แนวทางของพระพุทธเจ้าต่อการอธิบายธรรม

http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id=716&articlegroup_id=154

แนวทางของพระพุทธเจ้าต่อการอธิบายธรรม


ดร.ประพันธ์ ศุภษร

ชาวพุทธฝ่ายพุทธศาสนาเถรวาทส่วนมากเข้าใจว่า คำสอนของพระพุทธเจ้ามีความสมบูรณ์แล้วไม่จำเป็นต้องตีความขยายความ พระองค์ตรัสพระวาจาเพื่อดับทุกข์ในชีวิตปัจจุบัน ไม่เสียเวลาในการตีความเล่นสำนวนภาษา แม้ว่าสมณพราหมณ์ร่วมสมัยจะถามปัญหาในแง่อภิปรัชญา พระองค์ก็ทรงปฏิเสธการตอบปัญหาเหล่านั้น ทรงเบนความสนใจให้มาสู่ปัญหาที่มนุษย์สามารถลงมือกระทำด้วยวิริยะและปัญญาของตนเอง ผลปรากฏว่าผู้คนจากวรรณะต่างๆ มาศึกษาปฏิบัติตามที่พระองค์ตรัสสอนและได้บรรลุธรรมมากมาย นี้คือศรัทธาที่ชาวพุทธมีต่อพระพุทธเจ้า

แต่ข้อความในพระไตรปิฎกบางแห่งดูเหมือนว่าทรงเปิดโอกาสในด้านการใช้ภาษาเผยแผ่ศาสนา เช่น ในอรณวิภังคสูตร พระพุทธองค์ได้ทรงแนะนำพระสาวกว่า

ภาชนะชนิดเดียวกันในโลกนี้ ในบางชนบทรู้จักกันว่า ปาติ … ปัตตะ… ปิฏฐะ … สราวะ … หโรสะ … โปณะ … หนะ … ปิปิละ ภิกษุพูดด้วยความยึดมั่นถือมั่นโดยประการที่ชนทั้งหลายในท้องถิ่นนั้นๆ จะรู้จักภาชนะนั้นว่า นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นไม่จริง (ลักษณะอย่าง)นี้ชื่อว่าการยึดภาษาท้องถิ่นและการละเลยคำพูดสามัญ

ภาชนะชนิดเดียวกันในโลกนี้ ในบางชนบทรู้จักกันว่า ปาติ… ภิกษุพูดโดยประการที่ชนทั้งหลายในท้องถิ่นนั้นๆ จะรู้จักภาชนะนั้นได้ว่า ได้ยินว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พูดแก่ข้าพเจ้าหมายถึงภาชนะนี้ อย่างนี้แล ชื่อว่าไม่ยึดภาษาท้องถิ่นและไม่ละเลยคำพูดสามัญ

พระพุทธพจน์นี้ดูเหมือนว่าทรงมุ่งให้พระสาวกผู้ทำหน้าที่เผยแผ่ศาสนาจะต้องรู้และเข้าใจภาษาท้องถิ่นนั้น ๆ โดยไม่ควรยึดติดภาษาใดภาษาหนึ่งเพียงภาษาเดียว เพราะภาษาเป็นสมมติบัญญัติเป็นโวหารที่มนุษย์ใช้เรียกกันและสื่อสารในสังคม ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าภาษานั้นสามารถสื่อถึงแก่นแท้ของพุทธธรรมได้มากน้อยเพียงใด ถ้าสื่อสารรู้เรื่องและเข้าใจถูกต้อง ก็ถือว่าภาษานั้นสื่อความหมายได้แล้ว การเผยแผ่พุทธธรรมก็จะบรรลุเป้าหมาย เพราะถ้าพระพุทธศาสนาผูกติดอยู่กับมคธภาษาเพียงภาษาเดียว คงไม่สามารถขยายเขตออกจากดินแดนภารตะสู่สังคมโลกได้อย่างแน่นอน

ความพยายามในการอธิบายพุทธธรรมได้เริ่มก่อตัวขึ้นพร้อม ๆ กับการขยายตัวขององค์กรสงฆ์ ในขณะเดียวกันพระพุทธองค์ก็ทรงแสดงธรรมไปตามอุปนิสัยของแต่ละบุคคลในแต่ละชุมชน บางชุมชนทรงสอนธรรมโดยตรงไม่ต้องขยายความ บางชุมชนทรงสอนโดยอ้อมต้องตีความหมาย เช่น จงฆ่าบิดามารดา ฆ่าพระราชาและกษัตริย์ (มาตรํ ปิตรํ หนฺตวา ราชาโน เทฺว จ ขตฺติโย ) พวกเธอจงตัดป่า แต่อย่าตัดต้นไม้ (วนํ ฉินฺทถ มา รุกฺขํ ) นิพพานบทอันไม่แปรผัน (นิพฺพานปทมจฺจุตํ) หรือ อายตนะมีอยู่ ในอายตนะนั้นไม่มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม…ไม่มีเปลี่ยนแปลง ไม่มีอารมณ์ยึดเหนี่ยว นี้คือที่สุดแห่งทุกข์ แน่นอนคำสอนเหล่านี้ต้องอธิบายและตีความอย่างระมัดระวังและรอบครอบ มิฉะนั้นก็จะเกิดปัญหาตามมา การแสดงพระธรรมเทศนาที่หลากหลายนี้เองเป็นเหตุให้พระสาวกระดับแนวหน้าต้องถือเป็นภาระในการอธิบายความและตีความให้ตรงกับพุทธประสงค์

มีต่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่