"วิสัยทัศน์ที่แตกต่าง นำมาซึ่งวิธีการที่แตกต่าง"
แม้เป้าหมายสุดท้ายจะเหมือนกัน คือปรับปรุงการทำงานของรถไฟ
แต่ด้วยวิธีการมองปัญหาที่ตัวปัญหาไม่ใช่การมองปัญหาจากตัวบุคคล
การแก้ไขที่ตัวปัญหาของรถไฟ เปลี่ยนจากแนวคิดว่า
"การรถไฟมีปัญหาล้าหลังควรจะแปรรูป ให้ภาคเอกชนและกลไกการตลาดมาดูแล"
ไปเป็น
"การรถไฟมีบุคลากรที่มีความสามารถและมีทรัพยากร แต่ขาดการลงทุนจากภาครัฐ รัฐต้องลงทุนกับการรถไฟ"
จึงไม่มีแรงต่อต้านจากตัวการรถไฟเอง
แม่แบบของการรถไฟยุคใหม่เปลี่ยนจากแนวทางการแปรรูปไปเป็น
รถไฟที่เดินโดยเอกชนแบบ BTS (กำไร) ไปสู่แนวทางของรัฐวิสาหกิจยุคใหม่แบบ MRT
นี่แหละคือวิธีการทำงานของรัฐบาล "ปูโง่"
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=561284053902955&set=a.100335393331159.586.100000640955929&type=1&theater
หนึ่งในนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่แตกต่างจากแนวทางของรัฐบาลทักษิณ-สมัคร คือเรื่องแปรรูปการรถไฟครับ
รัฐมนตรีคมนาคม ชัชชาติ ไม่เชื่อเรื่องการแปรรูปรถไฟครับ ตอนที่ผมถามเรื่องการขาดทุนของการรถไฟ ชัชชาติตอบว่า "ปัญหาเรื่องการขาดทุนของการรถไฟ เกิดขึ้นเพราะการพยายามทำให้มันกลายเป็นธุรกิจ และตั้งเป้าหมายว่ามันต้องมีกำไร รถไฟควรจะเป็นการบริการที่รัฐมีให้กับประชาชน ผลที่ได้กลับมาจากมันไม่ควรจะเป็นค่าตั๋ว แต่เป็นผลที่เกิดจากการขนส่ง"
ชัชชาติคิดว่าปัญหาจริงจริงของรถไฟอยู่ที่ความไร้ประสิทธิ์ภาพของรถไฟ ไม่ใช่รถไฟขาดทุนครับ
ดังนั้นนโยบายเรื่องรถไฟ ยิ่งลักษณ์ทำกลับทางจากแนวทางของพี่ชาย คือเปลี่ยนจากแนวคิดว่า "การรถไฟมีปัญหาล้าหลังควรจะแปรรูป ให้ภาคเอกชนและกลไกการตลาดมาดูแล" ไปเป็น "การรถไฟมีบุคลากรที่มีความสามารถและมีทรัพยากร แต่ขาดการลงทุนจากภาครัฐ รัฐต้องลงทุนกับการรถไฟ"
แนวคิดของพันศักดิ์ ที่ปรึกษาใหญ่ของนายกฯ เน้นการ "ทำให้มีศักยภาพในการจ่ายภาษี" หมายความว่าต่อจากนี้การรถไฟจะเป็นรายจ่ายที่ใหญ่มากของรัฐบาล (ซึ่งน่าจะพอกับมากพอๆ กับเงินอุดหนุนน้ำมันเลยทีเดียว) ด้วยสมมุติฐานว่า มันจะทำให้คนที่อยู่รอบๆ เส้นทางรถไฟมีรายได้เพิ่มขึ้นมากพอที่ภาษีที่ได้จากพวกเขาจะคุ้มกับการอุดหนุนรถไฟ
แนวคิดดังกล่าวไปกันได้กับสหภาพการรถไฟ จึงไม่มีแรงต่อต้านจากตัวการรถไฟเอง แม่แบบของการรถไฟยุคใหม่ละจากแนวทางการแปรรูปไปเป็นรถไฟที่เดินโดยเอกชนแบบ BTS (กำไร) ไปสู่แนวทางของรัฐวิสาหกิจยุคใหม่แบบ MRT (ซึ่งขาดทุนทุกปี แต่ราคาถูกกว่า)
นี่แหละคือวิธีการทำงานของรัฐบาล "ปูโง่"
แม้เป้าหมายสุดท้ายจะเหมือนกัน คือปรับปรุงการทำงานของรถไฟ
แต่ด้วยวิธีการมองปัญหาที่ตัวปัญหาไม่ใช่การมองปัญหาจากตัวบุคคล
การแก้ไขที่ตัวปัญหาของรถไฟ เปลี่ยนจากแนวคิดว่า
"การรถไฟมีปัญหาล้าหลังควรจะแปรรูป ให้ภาคเอกชนและกลไกการตลาดมาดูแล"
ไปเป็น
"การรถไฟมีบุคลากรที่มีความสามารถและมีทรัพยากร แต่ขาดการลงทุนจากภาครัฐ รัฐต้องลงทุนกับการรถไฟ"
จึงไม่มีแรงต่อต้านจากตัวการรถไฟเอง
แม่แบบของการรถไฟยุคใหม่เปลี่ยนจากแนวทางการแปรรูปไปเป็น
รถไฟที่เดินโดยเอกชนแบบ BTS (กำไร) ไปสู่แนวทางของรัฐวิสาหกิจยุคใหม่แบบ MRT
นี่แหละคือวิธีการทำงานของรัฐบาล "ปูโง่"
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=561284053902955&set=a.100335393331159.586.100000640955929&type=1&theater
หนึ่งในนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่แตกต่างจากแนวทางของรัฐบาลทักษิณ-สมัคร คือเรื่องแปรรูปการรถไฟครับ
รัฐมนตรีคมนาคม ชัชชาติ ไม่เชื่อเรื่องการแปรรูปรถไฟครับ ตอนที่ผมถามเรื่องการขาดทุนของการรถไฟ ชัชชาติตอบว่า "ปัญหาเรื่องการขาดทุนของการรถไฟ เกิดขึ้นเพราะการพยายามทำให้มันกลายเป็นธุรกิจ และตั้งเป้าหมายว่ามันต้องมีกำไร รถไฟควรจะเป็นการบริการที่รัฐมีให้กับประชาชน ผลที่ได้กลับมาจากมันไม่ควรจะเป็นค่าตั๋ว แต่เป็นผลที่เกิดจากการขนส่ง"
ชัชชาติคิดว่าปัญหาจริงจริงของรถไฟอยู่ที่ความไร้ประสิทธิ์ภาพของรถไฟ ไม่ใช่รถไฟขาดทุนครับ
ดังนั้นนโยบายเรื่องรถไฟ ยิ่งลักษณ์ทำกลับทางจากแนวทางของพี่ชาย คือเปลี่ยนจากแนวคิดว่า "การรถไฟมีปัญหาล้าหลังควรจะแปรรูป ให้ภาคเอกชนและกลไกการตลาดมาดูแล" ไปเป็น "การรถไฟมีบุคลากรที่มีความสามารถและมีทรัพยากร แต่ขาดการลงทุนจากภาครัฐ รัฐต้องลงทุนกับการรถไฟ"
แนวคิดของพันศักดิ์ ที่ปรึกษาใหญ่ของนายกฯ เน้นการ "ทำให้มีศักยภาพในการจ่ายภาษี" หมายความว่าต่อจากนี้การรถไฟจะเป็นรายจ่ายที่ใหญ่มากของรัฐบาล (ซึ่งน่าจะพอกับมากพอๆ กับเงินอุดหนุนน้ำมันเลยทีเดียว) ด้วยสมมุติฐานว่า มันจะทำให้คนที่อยู่รอบๆ เส้นทางรถไฟมีรายได้เพิ่มขึ้นมากพอที่ภาษีที่ได้จากพวกเขาจะคุ้มกับการอุดหนุนรถไฟ
แนวคิดดังกล่าวไปกันได้กับสหภาพการรถไฟ จึงไม่มีแรงต่อต้านจากตัวการรถไฟเอง แม่แบบของการรถไฟยุคใหม่ละจากแนวทางการแปรรูปไปเป็นรถไฟที่เดินโดยเอกชนแบบ BTS (กำไร) ไปสู่แนวทางของรัฐวิสาหกิจยุคใหม่แบบ MRT (ซึ่งขาดทุนทุกปี แต่ราคาถูกกว่า)