ภูสอยดาว ปลายฤดูฝน

สวัสดีครับชาวพันทิปทุกท่าน ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวภูสอยดาวมาก็เลยถือโอกาสมาแชร์ประสบการณ์ให้ฟังครับ

ตั้งใจว่าจะไปภูสอยดาวกันนานแล้วกว่าจะได้ไปก็เล่นเอาหลายปี สุดท้ายก็ได้ไปกันจริงๆดีใจน้ำตาแทบไหล
หลังจากโทรสอบถามเจ้าหน้าที่ เค้าก็แนะนำให้ไปเดือนกันยาครับ ดอกไม้จะบานเต็มทุ่ง อย่ามาหน้าหนาวเลยมันโรยหมดแล้ว ป่าก็ค่อนข้างแห้งแล้งด้วย ผมจึงตัดสินใจไปกันเดือนกันยาครับ เนื่องจากพวกผมชอบเที่ยวแบบสงบเงียบผู้คนไม่พลุกพล่านก็เลยออกเดินทางวันพุธ ขึ้นเขาพฤหัส ลงเขาวันศุกร์เลยดีกว่า ศุกร์-อาทิตย์ คนคงเยอะ
แพลนของพวกผมมีดังนี้ครับ

ออกเดินทางคืนวันพุธที่ 18 ตอนเที่ยงคืนเป๊ะ ออกจากกรุงเทพ ไปตามถนนเอเชียจนถึงพิษณุโลก เลี้ยวเข้าไปทางอ.ชาติตระการ แล้วก็ขับเลียบเขาไปจนถึงอุทยานครับ


เส้นทางจาก อ.ชาติตระการ ไปอุทยานครับ


ทุ่งนาและไร่ข้าวโพดระหว่างทางไปอุทยานครับ

เช้า 19 ถึงอุทยานประมาน 9 โมง แวะพักกินข้าวเริ่มเดินทาง 10 โมงครับ
เนื่องจากพวกผมขับรถไปกันเอง เราจึงทิ้งสัมภาระขากลับไว้ในรถทั้งหมดเลย ขนขึ้นไปแค่เสื้อผ้าที่จะเปลี่ยน, เสบียงระหว่างทาง, เสื้อกันฝนเสื้อกันหนาว, รองเท้าแตะ, น้ำสองสามขวด ส่วน อาหาร, เต้น, ถุงนอนให้ลูกหาบขนแทนครับ สัมภาระที่ขนติดหลังไปก็คนละ 6-7 กิโล

ตอนที่ไปถึงอุทยานก็มีรถจอดเล็กน้อยสอบถามเจ้าหน้าที่จึงได้ความว่านอกจากพวกผม 4 คนก็มีอีกคณะจองไว้ 7 คน วันนี้คงมีเพื่อนร่วมเดินสิบกว่าคนเท่านั้นเอง มีคนค้างอยู่ข้างบนอีก 5-6 คน เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องวันศุกร์-อาทิตย์คนถึงจะเยอะ ผมคิดว่าคนประมาน 20 กว่าคนก็น่าจะพอดีๆนะไม่แออัดเกินไป ยิ้ม


ทางขึ้นก็คือทางเดียวกับทางไปน้ำตกภูสอยดาวนั่นแหละครับ ตามรูปก็เลี้ยวขวาเลยครับ

ขึ้นเขาในวันแรก ไม่เจอฝนเลยครับแดดเปรี้ยงอีกต่างหาก เดินเล่นไป คุยกันไปเรื่อยครับ ทางจากน้ำตกไปถึงตีนเนินส่งญาติจะเป็นทางเดินแฉะๆ มีสะพานไม้พาดข้ามลำธารที่จะลงไปเป็นน้ำตกภูสอยดาวครับ พูดง่ายๆคือเรากำลังเดินทวนทางน้ำขึ้นไปนั่นเอง

พอถึงตีนเนินส่งญาติก็เริ่มเซ็งกับขั้นบันไดครับ เนินส่งญาติมันเป็นเนินชันๆสลับกับขั้นบันไดชันๆ เดินไปก็บ่นไป "ไอ้บันไดนี่มันอะไรเนี่ย" ช่วงเนินส่งญาติไม่ค่อยได้ถ่ายรูปครับ มันมีแต่ต้นไม้เต็มสองข้างทาง เสียงจิ้งหรีดกับจักจั่นร้องแข่งกันเสียงน้ำตกดังไปทั้งป่าเลยครับ เดินไปฟังไปเพลินๆ

เจอบันได้เยอะๆเริ่มไม่ไหวครับ เนื่องจากผมไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเลยบอกให้เพื่อนร่วมทริปนำไปก่อนเลยส่วนผมเดินรั้งท้าย เดินแล้วก็หยุดเป็นพักๆไป ไปๆมากลายเป็นโดนทิ้งให้เดินคนเดียวซะแล้ว...

จบเนินส่งญาติก็ต่อด้วยเนินปราบเซียนครับ เนินปราบเซียนจะเริ่มอยู่สูงกว่าน้ำตกแล้วครับ จบเนินนี้เราจะไม่ได้ยินเสียงน้ำตกแล้ว เนินปราบเซียนเป็นเนินชันสลับกับทางลาดขึ้น โหดเอาการครับ ตอนนี้ผมก็เริ่มรู้แล้วครับว่า ของจริงเพิ่งจะเริ่ม

ถัดจากเนินปราบเซียนเป็นเนินป่าก่อครับ เนินนี้เป็นทางลาดชันพุ่งเฉียงขึ้นไปเลย ขาผมเริ่มไม่ไหวและออกอาการเหมือนจะเป็นตะคริวแล้วครับ ผมจึงตัดสินใจหยุด พักกินแอปเปิ้ลครับ โชคดีจริงๆที่เพื่อนร่วมทริปผมชอบกินแอปเปิ้ลแล้วก็ซื้อมายัดใส่หลังทุกคนๆละ 2 ลูกครับ รสหวานๆเปรี้ยวๆช่วยให้ผมเอาตัวรอดมาได้ แต่ขาผมยังคงสภาพเดิมนะครับ ถ้าเดินมากไปขาจะหนึบขึ้นมาทันที เจอแบบนี้ก็หยุดเลยครับ ทิ้งกระเป๋าลงพื้นจนกว่าขาจะโอเคแล้วค่อยเดินต่อ


ช่วงนี้เริ่มมีรูปครับ พอหยุดพักขาก็ถ่ายรูปไงครับ ยิ้ม เนินในรูปนี่ลาดขึ้น 45 องศานะครับ


เกือบครึ่งทางแล้ว ยิ้ม ระยะทางทั้งหมดคือ 6.5 กิโลครับ มาสคอตเดินชิลมากแต่นักท่องเที่ยวจะตายแล้วครับ


มอสเกาะตามต้นไม้ พบเห็นได้ตลอดทางครับ ป่าชื้นมาก

หลังจากลากขาพ้นเนินป่าก่อมาก็มาเจอกับเนินเสือโคร่งครับ ระหว่างเนินป่าก่อกับเนินเสือโคร่งมีช่วงทางราบให้เดินสบายๆด้วยครับแต่ยุงกับแมงวันบินกันให้ว่อน ตอนที่ผมนั่งพักที่เนินป่าก่อ ลูกหาบก็ตามผมมาทันแล้วครับ นั่งพักคุยกันซักแป๊บผมก็ให้เค้านำเลยครับ ผมขอไปช้าๆตามสภาพขาดีกว่า


แถวๆเนินเสือโคร่งครับ มาสคอตก็เริ่มค้ำไม้เหมือนกัน 555+


จากเนินเสือโคร่งถ่ายไปเทือกเขาฝั่งไทยครับ

เนินเสือโคร่งเป็นเนินลาดขึ้นสลับกันเนินชันสุดโหดครับ ผมก็ลากขาไปทีละ 5 ก้าว 10 ก้าว ไต่หินไปทีละสองสามก้อน ไปช้าๆรักษาสภาพขา เริ่มรู้สึกปวดรู้สึกหนึบๆก็หยุดครับ การกินน้ำเริ่มไม่ช่วยอะไรผมแล้วเพราะผมเดินช้าแต่ต้องหยุดเพราะขาร่ำๆจะเป็นตะคริว ผมเลยต้องใช้ท่าไม้ตายอมน้ำไว้แล้วเดินต่อครับ ช่วยได้เยอะทีเดียว ผมกินน้ำน้อยนะครับ ขาขึ้นกินขวดเดียวเอง คิดๆดูผมเอาน้ำติดมา 3 ขวด น่าจะเปลี่ยนขวดนึงเป็นสปอนเซอแทน ไม่น่าขนน้ำเปล่า 3 ขวดเลย


ส่วนหนึ่งของเนินเสือโคร่งครับ ผมยกแขนขึ้น 60 องศาเลยนะ

ลากขาพ้นเนินเสือโคร่งมาได้ ก็จะเห็นเนินมรณะครับ ผมตามลูกหาบมาทันที่ยอดเนินเสือโคร่งครับ ตรงนี้เค้าก็ชี้ให้ผมดูว่าเหลือเนินสุดท้ายแล้วป่ะไปด้วยกัน ผมปฏิเสธเลยครับ ให้เค้านำดีกว่า เพราะว่าผมมองเห็นยอดเนินครับ


นู่นครับยอดเนินมรณะ ตรงที่ตัดกับเส้นขอบฟ้านั่นแหละครับ


กอมอสแถวๆเนินเสือโคร่งครับ ผมพักถ่ายรูปเล่นทันทีที่มีโอกาสครับ ขอพักขาบ้างอะไรบ้าง

และแล้วผมก็ลากตัวเองมาถึงเนินมรณะครับ เนินนี้มรณะจริงไม่ใช่แค่ขู่ ทางเดินเป็นขั้นบันได 90% อีก 10% อีกก้อนหินชันๆ เดินสลับซ้ายขวาไต่ขึ้นเนินครับ เราจะมองไม่เห็นบันไดเลยเพราะหญ้าสูงถึงหน้าอกได้ ไปถึงแล้วต้องทำใจแล้วกัดฟันลุย ขั้นบันไดตรงหน้าผมทำให้เนินส่งญาติดูจะเป็นเรื่องงั้นๆไป


ตอนแรกนึกว่าขู่ให้ดูน่ากลัว เดินขึ้นซักพัก... มันโหดจริง


ระหว่างทางบนเนินมรณะ ถ้าหันกลับมามองทางเดิมที่เรามา วิวจะสวยมากครับ ในภาพคือเทือกเขาฝั่งลาวที่ถ่ายจากเนินมรณะครับ


ช่วงเนินมรณะผมก็หยุด ชมวิวรับลมเรื่อยๆครับ ขาผมร้องโวยวายทีก็หยุดทีครับ ในรูปคือเทือกเขาฝั่งไทยครับ


พาโนราม่าจากยอดเนินมรณะครับ ถ่ายไม่สวยเท่าไรยกโทษให้ด้วยนะครับ ตอนนั้นถ่ายเพราะจะพักขา

ถ้าเปรียบเนินมรณะเป็นหนังสือก็จะมีสองตอนครับ มีเนื้อเรื่องหลักกับบทส่งท้าย ผมไม่ขอสปอยหนังสือเล่มนี้แล้วกันฮี่ๆ เอาเป็นว่าเนื้อเรื่องหลักจบมันจะมีบทส่งท้ายแถมนะครับสู้ๆ


ในที่สุดผมก็มาถึงลานสนแล้วครับเย้ๆ เท่ จากลานสนเดินไปลานกางเต้นอีก 500 เมตร... ร้องไห้ ตอนนั้นแทบจะอยากนอนตรงป้ายแล้วครับ ไม่อยากเดินแล้ว ใช้เวลาเดินขึ้นเกือบ 5 ชม.ครับ เพื่อนๆผมเดิน 4 ชม.กว่าๆ

พอเดินขึ้นมาถึงลานสนผมก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องครืนๆกับเมฆมืดๆครับ ผมเลยตัดสินใจเดินต่อไปลานกางเต้น ระหว่างทางในลานสนก็เต็มไปด้วยดอกพญาหงอนนาคบานแซมไปทั่วทุ่งครับ อากาศเย็นกว่าตรงเนินมรณะมาก ทางเดินแฉะๆพอควร


พญาหงอนนาคที่ลากขาแทบตายเพื่อมาดูครับ บานทั่วทุ่งเลยแหละ อาจจะไม่หนาแน่นมากแต่บรรยากาศดีจริงๆ





แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่