สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
พี่เริ่มรู้สึกตัวเหมือนกันแฮะว่า..ชั้นเป็นมารความหวังคนอยากมีบ้านรึเปล่านะ..
แต่มีเพื่อนสมาชิกเคยบอกว่า ถ้าเรารู้ ก็ไม่น่าจะทำเป็นเพิกเฉย เห็นว่าธุระไม่ใช่ เพราะแค่คนเจอกันในบอร์ดสาธารณะ
เตือน 100 คน มีคนเชื่อสักคน ก็ถือว่าได้บุญ ..พี่ก็เลยเลือกตอบ และแสดงความเป็นห่วงใน case ที่ดูแล้วน่าสนใจ
เพราะพี่พูดสั้นๆ ไม่ค่อยเป็นค่ะ ...555
..อย่างเคสของคุณ จขกท. เพราะพี่จำ log in ได้ว่าถามเรื่องนี้มาพักนึงแล้ว
คุ้นๆ ว่า เป็น 3 คนพี่น้อง และพี่เดานะว่า 3 คนพี่น้อง จะช่วยกันซื้อบ้านหลังใหญ่ๆ ให้พ่อกับแม่ได้อยู่อย่างมีความสุข ใช่มั้ยคะ
พี่ขออนุญาตกล่าวอย่างนี้ค่ะ..
การจะซื้อบ้าน ควรเริ่มที่การมีความพร้อมในทุกด้าน หรืออย่างน้อย ต้องมีการวางแผนที่ดี และรอบคอบ
เรื่องที่ควรพิจารณาได้แก่..
..ทำเล - ราคา ต้องเหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ "จริงๆ" ของผู้กู้
..คนที่คิดแค่จะหาทางทำยังไงให้ได้ยอดกู้มากที่สุด โดยไม่ได้คำนึงถึงตอนหาค่างวดมาผ่อนแต่ละเดือน
มักจะเจอกับวิกฤตการณ์ที่ไม่น่าอภิรมย์นักค่ะ และแทนที่จะได้อยู่บ้านอย่างมีความสุข กลับจะมีแต่ความเครียด และการทะเลาะเบาะแว้งในบ้าน
อย่างบ้านเดี่ยว ราคาเกือบ 3 ล้าน ค่างวดประมาณ 20,000 ..ตัวคุณเอง ค่างวดรถ 8,000 ..ต้องเติมแก๊ส/น้ำมันรถ , ค่ากินใช้รายวัน
ก็แทบจะเดือนชนเดือนแล้ว..มั้ย ? ( คุณลองดูบัญชีเงินเก็บดูละกันค่ะ ..ไม่ต้องตอบพี่ก็ได้ )
พี่น้องคุณ เค้าก็ต้องมีค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเค้า
แล้วค่างวดมา 20,000 ..หารกันยังไงล่ะทีนี้ ??
..ประเด็นตัวผู้กู้ อยากให้พิจารณาอายุ , ความมั่นคงของหน้าที่การงาน , รายจ่ายส่วนตัว , ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว ที่จำเป็นต้องใช้ , ต้องมี
หรือแม้แต่ "อยาก"มี และที่สำคัญคือ ครอบครัวในอนาคตของผู้กู้แต่ละคนด้วย
เช่น ตัวคุณ ยังต้องผ่อนรถ ..พี่น้องคุณล่ะ เค้าจะอยากมีรถเป็นของตัวเองหรือเปล่า ..ถ้าผ่อนบ้านแล้ว เค้าไม่มีความสามารถเหลือพอผ่อนรถ
..เค้าจะ happy กันมั้ย ?
พวกคุณ สมมุติตอนนี้ยังโสด แต่ต่อไปก็ต้องมีคนรัก ..สละโสด มีครอบครัวของตัวเอง
..คุณแน่ใจหรือว่า ทุกคนจะแต่งเข้าบ้านนี้หมด ..พี่เชื่อว่า ต้องมีคนแยกครอบครัวออกไป ไม่งั้นคงอัดกันเป็นปลากระป๋อง
( พี่คิดเล่นๆ นะ ..บ้านเดี่ยว 3 ห้องนอน .. แค่พ่อแม่ 1 ห้อง , พี่ชาย 1 ห้อง ตอนนี้คุณก็ต้องอยู่ห้องเดียวกับน้องสาวแล้ว
ยกเว้นต่อเติมห้องนอนข้างล่างให้พ่อแม่ )
สมมุตินะ พี่ชายคุณแต่งงาน เค้าก็อาจอยากแยกบ้านไปอยู่กันเอง ..แล้วเค้าจะทำยังไงกับชีวิตครอบครัวใหม่
บ้านตัวเองก็ต้องเช่า แล้วยังต้องเจียดเงินมาผ่อนบ้านให้แม่ ..ตัวเองกระเบียดกระเสียน
โอกาสที่พี่สะใภ้ในอนาคตคุณจะอารมณ์เสีย พาลชวนกันทะเลาะ ..มีสูงมากค่ะ
เพราะยังไงครอบครัวใหม่ เค้าก็ต้องคิดถึงอนาคตของเค้า ..ลูกเต้าเค้าอีกล่ะ
หรือถ้าเค้าถอนหุ้นออกไป คุณหารกับน้องสาวแค่ 2 คนไหวมั้ยล่ะ..
อยากให้พวกคุณประชุมโต๊ะกลม หารือกันให้ละเอียดรอบคอบก่อน วางแผนกันให้ชัดเจน
และขอให้คิดแบบ worst case คือคิดในแง่ร้ายที่สุดไว้ก่อน เช่น เผื่อมีใครไม่อาจร่วมแชร์ค่าผ่อนได้ จะทำยังไง
และเนื่องด้วยบริบท , ปัจจัยภายในต่างๆ ของครอบครัวคุณ พี่ไม่อาจทราบ เช่น ที่จริงแล้ว พวกคุณมีรายได้เสริม นอกเหนือจากงานประจำ
หรือมีเงินออม เงินสะสมอยู่อีกก้อนใหญ่ ..สามารถรองรับทุกความเสี่ยงได้
หรือคุณพ่อคุณแม่ยังมีรายได้
จึงได้แต่แนะแนวทางให้ลองช่วยกันคิดดูนะคะ
ขอให้โชคดีค่ะ
ปล. แค่เจ้าหน้าที่มาประเมินราคา ยังไม่อาจสรุปได้ค่ะ ว่าผ่าน ไม่ผ่าน
แต่ ..เอ..ถ้าเป็นบ้านใหม่ในโครงการ ไม่น่าจะมีประเด็นเรื่องราคาประเมิน เพราะราคาขายมันชัดๆ อยู่แล้ว
..แสดงว่าเป็นบ้านมือสอง ?
ข้อควรจำของบ้านมือสอง คือแบงค์ปล่อยกู้ แค่ 80-90% ของราคาประเมิน ..แล้วมาเทียบดูความสามารถในการชำระหนี้ของพวกคุณอีกที
เช่น หากคุณซื้อขายกันที่ 2.941 ล้าน ต่อให้แบงค์ประเมินให้คุณเท่าราคาซื้อขาย คุณก็ต้องหา 10-20% เป็นเงินสดมาจ่ายส่วนต่าง
ให้เจ้าของบ้าน ( ไม่รวมค่าใช้จ่ายวันโอน / ค่าจดจำนอง / ประกันชีวิต )
และหากความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ ไม่สอดคล้องกับยอดกู้ เค้าก็จะอนุมัติวงเงินแค่ที่แบงค์จะให้ได้
ตานี้ล่ะ คุณต้องดูว่าคุณสามารถหาเงินก้อนมาจ่ายส่วนต่างก้อนไม่เล็กนี้ ไหวหรือเปล่าค่ะ
ปล.2 ถ้าไม่นับว่าจะดิ้นรนกู้ด้วยสิทธิสวัสดิการนะคะ
จาก profile ผู้กู้ทั้ง 3 คนนะ 15,000 x 3 ( OT ไม่นับ เพราะไม่แน่นอน ) = 45,000 x 40% ( คือความสามารถจ่ายค่างวดบ้าน
โดยผู้กู้ไม่ต้องกินแกลบ ) = 18,000 หักค่างวดรถ 8,000 ออกจากยอดนี้ เหลือความสามารถผ่อน ได้เดือนละ 10,000
หาร 7,000 ( ค่างวดต่อยอดกู้ 1 ล้าน ) = 1.428 ล้าน คือราคาบ้านที่เหมาะสมกับรายได้ และค่าใช้จ่ายค่ะ
ปล.3 อดถามอากู๋ไม่ได้ ว่าบ้านที่คุณจะซื้อเป็นยังไง .. confirm เป็นบ้านมือสอง เพราะปิดโครงการแล้ว ราคาขายปี 55 คือ 2.48 ล้าน
ค่าส่วนกลาง ปีละ 9,450 บ. ..เห็นเค้าบอกว่าค่าสวนกลาง 18,900 สำหรับ 2 ปีน่ะค่ะ เลยเฉลี่ยให้..
บ้านสวยดีค่ะ ..ไงลองไตร่ตรองร่วมกันดีๆ จะได้เป็นบ้านที่อยู่แล้วมีความสุขค่ะ
ปล.4 ..ขออภัยล่วงหน้า หากคุณอ่านแล้วไม่สบายใจ เพราะมันคนละเรื่องกับความฝันที่วาดไว้เลย
แต่จากประสบการณ์นับสิบ+++ ปี จากการซื้อบ้านมือสองตอนไม่พร้อม - ผ่อนบ้าน - เอาบ้านให้คนเช่า - ขายบ้านทิ้ง - ซื้อบ้านใหม่
- ผ่อนบ้านตัวเอง - จ่ายเงินผ่อนบ้าน แต่เป็นชื่อญาติกู้ - ซื้อบ้านที่ผ่อนเองคืนจากญาติ - รีไฟแนนซ์ - ผ่อนบ้าน ทีเดียว 3 หลัง ฯลฯ
ถ้านับรวมประสบการณ์ของคนอื่นที่พี่ได้รับรู้ เช่น เอาบ้านไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน - ไม่มีเงินจ่ายแบงค์ - บ้านโดนยึด ขายทอดตลาด ฯลฯ
..ก็นับว่าประสบการณ์เรื่องบ้านโชกโชนพอตัวล่ะค่ะ
แต่มีเพื่อนสมาชิกเคยบอกว่า ถ้าเรารู้ ก็ไม่น่าจะทำเป็นเพิกเฉย เห็นว่าธุระไม่ใช่ เพราะแค่คนเจอกันในบอร์ดสาธารณะ
เตือน 100 คน มีคนเชื่อสักคน ก็ถือว่าได้บุญ ..พี่ก็เลยเลือกตอบ และแสดงความเป็นห่วงใน case ที่ดูแล้วน่าสนใจ
เพราะพี่พูดสั้นๆ ไม่ค่อยเป็นค่ะ ...555
..อย่างเคสของคุณ จขกท. เพราะพี่จำ log in ได้ว่าถามเรื่องนี้มาพักนึงแล้ว
คุ้นๆ ว่า เป็น 3 คนพี่น้อง และพี่เดานะว่า 3 คนพี่น้อง จะช่วยกันซื้อบ้านหลังใหญ่ๆ ให้พ่อกับแม่ได้อยู่อย่างมีความสุข ใช่มั้ยคะ
พี่ขออนุญาตกล่าวอย่างนี้ค่ะ..
การจะซื้อบ้าน ควรเริ่มที่การมีความพร้อมในทุกด้าน หรืออย่างน้อย ต้องมีการวางแผนที่ดี และรอบคอบ
เรื่องที่ควรพิจารณาได้แก่..
..ทำเล - ราคา ต้องเหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ "จริงๆ" ของผู้กู้
..คนที่คิดแค่จะหาทางทำยังไงให้ได้ยอดกู้มากที่สุด โดยไม่ได้คำนึงถึงตอนหาค่างวดมาผ่อนแต่ละเดือน
มักจะเจอกับวิกฤตการณ์ที่ไม่น่าอภิรมย์นักค่ะ และแทนที่จะได้อยู่บ้านอย่างมีความสุข กลับจะมีแต่ความเครียด และการทะเลาะเบาะแว้งในบ้าน
อย่างบ้านเดี่ยว ราคาเกือบ 3 ล้าน ค่างวดประมาณ 20,000 ..ตัวคุณเอง ค่างวดรถ 8,000 ..ต้องเติมแก๊ส/น้ำมันรถ , ค่ากินใช้รายวัน
ก็แทบจะเดือนชนเดือนแล้ว..มั้ย ? ( คุณลองดูบัญชีเงินเก็บดูละกันค่ะ ..ไม่ต้องตอบพี่ก็ได้ )
พี่น้องคุณ เค้าก็ต้องมีค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเค้า
แล้วค่างวดมา 20,000 ..หารกันยังไงล่ะทีนี้ ??
..ประเด็นตัวผู้กู้ อยากให้พิจารณาอายุ , ความมั่นคงของหน้าที่การงาน , รายจ่ายส่วนตัว , ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว ที่จำเป็นต้องใช้ , ต้องมี
หรือแม้แต่ "อยาก"มี และที่สำคัญคือ ครอบครัวในอนาคตของผู้กู้แต่ละคนด้วย
เช่น ตัวคุณ ยังต้องผ่อนรถ ..พี่น้องคุณล่ะ เค้าจะอยากมีรถเป็นของตัวเองหรือเปล่า ..ถ้าผ่อนบ้านแล้ว เค้าไม่มีความสามารถเหลือพอผ่อนรถ
..เค้าจะ happy กันมั้ย ?
พวกคุณ สมมุติตอนนี้ยังโสด แต่ต่อไปก็ต้องมีคนรัก ..สละโสด มีครอบครัวของตัวเอง
..คุณแน่ใจหรือว่า ทุกคนจะแต่งเข้าบ้านนี้หมด ..พี่เชื่อว่า ต้องมีคนแยกครอบครัวออกไป ไม่งั้นคงอัดกันเป็นปลากระป๋อง
( พี่คิดเล่นๆ นะ ..บ้านเดี่ยว 3 ห้องนอน .. แค่พ่อแม่ 1 ห้อง , พี่ชาย 1 ห้อง ตอนนี้คุณก็ต้องอยู่ห้องเดียวกับน้องสาวแล้ว
ยกเว้นต่อเติมห้องนอนข้างล่างให้พ่อแม่ )
สมมุตินะ พี่ชายคุณแต่งงาน เค้าก็อาจอยากแยกบ้านไปอยู่กันเอง ..แล้วเค้าจะทำยังไงกับชีวิตครอบครัวใหม่
บ้านตัวเองก็ต้องเช่า แล้วยังต้องเจียดเงินมาผ่อนบ้านให้แม่ ..ตัวเองกระเบียดกระเสียน
โอกาสที่พี่สะใภ้ในอนาคตคุณจะอารมณ์เสีย พาลชวนกันทะเลาะ ..มีสูงมากค่ะ
เพราะยังไงครอบครัวใหม่ เค้าก็ต้องคิดถึงอนาคตของเค้า ..ลูกเต้าเค้าอีกล่ะ
หรือถ้าเค้าถอนหุ้นออกไป คุณหารกับน้องสาวแค่ 2 คนไหวมั้ยล่ะ..
อยากให้พวกคุณประชุมโต๊ะกลม หารือกันให้ละเอียดรอบคอบก่อน วางแผนกันให้ชัดเจน
และขอให้คิดแบบ worst case คือคิดในแง่ร้ายที่สุดไว้ก่อน เช่น เผื่อมีใครไม่อาจร่วมแชร์ค่าผ่อนได้ จะทำยังไง
และเนื่องด้วยบริบท , ปัจจัยภายในต่างๆ ของครอบครัวคุณ พี่ไม่อาจทราบ เช่น ที่จริงแล้ว พวกคุณมีรายได้เสริม นอกเหนือจากงานประจำ
หรือมีเงินออม เงินสะสมอยู่อีกก้อนใหญ่ ..สามารถรองรับทุกความเสี่ยงได้
หรือคุณพ่อคุณแม่ยังมีรายได้
จึงได้แต่แนะแนวทางให้ลองช่วยกันคิดดูนะคะ
ขอให้โชคดีค่ะ

ปล. แค่เจ้าหน้าที่มาประเมินราคา ยังไม่อาจสรุปได้ค่ะ ว่าผ่าน ไม่ผ่าน
แต่ ..เอ..ถ้าเป็นบ้านใหม่ในโครงการ ไม่น่าจะมีประเด็นเรื่องราคาประเมิน เพราะราคาขายมันชัดๆ อยู่แล้ว
..แสดงว่าเป็นบ้านมือสอง ?
ข้อควรจำของบ้านมือสอง คือแบงค์ปล่อยกู้ แค่ 80-90% ของราคาประเมิน ..แล้วมาเทียบดูความสามารถในการชำระหนี้ของพวกคุณอีกที
เช่น หากคุณซื้อขายกันที่ 2.941 ล้าน ต่อให้แบงค์ประเมินให้คุณเท่าราคาซื้อขาย คุณก็ต้องหา 10-20% เป็นเงินสดมาจ่ายส่วนต่าง
ให้เจ้าของบ้าน ( ไม่รวมค่าใช้จ่ายวันโอน / ค่าจดจำนอง / ประกันชีวิต )
และหากความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ ไม่สอดคล้องกับยอดกู้ เค้าก็จะอนุมัติวงเงินแค่ที่แบงค์จะให้ได้
ตานี้ล่ะ คุณต้องดูว่าคุณสามารถหาเงินก้อนมาจ่ายส่วนต่างก้อนไม่เล็กนี้ ไหวหรือเปล่าค่ะ
ปล.2 ถ้าไม่นับว่าจะดิ้นรนกู้ด้วยสิทธิสวัสดิการนะคะ
จาก profile ผู้กู้ทั้ง 3 คนนะ 15,000 x 3 ( OT ไม่นับ เพราะไม่แน่นอน ) = 45,000 x 40% ( คือความสามารถจ่ายค่างวดบ้าน
โดยผู้กู้ไม่ต้องกินแกลบ ) = 18,000 หักค่างวดรถ 8,000 ออกจากยอดนี้ เหลือความสามารถผ่อน ได้เดือนละ 10,000
หาร 7,000 ( ค่างวดต่อยอดกู้ 1 ล้าน ) = 1.428 ล้าน คือราคาบ้านที่เหมาะสมกับรายได้ และค่าใช้จ่ายค่ะ
ปล.3 อดถามอากู๋ไม่ได้ ว่าบ้านที่คุณจะซื้อเป็นยังไง .. confirm เป็นบ้านมือสอง เพราะปิดโครงการแล้ว ราคาขายปี 55 คือ 2.48 ล้าน
ค่าส่วนกลาง ปีละ 9,450 บ. ..เห็นเค้าบอกว่าค่าสวนกลาง 18,900 สำหรับ 2 ปีน่ะค่ะ เลยเฉลี่ยให้..
บ้านสวยดีค่ะ ..ไงลองไตร่ตรองร่วมกันดีๆ จะได้เป็นบ้านที่อยู่แล้วมีความสุขค่ะ
ปล.4 ..ขออภัยล่วงหน้า หากคุณอ่านแล้วไม่สบายใจ เพราะมันคนละเรื่องกับความฝันที่วาดไว้เลย
แต่จากประสบการณ์นับสิบ+++ ปี จากการซื้อบ้านมือสองตอนไม่พร้อม - ผ่อนบ้าน - เอาบ้านให้คนเช่า - ขายบ้านทิ้ง - ซื้อบ้านใหม่
- ผ่อนบ้านตัวเอง - จ่ายเงินผ่อนบ้าน แต่เป็นชื่อญาติกู้ - ซื้อบ้านที่ผ่อนเองคืนจากญาติ - รีไฟแนนซ์ - ผ่อนบ้าน ทีเดียว 3 หลัง ฯลฯ
ถ้านับรวมประสบการณ์ของคนอื่นที่พี่ได้รับรู้ เช่น เอาบ้านไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน - ไม่มีเงินจ่ายแบงค์ - บ้านโดนยึด ขายทอดตลาด ฯลฯ
..ก็นับว่าประสบการณ์เรื่องบ้านโชกโชนพอตัวล่ะค่ะ

แสดงความคิดเห็น
จนทสินเชื่อ ส่ง ให้จนท ประเมินบ้านแล้ว ถือว่าผ่านมั้ย???
จนทสินเชื่อ คำนวนวงเงิน ให้ 2.64
แล้วบอกว่าต้องให้จนท ประเมินราคาไปประเมินก่อน
อยากทราบว่า วงเงินที่ประเมินได้ กับที่ จนท สินเชื่อคำนวน พออนุมัติมาจะได้ประมานเท่าไหร่
แล้วยังงี้ถือว่าผ่านรึยังค่ะ???? แล้วถ้าอนุมัติที่วงเงินต่ำกว่าราคาบัานจะสามารถ ขอเพิ่มเพื่อตกแตีงอีกได้ไหมค่ะ???
ธอส ค่ะ ใช้สิทธิ์ สวัสดิการพนง.
ปล. กู้รีวม 3 คน คนที่1 เงินเดือน 15,000 มีหนี้รถ8,000 คนที่2 เงินเดือน 15,000 ไม่มีภาระ คนที่3เหมือนที่2 เลยค่ะ