http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1379486004
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รีล มาดริด สโมสรฟุตบอลที่มั่งคั่งที่สุดในโลก แถลงข่าวด้วยความปลาบปลื้มยินดีหลังจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกซุป′ตาร์ชาวโปรตุเกสตกลงใจต่อสัญญาค้าแข้งในถิ่นซานเตียโก้ เบร์นาเบว ออกไปจนถึงปี 2018
สัญญาฉบับใหม่ระยะเวลา 5 ปี มีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขเรื่องค่าตอบแทน ซึ่งคำนวณเบ็ดเสร็จหลังจ่ายภาษีแล้ว โรนัลโด้จะได้ค่าเหนื่อยเน็ตๆ ตกสัปดาห์ละ 288,000 ปอนด์ หรือ 14.4 ล้านบาท ส่งให้เขากลายเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่ได้ค่าเหนื่อยสูงที่สุดในโลกแซงหน้า ลิโอเนล เมสซี่ แข้งเทพของ บาร์เซโลน่า คู่แค้นร่วมลีก ที่ได้ปีละ 13.41 ล้านปอนด์ (670.5 ล้านบาท) ในทันที
ในการนี้ หนังสือพิมพ์ เดลี่ เมล ของอังกฤษ จึงย้อนปูมประวัติศาสตร์วงการลูกหนังโลกเพื่อดูวิวัฒนาการเรื่องค่าเหนื่อยนักฟุตบอลอาชีพว่า มาไกลจนน่าตกใจขนาดไหน
ในยุคบุกเบิกนั้น ทีมฟุตบอลเกิดขึ้นจากการรวมตัวของคนในท้องถิ่นที่มีใจรักหรือต้องการมีทีมฟุตบอลเป็นตัวแทนของเมือง เรื่องค่าเหนื่อยค่าตอบแทนจึงไม่ใช่ประเด็น หรือถ้าจะมีก็มีการกำหนดเพดานเงินเดือนเอาไว้ที่
20 ปอนด์ต่อสัปดาห์ และยึดถือหลักการนี้มาจนกระทั่งถึงเดือนมกราคมปี 1961 ซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญขึ้นเมื่อ สมาคมนักฟุตบอลอาชีพแห่งอังกฤษ (พีเอฟเอ) ประชุมหารือกันเพื่อเพิ่มเพดานเงินเดือน
ตอนนั้นเกิดกระแสต่อต้านอย่างโกรธแค้นพอสมควรเนื่องจากสมาชิกบางส่วนไม่ต้องการให้นักเตะมีรายได้สูงกว่าพวกชาวเหมืองที่เป็นกลุ่มใช้แรงงานกำลังหลักของประเทศกระทั่ง ทอมมี่ แบงก์ส ตัวแทนจากทีม โบลตัน ซึ่งเป็นชาวเหมืองเช่นกัน ลุกขึ้นกล่าวกับที่ประชุมว่า คนงานเหมืองถือเป็นอาชีพที่น่าชื่นชมก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไปเทียบชั้นกับตำนานแข้งอย่าง สแตนลีย์ แมทธิว (สตาร์ดังเมืองผู้ดีจากยุค 30-60) ได้
สุนทรพจน์ดังกล่าวนำมาซึ่งมีมติเอกฉันท์ให้เพิ่มเพดานเงินเดือนของนักเตะของพีเอฟเอแทบจะในทันที
และฟูแล่ม เป็นทีมแรกที่ขยับตัวเรื่องนี้จริงๆ จังๆ ด้วยการเพิ่มค่าเหนื่อยให้ จอห์นนี่ เฮย์นส์ กองหน้าผู้เป็นตำนานของทีม (ซึ่งอายุ 26 ปีในขณะนั้น) เป็น
สัปดาห์ละ 100 ปอนด์
ต่อมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล ที่เคยยืนกรานว่าจะยึดกฎเดิม 20 ปอนด์ ก็ต้องกลืนน้ำลายตัวเองตามไปเช่นกัน และ จอร์จ เบสต์ แข้งอัจฉริยะของปีศาจแดงก็กลายเป็นนักฟุตบอลคนแรกของโลกที่ได้ค่าเหนื่อยถึง
สัปดาห์ละ 1,000 ปอนด์ ในปี 1968
ช่วงเดียวกันนั้น สโมสรของอิตาลีเริ่มเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเพิ่มค่าเหนื่อยให้นักเตะเพื่อดึงดูดสตาร์ดังชาวต่างชาติไปร่วมทีมอาทิ เดนิส ลอว์ (โตริโน่) และ จิมมี่ กรีฟส์ (เอซี มิลาน) จนเกิดสงครามการเงินย่อมๆ ระหว่างทีมจากต่างลีก ส่งผลให้ค่าเหนื่อยนักฟุตบอลถูกอัพขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเทรนด์ไปแล้ว
ในปี 1980 โรม่า จากกัลโช่ เซเรียอา ทำให้ ฟัลเกา แข้งบราซิเลียน เป็นนักเตะคนแรกของโลกที่ได้ค่าเหนื่อยถึง
10,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ และหลังจากนั้นอีก 10 ปี โรแบร์โต้ บาจโจ้ เจ้าของฉายา "เปียทองคำ" ของทีมอัซซูรี่ก็เป็นนักเตะคนแรกที่ได้ค่าตอบแทน
สัปดาห์ละ50,000 ปอนด์ หลังเซ็นสัญญาย้ายจาก ฟิออเรนติน่า สู่คู่ปรับสำคัญอย่าง ยูเวนตุส
กระทั่งถึงปี 1995 เมื่อเกิด กฎบอสแมน ซึ่งเปิดโอกาสให้นักเตะสามารถย้ายทีมได้แบบไม่มีค่าตัวเมื่อสัญญาปัจจุบันสิ้นสุดลง (จากเดิมที่หลายๆ สโมสรจะขวางไม่ให้ผู้เล่นย้ายไปเล่นนอกประเทศแม้สัญญาจะหมดลงแล้ว) ทำให้อำนาจต่อรองเรื่องการย้ายทีมเปลี่ยนมือจากสโมสรไปสู่นักเตะทันที และกลายเป็นสวรรค์ของบรรดาเอเยนต์ที่จะต่อรองเพิ่มมูลค่าให้กับนายจ้างของตัวเอง
และจากกฎดังกล่าวนี่เองที่ทำให้โซล แคมป์เบลล์ ย้ายจาก ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ สู่คู่ปรับร่วมเมืองอย่าง อาร์เซน่อล เมื่อปี 2001 แบบฟรีๆ โดยปืนใหญ่สามารถนำเงินค่าตัวที่ไม่ต้องเสียมาทุ่มเป็นค่าเหนื่อยได้ และ "บิ๊กโซล" ก็กลายเป็นนักเตะคนแรกที่ได้ค่าเหนื่อยถึง
100,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ในตอนนั้นเอง
หลังจากนั้น เมื่อวงการลูกหนังไปเกี่ยวโยงกับโลกธุรกิจอย่างเต็มตัว เมื่อมีเรื่องของสิทธิประโยชน์และลิขสิทธิ์ถ่ายทอดเข้ามาเกี่ยว อีกทั้งพวกมหาเศรษฐีเจ้าของทีมก็พร้อมทุ่มทุนไม่อั้นเพื่อซื้อความสำเร็จ ทำให้นักเตะเก่งๆ ดังๆ เริ่มต่อรองเพิ่มค่าเหนื่อยมากขึ้น พอคนหนึ่งได้ อีกคนก็อยากได้ตาม กลายเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ทำให้ค่าตอบแทนของเหล่านักฟุตบอลพุ่งกระฉูด
ปี 2009 คาร์ลอส เตเวซ ดาวยิงชาวอาร์เจนไตน์ ได้ค่าเหนื่อยจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้
สัปดาห์ละ 200,000 ปอนด์ เป็นคนแรกของโลก และหลังจากนั้นอีกปีเดียว เวย์น รูนี่ย์ ที่ทำท่าจะย้ายข้ามห้วยสู่ทีมเรือใบสีฟ้า ก็ได้แรงจูงใจให้อยู่ต่อจากปีศาจแดงต้นสังกัดเป็นเงิน
250,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์
ผ่านไป 3 ปี เราก็มีสถิติของโรนัลโด้มาให้ฮือฮา แต่กระนั้นก็เชื่อขนมกินได้ว่า ยังต้องมีตัวเลขที่น่าตื่นตาตื่นใจกว่านี้ตามมาในอนาคตอย่างแน่นอน
ท้ายที่สุด เดลี่ เมล ยังได้มองย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงค่าเหนื่อยนักเตะเมื่อปี 1961 พร้อมเปรียบเทียบให้ดูว่า จากตอนนั้นถึงตอนนี้ ค่าตอบแทนของนักฟุตบอลอาชีพ เพิ่มขึ้นถึง 1,439,900 เปอร์เซ็นต์!
และยิ่งน่าตกตะลึงมากขึ้นหากนำไปเทียบกับค่าเหนื่อยคนงานเหมือง (ที่เคยโดนเปรียบเทียบในยุคนั้น) จากปี 1961 ถึงปัจจุบัน ที่เพิ่มขึ้นราว 6,037 เปอร์เซ็นต์
...เป็นข้อเท็จจริงที่น่า "ตกใจ" แต่ไม่น่า "แปลกใจ" แม้แต่นิดเดียว!
ท็อป 8 นักฟุตบอลอาชีพที่ได้ค่าเหนื่อยสูงที่สุดในโลก
1.คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (รีล มาดริด) ปีละ 15 ล้านปอนด์ (750 ล้านบาท)
2.ลิโอเนล เมสซี่ (บาร์เซโลน่า) ปีละ 13.41 ล้านปอนด์ (670.5 ล้านบาท)
3.เนย์มาร์ (บาร์เซโลน่า) ปีละ 12.57 ล้านปอนด์ (628.5 ล้านบาท)
4.ซลาตัน อิบราฮิโมวิช (ปารีส แซงต์แชร์แมง) ปีละ 12.16 ล้านปอนด์ (608 ล้านบาท)
5.ราดาเมล ฟัลเกา (โมนาโก ) ปีละ 11.74 ล้านปอนด์ (587 ล้านบาท)
6.เวย์น รูนี่ย์ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) ปีละ 11.57 ล้านปอนด์ (578.5 ล้านบาท)
7.เซร์คิโอ้ อากูเอโร่ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้) ปีละ 11.31 ล้านปอนด์ (565.5 ล้านบาท)
8.ยาย่า ตูเร่ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้) ปีละ 10.90 ล้านปอนด์ (545 ล้านบาท)
*edit เพิ่ม ท็อป 8 นักฟุตบอลอาชีพที่ได้ค่าเหนื่อยสูงที่สุดในโลก
วิวัฒนาการค่าเหนื่อยแข้งอาชีพ (ประชาชาติธุรกิจ)
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รีล มาดริด สโมสรฟุตบอลที่มั่งคั่งที่สุดในโลก แถลงข่าวด้วยความปลาบปลื้มยินดีหลังจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกซุป′ตาร์ชาวโปรตุเกสตกลงใจต่อสัญญาค้าแข้งในถิ่นซานเตียโก้ เบร์นาเบว ออกไปจนถึงปี 2018
สัญญาฉบับใหม่ระยะเวลา 5 ปี มีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขเรื่องค่าตอบแทน ซึ่งคำนวณเบ็ดเสร็จหลังจ่ายภาษีแล้ว โรนัลโด้จะได้ค่าเหนื่อยเน็ตๆ ตกสัปดาห์ละ 288,000 ปอนด์ หรือ 14.4 ล้านบาท ส่งให้เขากลายเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่ได้ค่าเหนื่อยสูงที่สุดในโลกแซงหน้า ลิโอเนล เมสซี่ แข้งเทพของ บาร์เซโลน่า คู่แค้นร่วมลีก ที่ได้ปีละ 13.41 ล้านปอนด์ (670.5 ล้านบาท) ในทันที
ในการนี้ หนังสือพิมพ์ เดลี่ เมล ของอังกฤษ จึงย้อนปูมประวัติศาสตร์วงการลูกหนังโลกเพื่อดูวิวัฒนาการเรื่องค่าเหนื่อยนักฟุตบอลอาชีพว่า มาไกลจนน่าตกใจขนาดไหน
ในยุคบุกเบิกนั้น ทีมฟุตบอลเกิดขึ้นจากการรวมตัวของคนในท้องถิ่นที่มีใจรักหรือต้องการมีทีมฟุตบอลเป็นตัวแทนของเมือง เรื่องค่าเหนื่อยค่าตอบแทนจึงไม่ใช่ประเด็น หรือถ้าจะมีก็มีการกำหนดเพดานเงินเดือนเอาไว้ที่ 20 ปอนด์ต่อสัปดาห์ และยึดถือหลักการนี้มาจนกระทั่งถึงเดือนมกราคมปี 1961 ซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญขึ้นเมื่อ สมาคมนักฟุตบอลอาชีพแห่งอังกฤษ (พีเอฟเอ) ประชุมหารือกันเพื่อเพิ่มเพดานเงินเดือน
ตอนนั้นเกิดกระแสต่อต้านอย่างโกรธแค้นพอสมควรเนื่องจากสมาชิกบางส่วนไม่ต้องการให้นักเตะมีรายได้สูงกว่าพวกชาวเหมืองที่เป็นกลุ่มใช้แรงงานกำลังหลักของประเทศกระทั่ง ทอมมี่ แบงก์ส ตัวแทนจากทีม โบลตัน ซึ่งเป็นชาวเหมืองเช่นกัน ลุกขึ้นกล่าวกับที่ประชุมว่า คนงานเหมืองถือเป็นอาชีพที่น่าชื่นชมก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไปเทียบชั้นกับตำนานแข้งอย่าง สแตนลีย์ แมทธิว (สตาร์ดังเมืองผู้ดีจากยุค 30-60) ได้
สุนทรพจน์ดังกล่าวนำมาซึ่งมีมติเอกฉันท์ให้เพิ่มเพดานเงินเดือนของนักเตะของพีเอฟเอแทบจะในทันที
และฟูแล่ม เป็นทีมแรกที่ขยับตัวเรื่องนี้จริงๆ จังๆ ด้วยการเพิ่มค่าเหนื่อยให้ จอห์นนี่ เฮย์นส์ กองหน้าผู้เป็นตำนานของทีม (ซึ่งอายุ 26 ปีในขณะนั้น) เป็นสัปดาห์ละ 100 ปอนด์
ต่อมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล ที่เคยยืนกรานว่าจะยึดกฎเดิม 20 ปอนด์ ก็ต้องกลืนน้ำลายตัวเองตามไปเช่นกัน และ จอร์จ เบสต์ แข้งอัจฉริยะของปีศาจแดงก็กลายเป็นนักฟุตบอลคนแรกของโลกที่ได้ค่าเหนื่อยถึงสัปดาห์ละ 1,000 ปอนด์ ในปี 1968
ช่วงเดียวกันนั้น สโมสรของอิตาลีเริ่มเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเพิ่มค่าเหนื่อยให้นักเตะเพื่อดึงดูดสตาร์ดังชาวต่างชาติไปร่วมทีมอาทิ เดนิส ลอว์ (โตริโน่) และ จิมมี่ กรีฟส์ (เอซี มิลาน) จนเกิดสงครามการเงินย่อมๆ ระหว่างทีมจากต่างลีก ส่งผลให้ค่าเหนื่อยนักฟุตบอลถูกอัพขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเทรนด์ไปแล้ว
ในปี 1980 โรม่า จากกัลโช่ เซเรียอา ทำให้ ฟัลเกา แข้งบราซิเลียน เป็นนักเตะคนแรกของโลกที่ได้ค่าเหนื่อยถึง 10,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ และหลังจากนั้นอีก 10 ปี โรแบร์โต้ บาจโจ้ เจ้าของฉายา "เปียทองคำ" ของทีมอัซซูรี่ก็เป็นนักเตะคนแรกที่ได้ค่าตอบแทน สัปดาห์ละ50,000 ปอนด์ หลังเซ็นสัญญาย้ายจาก ฟิออเรนติน่า สู่คู่ปรับสำคัญอย่าง ยูเวนตุส
กระทั่งถึงปี 1995 เมื่อเกิด กฎบอสแมน ซึ่งเปิดโอกาสให้นักเตะสามารถย้ายทีมได้แบบไม่มีค่าตัวเมื่อสัญญาปัจจุบันสิ้นสุดลง (จากเดิมที่หลายๆ สโมสรจะขวางไม่ให้ผู้เล่นย้ายไปเล่นนอกประเทศแม้สัญญาจะหมดลงแล้ว) ทำให้อำนาจต่อรองเรื่องการย้ายทีมเปลี่ยนมือจากสโมสรไปสู่นักเตะทันที และกลายเป็นสวรรค์ของบรรดาเอเยนต์ที่จะต่อรองเพิ่มมูลค่าให้กับนายจ้างของตัวเอง
และจากกฎดังกล่าวนี่เองที่ทำให้โซล แคมป์เบลล์ ย้ายจาก ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ สู่คู่ปรับร่วมเมืองอย่าง อาร์เซน่อล เมื่อปี 2001 แบบฟรีๆ โดยปืนใหญ่สามารถนำเงินค่าตัวที่ไม่ต้องเสียมาทุ่มเป็นค่าเหนื่อยได้ และ "บิ๊กโซล" ก็กลายเป็นนักเตะคนแรกที่ได้ค่าเหนื่อยถึง 100,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ในตอนนั้นเอง
หลังจากนั้น เมื่อวงการลูกหนังไปเกี่ยวโยงกับโลกธุรกิจอย่างเต็มตัว เมื่อมีเรื่องของสิทธิประโยชน์และลิขสิทธิ์ถ่ายทอดเข้ามาเกี่ยว อีกทั้งพวกมหาเศรษฐีเจ้าของทีมก็พร้อมทุ่มทุนไม่อั้นเพื่อซื้อความสำเร็จ ทำให้นักเตะเก่งๆ ดังๆ เริ่มต่อรองเพิ่มค่าเหนื่อยมากขึ้น พอคนหนึ่งได้ อีกคนก็อยากได้ตาม กลายเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ทำให้ค่าตอบแทนของเหล่านักฟุตบอลพุ่งกระฉูด
ปี 2009 คาร์ลอส เตเวซ ดาวยิงชาวอาร์เจนไตน์ ได้ค่าเหนื่อยจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สัปดาห์ละ 200,000 ปอนด์ เป็นคนแรกของโลก และหลังจากนั้นอีกปีเดียว เวย์น รูนี่ย์ ที่ทำท่าจะย้ายข้ามห้วยสู่ทีมเรือใบสีฟ้า ก็ได้แรงจูงใจให้อยู่ต่อจากปีศาจแดงต้นสังกัดเป็นเงิน 250,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์
ผ่านไป 3 ปี เราก็มีสถิติของโรนัลโด้มาให้ฮือฮา แต่กระนั้นก็เชื่อขนมกินได้ว่า ยังต้องมีตัวเลขที่น่าตื่นตาตื่นใจกว่านี้ตามมาในอนาคตอย่างแน่นอน
ท้ายที่สุด เดลี่ เมล ยังได้มองย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงค่าเหนื่อยนักเตะเมื่อปี 1961 พร้อมเปรียบเทียบให้ดูว่า จากตอนนั้นถึงตอนนี้ ค่าตอบแทนของนักฟุตบอลอาชีพ เพิ่มขึ้นถึง 1,439,900 เปอร์เซ็นต์!
และยิ่งน่าตกตะลึงมากขึ้นหากนำไปเทียบกับค่าเหนื่อยคนงานเหมือง (ที่เคยโดนเปรียบเทียบในยุคนั้น) จากปี 1961 ถึงปัจจุบัน ที่เพิ่มขึ้นราว 6,037 เปอร์เซ็นต์
...เป็นข้อเท็จจริงที่น่า "ตกใจ" แต่ไม่น่า "แปลกใจ" แม้แต่นิดเดียว!
ท็อป 8 นักฟุตบอลอาชีพที่ได้ค่าเหนื่อยสูงที่สุดในโลก
1.คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (รีล มาดริด) ปีละ 15 ล้านปอนด์ (750 ล้านบาท)
2.ลิโอเนล เมสซี่ (บาร์เซโลน่า) ปีละ 13.41 ล้านปอนด์ (670.5 ล้านบาท)
3.เนย์มาร์ (บาร์เซโลน่า) ปีละ 12.57 ล้านปอนด์ (628.5 ล้านบาท)
4.ซลาตัน อิบราฮิโมวิช (ปารีส แซงต์แชร์แมง) ปีละ 12.16 ล้านปอนด์ (608 ล้านบาท)
5.ราดาเมล ฟัลเกา (โมนาโก ) ปีละ 11.74 ล้านปอนด์ (587 ล้านบาท)
6.เวย์น รูนี่ย์ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) ปีละ 11.57 ล้านปอนด์ (578.5 ล้านบาท)
7.เซร์คิโอ้ อากูเอโร่ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้) ปีละ 11.31 ล้านปอนด์ (565.5 ล้านบาท)
8.ยาย่า ตูเร่ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้) ปีละ 10.90 ล้านปอนด์ (545 ล้านบาท)
*edit เพิ่ม ท็อป 8 นักฟุตบอลอาชีพที่ได้ค่าเหนื่อยสูงที่สุดในโลก