
ปิดตำรา เปิดหลักสูตร 'สู่การมีงานทำ'
ปิดตำรา เปิดหลักสูตร 'สู่การมีงานทำ' : โดย...ทีมข่าวการศึกษา
เวทีเศรษฐกิจโลก World Economic Forum (WEF) รายงานขีดความสามารถในการแข่งขันด้านคุณภาพการศึกษา ปี 2555-2556 ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 8 ของอาเซียน สร้างความสั่นไหวต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับผลการจัดลำดับการศึกษาของ WEF เป็นอย่างมาก ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) อยู่ระหว่างการปรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานจาก 8 กลุ่มสาระ เป็น 6 กลุ่มความรู้ที่เน้นทักษะอาชีพ นี่คือโจทย์การศึกษาใหม่ในศตวรรษที่ 21
เฉกเช่นเดียวกับ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ที่ทำการศึกษาวิเคราะห์ผลการจัดการศึกษาของไทยแล้วพบว่า เด็กที่เรียนจบระดับอุดมศึกษามี 10% ได้งานทำตามสาขาที่จบ แต่ตกงานปีละ 2 แสนคน ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาด้านวิชาการ สสค. ได้เผยถึงผลการจัดลำดับคุณภาพการศึกษาของ WEF ที่ออกมาว่า ในความจริงน่าจะเป็นเหมือนกันทั่วโลก หลายประเทศยอมจำนน เพราะไปต่อไม่ไหวที่จะปฏิรูปการศึกษาขนานใหญ่ ทางออกภาครัฐไม่จัดการศึกษาตัวคนเดียว แต่หันไปดึงภาคเอกชน ชุมชน ท้องถิ่นเข้ามาช่วย
เหมือนกับครั้งนี้ ที่ สสค.ร่วมกับ ศธ.สนับสนุนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เชียงใหม่ เขต 2 (สพป.เชียงใหม่ 2) เป็นขุนพลในพื้นที่ปิดตำรา เปิดหลักสูตร "สู่การมีงานทำ" จึงเป็นที่มาของ 9 โรงเรียน ที่บรรจุหลักสูตรทักษะอาชีพแล้ว จาก 30 โรงเรียนนำร่อง ใน 157 โรงเรียนทั่วทั้งเขตพื้นที่ พร้อมปรับเขตพื้นที่ฯ เป็น “สหกรณ์ศูนย์การแสดงสินค้าและผลิตภัณฑ์ฝีมือนักเรียน” เพื่อเป็นตัวกลางเชื่อมโยงสินค้าและบริการจากนักเรียนเชื่อมต่อภาคธุรกิจ
“โจทย์ใหม่ที่ท้าทาย หากจะงัดตนเองขึ้นมาจากลำดับ 8 ในอาเซียน ต้องเน้นเรื่องทักษะชีวิตและมีงานทำ เข้าสู่โลกของการทำงานจริงๆ แต่ไม่ใช่แย่งการจัดการศึกษาของอาชีวะ เพราะเราจะทำให้เด็กเรียนอาชีวะมากขึ้น เมื่อเด็กรู้ว่าเท่กว่าเยอะที่จบออกมาแล้วมีงานทำ ดีกว่ามหาวิทยาลัยซึ่งมีเด็ก 40% จบ แต่มี 10% ได้งานทำตามสาขาที่จบ แต่ตกงานปีละ 2 แสนคน ค้านกับความต้องการของตลาดแรงงาน
จึงเป็นที่มาว่าทำไมภาครัฐจึงหยุดจัดการศึกษาเพียงตัวคนเดียว แต่หันมาให้อำนาจแก่พื้นที่ ด้วยการสร้างขุนพลน้อยๆ คือ ผอ.เขตพื้นที่ฯ, ผอ.โรงเรียน, โดยดึงภาคเอกชน ท้องถิ่น ชุมชนขึ้นมาช่วยกันจัดการศึกษา ซึ่งเป็นการจัดการในระดับพื้นที่ ต่อไปนี้เชื่อว่าคนไทยไม่อยากฟังความต่ำต้อยในการจัดการศึกษาของไทยอีกแล้ว เมื่อริเริ่มที่ดีแล้วอยากให้ตีแผ่ให้กว้างมากขึ้น” ดร.อมรวิชช์ กล่าว
ดร.อมรวิชช์ ชี้แนะว่า การจัดการศึกษาที่ดีไม่ใช่เรื่องลึกลับ เหมือนการวิ่งผลัดสี่คูณร้อยเมตร เช่น ไม้ผลัดแรกการจัดการศึกษาปฐมวัย แรกเกิดถึง 3 ปี พบว่าพัฒนาการสมองและการเรียนรู้ของเด็กล่าช้าสูงถึง 31% เพราะปัญหาแม่วัยรุ่น เด็กถูกทิ้งให้อยู่กับปู่ย่าตายาย ส่งผลให้การพูด การเดินช้าลง เห็นชัดว่าไม้ผลัดแรกยังทำได้ไม่ดี ไม่ผลัดที่ 2 การศึกษาขั้นพื้นฐาน 9 ปี การจัดการศึกษาแบบกรอบเดียว วัดผลสัมฤทธิ์ด้วยตัวชี้วัดที่ไม่สอดคล้องกับบริบทการเรียน และมุ่งให้เด็กสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่พื้นฐานแค่การอ่านออก เขียนได้ เด็กยังทำไม่ได้ ทำให้เด็ก 35% หลุดออกจากระบบการศึกษา ดังนั้นการจัดศึกษาที่ดีไม่ใช่เรื่องฟลุกต้องตอบโจทย์ชีวิตของเด็กและโลกของงานให้ได้
ด้าน สินอาจ ลำพูนพงศ์ ผู้อำนวยการ สพป.เชียงใหม่ เขต 2 กล่าวว่า โรงเรียนในสังกัดของ สพป.เชียงใหม่ เขต 2 อยู่ในพื้นที่สูงมีเด็กชนเผ่าจำนวนมาก การจัดการเรียนการสอนที่เน้นวิชาการอย่างเดียว ไม่ประสบความสำเร็จและสูญเปล่า แต่หลักสูตรที่ส่งเสริมและจัดการให้เป็นระบบ โดยร่วมมือกับชุมชน ท้องถิ่น เครือข่ายภาคธุรกิจช่วยกันคิด พัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้โดยการปฏิบัติจริง ทั้งการชั่ง ตวง วัด เศษส่วน ทำให้เด็กเข้าใจได้ดีขึ้นมากกว่าการสอนบนกระดาน เพียงครูจับหลักวิธีการสอนได้ถูกทาง ความสำเร็จที่เกิดขึ้น พบว่าอัตราการเรียนต่อจาก 0% เป็น 100 % ที่สำตัญภาคเอกชน ธุรกิจ ยินดีเข้ามาช่วย<
ณรงค์ อภัยใจ ผอ.ร.ร.บ้านเมืองกื้ด หนึ่งในโรงเรียนนำร่องที่ใช้ “อาชีพ” เป็นตัวดึงเด็กกลับเข้าห้อง และสร้างรายได้ระหว่างเรียนมากว่า 5 ปีสะท้อนว่า การสร้างเครือข่ายเพื่อการสอนทักษะอาชีพให้แก่เด็กเป็นสิ่งสำคัญมาก ตั้งแต่เครือข่ายระหว่างโรงเรียนกับโรงเรียน สถานประกอบการ วิทยาลัยอาชีวศึกษาในท้องถิ่น โดยเฉพาะการปลดล็อกกติกา หรือกฎกระทรวงที่เป็นอุปสรรคต่อการจัดกิจกรรมด้านทักษะอาชีพในโรงเรียน
ดร.รังสรรค์ วิบูลย์อุปถัมภ์ หัวหน้าฝ่ายการศึกษาองค์กรยูนิเซฟ ประเทศไทย เสริมว่า การศึกษาเพื่อการสร้างทักษะวิชาชีพต้องไม่ละเลย “ความสำคัญของวิชาสามัญ” ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้ เพราะการสร้างทักษะมีหลายระดับ ทั้งทักษะพื้นฐาน ทักษะการประยุกต์ และทักษะวิชาชีพ เพราะหากฐานรากไม่แข็งแรงแล้วเด็กจะคิดต่อยอดไม่ได้
ขณะที่ ดร.คุณหญิง กษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ในฐานะประธานแก้ปัญหาเรื่องทักษะอาชีพ เผยว่า เป็นความสุขใจที่สะท้อนให้เห็นภาพความสุขของเด็กๆ ผ่านกระบวนการปฏิบัติการเรียนวิชาชีพในโรงเรียน ซึ่งการสอนวิชาชีพในโรงเรียนเกิดมานานแล้ว แต่ความสำคัญอยู่ที่วิธีการสอน ซึ่งการที่เขตพื้นที่ฯ สร้างเครือข่ายผู้นำการเรียนรู้สู่ทักษะชีวิต และโลกของงาน ด้วยการเชิญผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม ภาคประชาสังคม เข้ามามีส่วนร่วม และบูรณาการเรียนการสอนร่วมกัน เพื่อให้เด็กเกิดทักษะอาชีพช่วยพัฒนาการศึกษาของชาติ
"แต่ถ้าจะก้าวไปไกลว่านี้ ทุกคนต้องร่วมกันผลักดัน อยากฝากไว้กับการศึกษาไทย เช่น ประเด็นกรณีศึกษาเรื่องไอโฟนที่ออกมาใหม่ในแต่ละรุ่น หากถามเด็กเวียดนาม เขาจะอยากรู้ทันทีว่าโรงงานที่ผลิตจะมาตั้งในประเทศของเขาหรือไม่ ส่วนเด็กสิงคโปร์ถามว่าเขาจะมีโอกาสเขียนแอพพลิเคชั่นตัวใหม่หรือไม่ ส่วนเด็กไทยถามว่าจะผลิตออกมาเมื่อไร จะได้ไปซื้อ สะท้อนอะไรบางอย่างที่ขาดหายไปจากการเรียนการสอน ทำอย่างไรที่จะทำให้เด็กไทยคิดใหม่ได้" ดร.คุณหญิง กษมา กล่าวทิ้งท้าย
โจทย์การศึกษาใหม่ในศตวรรษที่ 21 ไม่เพียงแต่มุ่งเรียนรู้คู่ทักษะอาชีพ แต่ต้องเน้นให้เด็กไทย "คิดเป็น" ด้วยเน้อ !!
.............................
(ปิดตำรา เปิดหลักสูตร 'สู่การมีงานทำ' : โดย...ทีมข่าวการศึกษา)
ที่มา :
http://www.komchadluek.net/detail/20130918/168460/%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B3.html#.UjmTqtKGGTw
ปิดตำรา เปิดหลักสูตร 'สู่การมีงานทำ'
ปิดตำรา เปิดหลักสูตร 'สู่การมีงานทำ'
ปิดตำรา เปิดหลักสูตร 'สู่การมีงานทำ' : โดย...ทีมข่าวการศึกษา
เวทีเศรษฐกิจโลก World Economic Forum (WEF) รายงานขีดความสามารถในการแข่งขันด้านคุณภาพการศึกษา ปี 2555-2556 ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 8 ของอาเซียน สร้างความสั่นไหวต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับผลการจัดลำดับการศึกษาของ WEF เป็นอย่างมาก ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) อยู่ระหว่างการปรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานจาก 8 กลุ่มสาระ เป็น 6 กลุ่มความรู้ที่เน้นทักษะอาชีพ นี่คือโจทย์การศึกษาใหม่ในศตวรรษที่ 21
เฉกเช่นเดียวกับ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ที่ทำการศึกษาวิเคราะห์ผลการจัดการศึกษาของไทยแล้วพบว่า เด็กที่เรียนจบระดับอุดมศึกษามี 10% ได้งานทำตามสาขาที่จบ แต่ตกงานปีละ 2 แสนคน ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาด้านวิชาการ สสค. ได้เผยถึงผลการจัดลำดับคุณภาพการศึกษาของ WEF ที่ออกมาว่า ในความจริงน่าจะเป็นเหมือนกันทั่วโลก หลายประเทศยอมจำนน เพราะไปต่อไม่ไหวที่จะปฏิรูปการศึกษาขนานใหญ่ ทางออกภาครัฐไม่จัดการศึกษาตัวคนเดียว แต่หันไปดึงภาคเอกชน ชุมชน ท้องถิ่นเข้ามาช่วย
เหมือนกับครั้งนี้ ที่ สสค.ร่วมกับ ศธ.สนับสนุนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เชียงใหม่ เขต 2 (สพป.เชียงใหม่ 2) เป็นขุนพลในพื้นที่ปิดตำรา เปิดหลักสูตร "สู่การมีงานทำ" จึงเป็นที่มาของ 9 โรงเรียน ที่บรรจุหลักสูตรทักษะอาชีพแล้ว จาก 30 โรงเรียนนำร่อง ใน 157 โรงเรียนทั่วทั้งเขตพื้นที่ พร้อมปรับเขตพื้นที่ฯ เป็น “สหกรณ์ศูนย์การแสดงสินค้าและผลิตภัณฑ์ฝีมือนักเรียน” เพื่อเป็นตัวกลางเชื่อมโยงสินค้าและบริการจากนักเรียนเชื่อมต่อภาคธุรกิจ
“โจทย์ใหม่ที่ท้าทาย หากจะงัดตนเองขึ้นมาจากลำดับ 8 ในอาเซียน ต้องเน้นเรื่องทักษะชีวิตและมีงานทำ เข้าสู่โลกของการทำงานจริงๆ แต่ไม่ใช่แย่งการจัดการศึกษาของอาชีวะ เพราะเราจะทำให้เด็กเรียนอาชีวะมากขึ้น เมื่อเด็กรู้ว่าเท่กว่าเยอะที่จบออกมาแล้วมีงานทำ ดีกว่ามหาวิทยาลัยซึ่งมีเด็ก 40% จบ แต่มี 10% ได้งานทำตามสาขาที่จบ แต่ตกงานปีละ 2 แสนคน ค้านกับความต้องการของตลาดแรงงาน
จึงเป็นที่มาว่าทำไมภาครัฐจึงหยุดจัดการศึกษาเพียงตัวคนเดียว แต่หันมาให้อำนาจแก่พื้นที่ ด้วยการสร้างขุนพลน้อยๆ คือ ผอ.เขตพื้นที่ฯ, ผอ.โรงเรียน, โดยดึงภาคเอกชน ท้องถิ่น ชุมชนขึ้นมาช่วยกันจัดการศึกษา ซึ่งเป็นการจัดการในระดับพื้นที่ ต่อไปนี้เชื่อว่าคนไทยไม่อยากฟังความต่ำต้อยในการจัดการศึกษาของไทยอีกแล้ว เมื่อริเริ่มที่ดีแล้วอยากให้ตีแผ่ให้กว้างมากขึ้น” ดร.อมรวิชช์ กล่าว
ดร.อมรวิชช์ ชี้แนะว่า การจัดการศึกษาที่ดีไม่ใช่เรื่องลึกลับ เหมือนการวิ่งผลัดสี่คูณร้อยเมตร เช่น ไม้ผลัดแรกการจัดการศึกษาปฐมวัย แรกเกิดถึง 3 ปี พบว่าพัฒนาการสมองและการเรียนรู้ของเด็กล่าช้าสูงถึง 31% เพราะปัญหาแม่วัยรุ่น เด็กถูกทิ้งให้อยู่กับปู่ย่าตายาย ส่งผลให้การพูด การเดินช้าลง เห็นชัดว่าไม้ผลัดแรกยังทำได้ไม่ดี ไม่ผลัดที่ 2 การศึกษาขั้นพื้นฐาน 9 ปี การจัดการศึกษาแบบกรอบเดียว วัดผลสัมฤทธิ์ด้วยตัวชี้วัดที่ไม่สอดคล้องกับบริบทการเรียน และมุ่งให้เด็กสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่พื้นฐานแค่การอ่านออก เขียนได้ เด็กยังทำไม่ได้ ทำให้เด็ก 35% หลุดออกจากระบบการศึกษา ดังนั้นการจัดศึกษาที่ดีไม่ใช่เรื่องฟลุกต้องตอบโจทย์ชีวิตของเด็กและโลกของงานให้ได้
ด้าน สินอาจ ลำพูนพงศ์ ผู้อำนวยการ สพป.เชียงใหม่ เขต 2 กล่าวว่า โรงเรียนในสังกัดของ สพป.เชียงใหม่ เขต 2 อยู่ในพื้นที่สูงมีเด็กชนเผ่าจำนวนมาก การจัดการเรียนการสอนที่เน้นวิชาการอย่างเดียว ไม่ประสบความสำเร็จและสูญเปล่า แต่หลักสูตรที่ส่งเสริมและจัดการให้เป็นระบบ โดยร่วมมือกับชุมชน ท้องถิ่น เครือข่ายภาคธุรกิจช่วยกันคิด พัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้โดยการปฏิบัติจริง ทั้งการชั่ง ตวง วัด เศษส่วน ทำให้เด็กเข้าใจได้ดีขึ้นมากกว่าการสอนบนกระดาน เพียงครูจับหลักวิธีการสอนได้ถูกทาง ความสำเร็จที่เกิดขึ้น พบว่าอัตราการเรียนต่อจาก 0% เป็น 100 % ที่สำตัญภาคเอกชน ธุรกิจ ยินดีเข้ามาช่วย<
ณรงค์ อภัยใจ ผอ.ร.ร.บ้านเมืองกื้ด หนึ่งในโรงเรียนนำร่องที่ใช้ “อาชีพ” เป็นตัวดึงเด็กกลับเข้าห้อง และสร้างรายได้ระหว่างเรียนมากว่า 5 ปีสะท้อนว่า การสร้างเครือข่ายเพื่อการสอนทักษะอาชีพให้แก่เด็กเป็นสิ่งสำคัญมาก ตั้งแต่เครือข่ายระหว่างโรงเรียนกับโรงเรียน สถานประกอบการ วิทยาลัยอาชีวศึกษาในท้องถิ่น โดยเฉพาะการปลดล็อกกติกา หรือกฎกระทรวงที่เป็นอุปสรรคต่อการจัดกิจกรรมด้านทักษะอาชีพในโรงเรียน
ดร.รังสรรค์ วิบูลย์อุปถัมภ์ หัวหน้าฝ่ายการศึกษาองค์กรยูนิเซฟ ประเทศไทย เสริมว่า การศึกษาเพื่อการสร้างทักษะวิชาชีพต้องไม่ละเลย “ความสำคัญของวิชาสามัญ” ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้ เพราะการสร้างทักษะมีหลายระดับ ทั้งทักษะพื้นฐาน ทักษะการประยุกต์ และทักษะวิชาชีพ เพราะหากฐานรากไม่แข็งแรงแล้วเด็กจะคิดต่อยอดไม่ได้
ขณะที่ ดร.คุณหญิง กษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ในฐานะประธานแก้ปัญหาเรื่องทักษะอาชีพ เผยว่า เป็นความสุขใจที่สะท้อนให้เห็นภาพความสุขของเด็กๆ ผ่านกระบวนการปฏิบัติการเรียนวิชาชีพในโรงเรียน ซึ่งการสอนวิชาชีพในโรงเรียนเกิดมานานแล้ว แต่ความสำคัญอยู่ที่วิธีการสอน ซึ่งการที่เขตพื้นที่ฯ สร้างเครือข่ายผู้นำการเรียนรู้สู่ทักษะชีวิต และโลกของงาน ด้วยการเชิญผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม ภาคประชาสังคม เข้ามามีส่วนร่วม และบูรณาการเรียนการสอนร่วมกัน เพื่อให้เด็กเกิดทักษะอาชีพช่วยพัฒนาการศึกษาของชาติ
"แต่ถ้าจะก้าวไปไกลว่านี้ ทุกคนต้องร่วมกันผลักดัน อยากฝากไว้กับการศึกษาไทย เช่น ประเด็นกรณีศึกษาเรื่องไอโฟนที่ออกมาใหม่ในแต่ละรุ่น หากถามเด็กเวียดนาม เขาจะอยากรู้ทันทีว่าโรงงานที่ผลิตจะมาตั้งในประเทศของเขาหรือไม่ ส่วนเด็กสิงคโปร์ถามว่าเขาจะมีโอกาสเขียนแอพพลิเคชั่นตัวใหม่หรือไม่ ส่วนเด็กไทยถามว่าจะผลิตออกมาเมื่อไร จะได้ไปซื้อ สะท้อนอะไรบางอย่างที่ขาดหายไปจากการเรียนการสอน ทำอย่างไรที่จะทำให้เด็กไทยคิดใหม่ได้" ดร.คุณหญิง กษมา กล่าวทิ้งท้าย
โจทย์การศึกษาใหม่ในศตวรรษที่ 21 ไม่เพียงแต่มุ่งเรียนรู้คู่ทักษะอาชีพ แต่ต้องเน้นให้เด็กไทย "คิดเป็น" ด้วยเน้อ !!
.............................
(ปิดตำรา เปิดหลักสูตร 'สู่การมีงานทำ' : โดย...ทีมข่าวการศึกษา)
ที่มา : http://www.komchadluek.net/detail/20130918/168460/%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B3.html#.UjmTqtKGGTw