กระทู้นี้เป็นกระทู้นำเสนอความรู้ให้แก่เพื่อนๆเป็นครั้งแรกครับ (ก่อนหน้านี้ส่วนมากมีแต่ขอความรู้จากเพื่อนๆ)
ยังเขียนไม่ค่อยเก่ง แต่รักคนอ่านหมดใจคร้าบบบ
การจะมีอิสระภาพทางการเงิน คุณต้องแก้โจทย์ให้ได้ 3 ข้อครับ
ข้อที่ 1 รายจ่ายส่วนตัว ข้อนี้จะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะบอกเราได้ว่า เราจะมีอิสระภาพทางการเงินได้เมื่อไหร่ ได้หรือไม่ (คำว่า "ไม่สามารถมีอิสระทางการเงินได้" หมายถึง ไม่สามารถมีอิสระทางการเงินได้ก่อนตายนะครับ) ดังนั้นหากเราต้องการมีอิสระภาพทางการเงินให้เร็วที่สุดเราจึงจำเป็นต้องหาวิธีลดรายจ่ายส่วนตัวลงให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และฝึกทำให้เป็นนิสัย หรือ พูดง่ายๆก็คือ ฝึกนิสัยประหยัดนั่นเอง
เราสามารถพูดได้ว่า การประหยัดนั้น เป็นคีย์พ้อยต์สำคัญที่สุดที่จะบอกเราว่า เราจะบรรลุเป้าหมายมีอิสระภาพทางการเงินได้(ก่อนตาย) หรือไม่
โดยรายจ่ายส่วนตัวในอุดมคติก็คือ รายจ่ายส่วนตัวเป็น 0 บาทต่อเดือน ทุกเดือนตลอดไป ... อย่าเพิ่งบอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะในความเป็นจริง มันเป็นไปได้ครับ
ข้อที่ 2 วิธีการลงทุนและผลตอบแทน หากเราไม่สามารถลดค่าใช้จ่ายจนเหลือ 0 ได้ เราก็จำเป็นต้องมีการลงทุนเพื่อให้มีผลตอบแทนเข้ามา เมื่อผลตอบแทนนั้นคิดเป็นมูลค่ามากกว่ารายจ่ายส่วนตัวของเราในข้อ 1 แล้วจึงเรียกได้ว่าเราสามารถบรรลุเป้าหมายมีอิสระทางการเงิน แน่นอนว่าผลตอบแทนยิ่งมากจะยิ่งทำให้เราบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น และใช้ต้นทุนน้อยลง แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน วิธีการลดความเสี่ยงในการลงทุนคร่าวๆก็คือ ลงทุนกับคนซื่อสัตย์ (คุณต้องซื่อสัตย์กับเขาด้วย ) หรือไม่ก็ ลงทุนในความรู้
ข้อที่ 3 เงินเหลือเก็บในแต่ละเดือน ยิ่งเราเหลือเงินเก็บมากเท่าไหร่ เราก็สามารถนำไปลงทุนตามแผนการของเราได้มากขึ้นและเร็วขึ้นมากเท่านั้น “เงินเหลือเก็บ” จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยครับคือ จำนวนเงินที่คุณหาได้ และจำนวนเงินที่คุณใช้ไป ถ้าการมีอิสระภาพทางการเงินสำคัญที่สุดสำหรับคุณ การได้ไปเที่ยวต่างประเทศ การได้ไปช็อปปิ้งห้างหรู การได้กินอาหารชั้นเลิศ ก็น่าจะมีความสำคัญรองลงไป แต่เชื่อเถอะไม่ใช่สำหรับทุกคน เพราะสำหรับบางคน ต้องทำงานไปจนเกษียณก็ได้ แล้วหลังเกษียณก็อยู่อย่างจนๆ ก็ได้ แต่ขอมีความสุขในช่วงเวลานี้ก่อน ดังนั้นในขณะที่คุณพยายามประหยัดอย่างเต็มที่ แต่เพื่อนที่มีรายได้พอๆกับคุณทำตัวหรูหราตามกำลังทรัพย์ที่เขาหาได้ ก็ขอให้คุณอย่าไปวอกแวกครับ
อย่างที่ผมได้บอกไปแล้วว่า สิ่งสำคัญคือเงินเหลือเก็บ การประหยัดเป็นเพียงมาตรการเชิงรับเท่านั้น มาตรการเชิงรุกก็คือการหารายได้เพิ่ม การหารายได้เพิ่มก็อย่างเช่นการย้ายงานไปเรื่อยๆ แม้ว่าบริษัทส่วนมากจะให้เงินเดือนพอๆกัน ในงานลักษณะเดียวกันความรับผิดชอบเดียวกัน แต่เชื่อเถอะในโลกนี้มีบางบริษัทที่พร้อมจะจ่ายคุณมากกว่าที่เดิมของคุณแน่นอน หาให้เจอ แล้วสู้ไปให้เต็มที่ครับ
หากคุณอ่านจนจบ ถึงตรงนี้ ผมว่า คุณคงเป็นคนหนึ่งที่มี “ความต้องการ” ที่จะมีอิสระภาพทางการเงิน ขอให้คุณคำนึงถึงปัจจัยดังกล่าวให้รอบคอบแล้วเปลี่ยน “ความต้องการ” ให้กลายเป็น “เป้าหมาย” โดยการเพิ่ม วิธีทำ และ กำหนดเส้นตายลงไปใน “ความต้องการ” นั้น และทบทวนเป้าหมายนั้นทุกเดือน ทุกปี จนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย
คำถามสุดท้ายที่อยากฝากไว้คือ ... เมื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินแล้ว คุณอยากทำอะไรต่อไปครับ
โจทย์ 3 ข้อที่ต้องตีให้แตก หากคุณ "อยาก" บรรลุเป้าหมายอิสระภาพทางการเงิน
ยังเขียนไม่ค่อยเก่ง แต่รักคนอ่านหมดใจคร้าบบบ
การจะมีอิสระภาพทางการเงิน คุณต้องแก้โจทย์ให้ได้ 3 ข้อครับ
ข้อที่ 1 รายจ่ายส่วนตัว ข้อนี้จะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะบอกเราได้ว่า เราจะมีอิสระภาพทางการเงินได้เมื่อไหร่ ได้หรือไม่ (คำว่า "ไม่สามารถมีอิสระทางการเงินได้" หมายถึง ไม่สามารถมีอิสระทางการเงินได้ก่อนตายนะครับ) ดังนั้นหากเราต้องการมีอิสระภาพทางการเงินให้เร็วที่สุดเราจึงจำเป็นต้องหาวิธีลดรายจ่ายส่วนตัวลงให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และฝึกทำให้เป็นนิสัย หรือ พูดง่ายๆก็คือ ฝึกนิสัยประหยัดนั่นเอง
เราสามารถพูดได้ว่า การประหยัดนั้น เป็นคีย์พ้อยต์สำคัญที่สุดที่จะบอกเราว่า เราจะบรรลุเป้าหมายมีอิสระภาพทางการเงินได้(ก่อนตาย) หรือไม่
โดยรายจ่ายส่วนตัวในอุดมคติก็คือ รายจ่ายส่วนตัวเป็น 0 บาทต่อเดือน ทุกเดือนตลอดไป ... อย่าเพิ่งบอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะในความเป็นจริง มันเป็นไปได้ครับ
ข้อที่ 2 วิธีการลงทุนและผลตอบแทน หากเราไม่สามารถลดค่าใช้จ่ายจนเหลือ 0 ได้ เราก็จำเป็นต้องมีการลงทุนเพื่อให้มีผลตอบแทนเข้ามา เมื่อผลตอบแทนนั้นคิดเป็นมูลค่ามากกว่ารายจ่ายส่วนตัวของเราในข้อ 1 แล้วจึงเรียกได้ว่าเราสามารถบรรลุเป้าหมายมีอิสระทางการเงิน แน่นอนว่าผลตอบแทนยิ่งมากจะยิ่งทำให้เราบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น และใช้ต้นทุนน้อยลง แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน วิธีการลดความเสี่ยงในการลงทุนคร่าวๆก็คือ ลงทุนกับคนซื่อสัตย์ (คุณต้องซื่อสัตย์กับเขาด้วย ) หรือไม่ก็ ลงทุนในความรู้
ข้อที่ 3 เงินเหลือเก็บในแต่ละเดือน ยิ่งเราเหลือเงินเก็บมากเท่าไหร่ เราก็สามารถนำไปลงทุนตามแผนการของเราได้มากขึ้นและเร็วขึ้นมากเท่านั้น “เงินเหลือเก็บ” จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยครับคือ จำนวนเงินที่คุณหาได้ และจำนวนเงินที่คุณใช้ไป ถ้าการมีอิสระภาพทางการเงินสำคัญที่สุดสำหรับคุณ การได้ไปเที่ยวต่างประเทศ การได้ไปช็อปปิ้งห้างหรู การได้กินอาหารชั้นเลิศ ก็น่าจะมีความสำคัญรองลงไป แต่เชื่อเถอะไม่ใช่สำหรับทุกคน เพราะสำหรับบางคน ต้องทำงานไปจนเกษียณก็ได้ แล้วหลังเกษียณก็อยู่อย่างจนๆ ก็ได้ แต่ขอมีความสุขในช่วงเวลานี้ก่อน ดังนั้นในขณะที่คุณพยายามประหยัดอย่างเต็มที่ แต่เพื่อนที่มีรายได้พอๆกับคุณทำตัวหรูหราตามกำลังทรัพย์ที่เขาหาได้ ก็ขอให้คุณอย่าไปวอกแวกครับ
อย่างที่ผมได้บอกไปแล้วว่า สิ่งสำคัญคือเงินเหลือเก็บ การประหยัดเป็นเพียงมาตรการเชิงรับเท่านั้น มาตรการเชิงรุกก็คือการหารายได้เพิ่ม การหารายได้เพิ่มก็อย่างเช่นการย้ายงานไปเรื่อยๆ แม้ว่าบริษัทส่วนมากจะให้เงินเดือนพอๆกัน ในงานลักษณะเดียวกันความรับผิดชอบเดียวกัน แต่เชื่อเถอะในโลกนี้มีบางบริษัทที่พร้อมจะจ่ายคุณมากกว่าที่เดิมของคุณแน่นอน หาให้เจอ แล้วสู้ไปให้เต็มที่ครับ
หากคุณอ่านจนจบ ถึงตรงนี้ ผมว่า คุณคงเป็นคนหนึ่งที่มี “ความต้องการ” ที่จะมีอิสระภาพทางการเงิน ขอให้คุณคำนึงถึงปัจจัยดังกล่าวให้รอบคอบแล้วเปลี่ยน “ความต้องการ” ให้กลายเป็น “เป้าหมาย” โดยการเพิ่ม วิธีทำ และ กำหนดเส้นตายลงไปใน “ความต้องการ” นั้น และทบทวนเป้าหมายนั้นทุกเดือน ทุกปี จนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย
คำถามสุดท้ายที่อยากฝากไว้คือ ... เมื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินแล้ว คุณอยากทำอะไรต่อไปครับ