นึกถึงพี่เขาหน่อยก็จะร้องไห้ วันนึงร้องไห้ 3-4 รอบ (ทั้งๆ ที่เป็นคนร้องไห้ยาก) เป็นเพราะว่าเราแคร์พี่เขาจริงๆ ถ้าเป็นคนอื่นเราจะไม่ร้องไห้ได้ง่ายขนาดนี้ ตอนนี้เรารู้สึกไม่อยากไปออฟฟิศเลย แค่เรื่องงานที่รับโอนมาจากพี่เขากับงานของเราและภาวะหลายๆ อย่างในออฟฟิสเราก็รู้สึกแย่มากพอแล้ว ยังมีความรู้สึกคิดถึงพี่เขา อยากคุยอยากรู้ว่าเขาไปทำงานที่ใหม่แล้วเป็นอย่างไรบ้าง แต่ก็ไม่สามารถคุยกับพี่เขาได้เลย ไหนจะยังไม่ได้งานที่ตรงใจอีก ตอนนี้รู้สึกว่าชีวิตเจอแต่ความผิดหวังค่ะ อาจจะดูไม่ได้หนักหนาอะไรมากมายถ้าเทียบกับคนอื่นๆ แต่มันก็ยังคงทุกข์อยู่ไม่หายซะที รู้สึกเสียดายที่ต้องเสียสัมพันธภาพดีๆ ที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องสูญเสีย อยากผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้จริงๆ ขอกำลังใจจากชาวพันทิปด้วยนะคะ

ขอบคุณที่นั่งอ่านเรื่องราวของเราตั้งยืดยาวนะคะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่