หากจะกล่าวว่า ชีวิตของลูกชาวนาในยุคก่อนนั้น ล้วนคลุกคลีอยู่กับค ว า ย คงไม่ผิดนัก
ผมเกิดมาท่ามกลางพื้นที่แล้งกันดาร ทำนาได้ปีละครั้ง หรือ 2 ปีครั้ง เคยมีช่วงหนึ่งที่เเล้งมาก เเล้งติดต่อกันถึง 4 ปี
ยุคนั้นผมเกิดไม่ทัน พ่อเล่าให้ฟังว่า ไม่มีข้าวกินต้องพากันต้มมะละกอ หั่นต้นกล้วยต้มกินกันเลยทีเดียว
แต่ถึงจะอดอยากปานใด สิ่งที่จะเก็บไว้เป็นสมบัติชิ้นเอก ก็คือ "ไอ้ทุย" นั่นเอง
หรือจะมีบ้างที่บางคนอาจจะขายไป แต่นั่นเพราะเขามีอยู่หลายตัว
แต่อย่างไรเสีย จะต้องเก็บไว้ใช้งานอย่างน้อย 2 ตัว เพื่อไว้เทียมเกวียน เทียมคราด
"ค ว า ย" จึงเป็นปัจจัยสำคัญในวิถีชีวิตของชาวนาชนบท
เป็นสัตว์ที่มีว่ามีบุญคุณ
เป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด ถ้าไม่นับรวมอสิงหาริมทรัพย์เช่น บ้าน และที่นา
......................................................................................................................................................................................
ชีวิตของเด็กชายชนบท มีหน้าที่เลี้ยงควาย ส่วนลูกสาวจะหัดเลี้ยงไหม ทอผ้าเป็นด้านหลัก
ผมเลี้ยงควายมาตั้งแต่ยังไม่เข้าเรียนประถม จึงมีความชำนาญในการขี่ การจูง การใช้งาน และเข้าใจความเป็นธรรมชาติของมันเป็นอย่างดี
ชีวิตของค ว า ย เรียบง่ายมาก กินหญ้าเสร็จ(ไม่รู้อิ่มหรือเปล่านะ) แล้วนอนเคี้ยวเอื้องอย่างมีความสุข
- ไม่ดิ้นรนเรียกร้อง
- ไม่ต้องหาเหล้า ยาดองมาย้อมใจให้เสียสุขภาพ
- ไม่ต้องใช้ดนตรีบรรเลงปลอบประโลมจิต
- ไม่ต้องใช้เครื่องอำนายความสะดวกใดๆ
นี่คือตัวอย่างความฉลาดทำใจ ที่คนคาดไม่ถึง
ถือเป็นอาจารย์สอนในการนำมาปรับใช้ชีวิตอย่างพอเหมาะ พอเพียงได้เช่นเดียวกัน
......................................................................................................................................................................................
ตื่นตีสี่พร้อมเสียงระฆังที่วัด ไล่ต้อนควายไปไถคราด
เดินทางกว่าจะถึงที่นาก็เกือบเช้า
ไปถึงก็ไถทันที ไม่ได้ให้กิน ไม่ได้ให้พัก
แต่มันก็ไม่เคยบ่น ให้เคยแสดงอาการกระฟัดกระเฟียดให้เห็น
นี่คือแบบอย่างของการมีขันติ ที่คนสู้ควายไม่ไดเลยจริงๆ
......................................................................................................................................................................................
ในช่วงที่ควายตัวเมียติดสัด ฝูงควายตัวผู้จะพากันเดิมตามไปทุกที่
มีการประลองกำลังกันอย่างพอประมาณ คือเอาเขาชนกัน
ตัวไหนแพ้ก็วิ่งหนีไป
- ไม่มีการใช้อาวุธมาห้ำหั่นกัน
- ไม่มีการวางแผนทำลายล้างกันเพื่อแย่งตัวเมีย
ยังก้มหน้า ก้มตาหากินต่อไป
หลังจากนั้น... ตัวที่ชนะ ตัวที่แข็งแรงกว่า ก็จะเดินไปดม (ดมอะไรอย่าไปรู้เลยนะ)
ดมเสร็จแล้วก็ชูคอแล้วยิ้ม หันซ้าย หันขวา ยิ้มแล้วหันไปรอบทิศ ยิ้มนานเหมือนกัน
ช่วงนั้นผมยังเด็กนัก จึงไม่เข้าใจว่า มันยิ้มทำไม
แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว (เข้าใจว่าอย่างไร ขออนุญาตไม่อธิบายนะครับ)
ตัวนั้นแหละจะได้ไปผสมพันธุ์
โดยมีวัตถุประสงค์เดียวคือ...
เพื่อขยายพันธุ์
- ไม่จำเป็นต้องกินถังเฉ้า ไวอะกร้า
- ไม่ต้องใช้เวลาเล้าโลม
- มันไม่มีการรุมโทรม
- ไม่มีการเรียงคิว
- ไม่มีการถ่ายคลิป
- ไม่มีแม้แต่การสวิงกิ้ง
นี่คือตัวอย่างคุณธรรมชั้นสูงอีกข้อของค ว า ยที่เหนือกว่าคน
คือมีจิตใจที่รู้แพ้ รู้ชนะ และไม่มักมากในกามารมณ์
......................................................................................................................................................................................
ถึงตอนนี้แล้ว ให้นึกย้อนกลับไป
เอ! ...เราใช้งานเขาหนักเหมือนกันนะ
ไถ แล้วก็คราด ปาเข้าไปครึ่งค่อนวันแล้ว
ช่วงหน้านา ก็หาหญ้ากินยากด้วย เพราะพื้นที่มีน้ำ มีการทำนากันทั้งนั้น
ไม่มีพื้นที่ให้ได้กินเลย ไม่รู้ว่าเขาไปเอาแรงมาจากไหน
พอแก่ตัวก็ขาย หรือเอาไปชำแหละกิน
เป็นวัฏจักรชีวิตที่น่าสงสารอย่างยิ่ง
......................................................................................................................................................................................
หันมามองสัตว์มีชีวิตอีกชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า
“คน”
- คนนั้น ถือเป็นสัตว์ที่ดุร้ายที่สุดในโลก
- มีรัก มีโลภ มีโกรธ มีหลง
- มีความกังวล มีความร่ำไรรำพัน
- มีความมักมาก ไม่รู้จักคำว่าพอ
เรียกได้ว่าเป็นสัตว์อมทุกข์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดก็ว่าได้
ที่ว่าคนเป็นสัตว์ประเสริฐนั้น เป็นคำกล่าวที่เน้นเฉพาะคนที่ได้ฝึกตนดีแล้ว
แต่ถ้าไม่ได้รับการฝึกฝน
ไม่ได้รับการสั่ง การสอน
ไม้ได้รับการอบ การรม การบ่มเพาะแล้ว
นิสัยจะเลวร้าย โหดร้าย ดุดันยิ่งกว่าฝูงหมาป่าฮายีนาเสียด้วยซ้ำ
ดังนั้น...
จึงภูมิใจเถิด ที่ใครจะเรียกเราว่า
“ไอ้ ค ว า ย “
แต่..
จงเสียใจเถิด ถ้าใครมาเรียกเราว่า
“ไอ้คน”
เพราะ “ไอ้คน” มันสัปดนยิ่งกว่า"ไอ้ ค ว า ย "
และเลวร้ายยิ่งกว่าปิศาจใด ๆ มากมายนัก
***** ส ง ส า ร ค ว า ย *****
ผมเกิดมาท่ามกลางพื้นที่แล้งกันดาร ทำนาได้ปีละครั้ง หรือ 2 ปีครั้ง เคยมีช่วงหนึ่งที่เเล้งมาก เเล้งติดต่อกันถึง 4 ปี
ยุคนั้นผมเกิดไม่ทัน พ่อเล่าให้ฟังว่า ไม่มีข้าวกินต้องพากันต้มมะละกอ หั่นต้นกล้วยต้มกินกันเลยทีเดียว
แต่ถึงจะอดอยากปานใด สิ่งที่จะเก็บไว้เป็นสมบัติชิ้นเอก ก็คือ "ไอ้ทุย" นั่นเอง
หรือจะมีบ้างที่บางคนอาจจะขายไป แต่นั่นเพราะเขามีอยู่หลายตัว
แต่อย่างไรเสีย จะต้องเก็บไว้ใช้งานอย่างน้อย 2 ตัว เพื่อไว้เทียมเกวียน เทียมคราด
"ค ว า ย" จึงเป็นปัจจัยสำคัญในวิถีชีวิตของชาวนาชนบท
เป็นสัตว์ที่มีว่ามีบุญคุณ
เป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด ถ้าไม่นับรวมอสิงหาริมทรัพย์เช่น บ้าน และที่นา
......................................................................................................................................................................................
ชีวิตของเด็กชายชนบท มีหน้าที่เลี้ยงควาย ส่วนลูกสาวจะหัดเลี้ยงไหม ทอผ้าเป็นด้านหลัก
ผมเลี้ยงควายมาตั้งแต่ยังไม่เข้าเรียนประถม จึงมีความชำนาญในการขี่ การจูง การใช้งาน และเข้าใจความเป็นธรรมชาติของมันเป็นอย่างดี
ชีวิตของค ว า ย เรียบง่ายมาก กินหญ้าเสร็จ(ไม่รู้อิ่มหรือเปล่านะ) แล้วนอนเคี้ยวเอื้องอย่างมีความสุข
- ไม่ดิ้นรนเรียกร้อง
- ไม่ต้องหาเหล้า ยาดองมาย้อมใจให้เสียสุขภาพ
- ไม่ต้องใช้ดนตรีบรรเลงปลอบประโลมจิต
- ไม่ต้องใช้เครื่องอำนายความสะดวกใดๆ
นี่คือตัวอย่างความฉลาดทำใจ ที่คนคาดไม่ถึง
ถือเป็นอาจารย์สอนในการนำมาปรับใช้ชีวิตอย่างพอเหมาะ พอเพียงได้เช่นเดียวกัน
......................................................................................................................................................................................
ตื่นตีสี่พร้อมเสียงระฆังที่วัด ไล่ต้อนควายไปไถคราด
เดินทางกว่าจะถึงที่นาก็เกือบเช้า
ไปถึงก็ไถทันที ไม่ได้ให้กิน ไม่ได้ให้พัก
แต่มันก็ไม่เคยบ่น ให้เคยแสดงอาการกระฟัดกระเฟียดให้เห็น
นี่คือแบบอย่างของการมีขันติ ที่คนสู้ควายไม่ไดเลยจริงๆ
......................................................................................................................................................................................
ในช่วงที่ควายตัวเมียติดสัด ฝูงควายตัวผู้จะพากันเดิมตามไปทุกที่
มีการประลองกำลังกันอย่างพอประมาณ คือเอาเขาชนกัน
ตัวไหนแพ้ก็วิ่งหนีไป
- ไม่มีการใช้อาวุธมาห้ำหั่นกัน
- ไม่มีการวางแผนทำลายล้างกันเพื่อแย่งตัวเมีย
ยังก้มหน้า ก้มตาหากินต่อไป
หลังจากนั้น... ตัวที่ชนะ ตัวที่แข็งแรงกว่า ก็จะเดินไปดม (ดมอะไรอย่าไปรู้เลยนะ)
ดมเสร็จแล้วก็ชูคอแล้วยิ้ม หันซ้าย หันขวา ยิ้มแล้วหันไปรอบทิศ ยิ้มนานเหมือนกัน
ช่วงนั้นผมยังเด็กนัก จึงไม่เข้าใจว่า มันยิ้มทำไม
แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว (เข้าใจว่าอย่างไร ขออนุญาตไม่อธิบายนะครับ)
ตัวนั้นแหละจะได้ไปผสมพันธุ์
โดยมีวัตถุประสงค์เดียวคือ...
เพื่อขยายพันธุ์
- ไม่จำเป็นต้องกินถังเฉ้า ไวอะกร้า
- ไม่ต้องใช้เวลาเล้าโลม
- มันไม่มีการรุมโทรม
- ไม่มีการเรียงคิว
- ไม่มีการถ่ายคลิป
- ไม่มีแม้แต่การสวิงกิ้ง
นี่คือตัวอย่างคุณธรรมชั้นสูงอีกข้อของค ว า ยที่เหนือกว่าคน
คือมีจิตใจที่รู้แพ้ รู้ชนะ และไม่มักมากในกามารมณ์
......................................................................................................................................................................................
ถึงตอนนี้แล้ว ให้นึกย้อนกลับไป
เอ! ...เราใช้งานเขาหนักเหมือนกันนะ
ไถ แล้วก็คราด ปาเข้าไปครึ่งค่อนวันแล้ว
ช่วงหน้านา ก็หาหญ้ากินยากด้วย เพราะพื้นที่มีน้ำ มีการทำนากันทั้งนั้น
ไม่มีพื้นที่ให้ได้กินเลย ไม่รู้ว่าเขาไปเอาแรงมาจากไหน
พอแก่ตัวก็ขาย หรือเอาไปชำแหละกิน
เป็นวัฏจักรชีวิตที่น่าสงสารอย่างยิ่ง
......................................................................................................................................................................................
หันมามองสัตว์มีชีวิตอีกชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า “คน”
- คนนั้น ถือเป็นสัตว์ที่ดุร้ายที่สุดในโลก
- มีรัก มีโลภ มีโกรธ มีหลง
- มีความกังวล มีความร่ำไรรำพัน
- มีความมักมาก ไม่รู้จักคำว่าพอ
เรียกได้ว่าเป็นสัตว์อมทุกข์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดก็ว่าได้
ที่ว่าคนเป็นสัตว์ประเสริฐนั้น เป็นคำกล่าวที่เน้นเฉพาะคนที่ได้ฝึกตนดีแล้ว
แต่ถ้าไม่ได้รับการฝึกฝน
ไม่ได้รับการสั่ง การสอน
ไม้ได้รับการอบ การรม การบ่มเพาะแล้ว
นิสัยจะเลวร้าย โหดร้าย ดุดันยิ่งกว่าฝูงหมาป่าฮายีนาเสียด้วยซ้ำ
ดังนั้น...
จึงภูมิใจเถิด ที่ใครจะเรียกเราว่า “ไอ้ ค ว า ย “
แต่..
จงเสียใจเถิด ถ้าใครมาเรียกเราว่า “ไอ้คน”
เพราะ “ไอ้คน” มันสัปดนยิ่งกว่า"ไอ้ ค ว า ย "
และเลวร้ายยิ่งกว่าปิศาจใด ๆ มากมายนัก